รางวัลชมเชย ปีการศึกษา 2567

ยุทธศาสตร์ที่ 1 : KR 1.2.1

การวิจัยนวัตกรรมสื่อการเรียนรู้ด้วยโปรแกรมค้นหา
เรื่องยาต้านแบคทีเรียในวิชาเภสัชเคมี 2
(The Research on Innovative learning Media with the Search Engine on antibacterial Drugs in pharmaceutical chemistry II)

ผู้จัดทำโครงการ​

ผู้จัดทำโครงการ รศ.ดร.ภัททวัฒน์ มณีวัฒนภิญโญ
นศภ.จารวี สุริโย นศภ.อรณัฏฐ์ หวยสูงเนิน นศภ.ณัฐกิตต์ เกตุพิมล
ผศ.ดร.ภก.อภิรุจ นาวาภัทร และผศ.ดร.ภญ.สุชาดา จงรุ่งเรืองโชค

วิทยาลัยเภสัชศาสตร์

หลักการและเหตุผล/ความสำคัญ/ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้​

          ปัจจุบันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาททางด้านการจัดการศึกษามากขึ้นโดยผู้วิจัยได้นำเทคโนโลยีและความทันสมัยของระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต มาใช้ในการส่งเสริมการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ในปัจจุบันมีช่องทางในการศึกษาที่เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะเว็บไซต์สื่อการเรียนรู้บนอุปกรณ์เคลื่อนที่ ด้วยเทคนิคทางด้านการพัฒนาสื่อการสอน กลายมาเป็นเว็บไซต์ที่สามารถเข้าถึง และใช้งานได้อย่างสะดวก และสามารถนำมาประยุกต์ใช้งานในการจัดการเรียนการสอน หรือเป็นสื่อเสริมการเรียนรู้ได้

          ซึ่งทำให้เกิดการพัฒนาสื่อการสอนในรูปแบบเว็บไซต์ที่ผู้วิจัยได้พัฒนาขึ้นโดยออกแบบมาเพื่อให้สามารถใช้งานได้บนโทรศัพท์มือถือ หรือแท็บเล็ตคอมพิวเตอร์ ผ่านเบราว์เซอร์ Safari, edge หรือ Google chrome ซึ่งจะจำกัดการลงทะเบียนในการเข้าใช้งานเว็บไซต์ด้วย E-mail ของทางมหาวิทยาลัยรังสิต เท่านั้น โดยสื่อการสอนที่พัฒนาขึ้นนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ทำให้การเรียนรู้ไม่ถูกจำกัดอยู่แต่ภายในห้องเรียน อีกทั้งยังเพิ่มความสะดวกในการทบทวนบทเรียน โดยที่ผู้เรียนสามารถทบทวนเนื้อหาได้ตลอดเวลา และทุกสถานที่ตามต้องการ

          วิชา Pharmaceutical chemistry II รหัส PHA 333 เป็นวิชาสำหรับนักศึกษาเภสัชศาสตร์ชั้นปีที่ 3 มีรูปแบบเป็นการเรียนแบบบรรยาย 2 หน่วยกิต ซึ่งเนื้อหารายวิชา เกี่ยวข้องกับโครงสร้างยาหลายกลุ่ม ปฏิกิริยาเคมีพื้นฐานที่ใช้ในทางเภสัชกรรม การค้นพบยา การออกแบบและพัฒนายา ตัวยาจากแหล่งที่มาต่าง ๆ ได้แก่ ยาที่ได้จากธรรมชาติ ยากึ่งสังเคราะห์ ยาสังเคราะห์และผลิตภัณฑ์จากเทคโนโลยีชีวภาพ โดยแบ่งเนื้อหาตามฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาและการนำไปใช้ ธรรมชาติทางเคมี คุณสมบัติทาง physical chemistry ของตัวยา อันตรกิริยาของยา และความสัมพันธ์ระหว่างสูตรโครงสร้างทางเคมีกับการออกฤทธิ์ของยา ทางทีมผู้วิจัยมีความประสงค์จัดทำนวัตกรรมสื่อการเรียนการสอนนี้ขึ้นเพื่อช่วยในการเรียน วิชา Pharmaceutical chemistry II ในหัวข้อกลุ่มยาต้านแบคทีเรีย เพื่อให้ผู้เรียนนั้นได้เข้าใจเนื้อหา และโครงสร้างกลุ่มยาต้านแบคทีเรียมากขึ้น มีแบบทดสอบก่อน และหลังใช้งานเว็บไซต์ว่าผู้เรียนมีความเข้าใจมากน้อยเพียงใด ซึ่งในเว็บไซต์จะให้ความรู้เกี่ยวกับกลุ่มยาต้านแบคทีเรียอ้างอิงจำนวนการแบ่งกลุ่มยาตามเอกสารคำสอนของอาจารย์ผู้สอนของรายวิชาเภสัชเคมี 2 รหัส PHA 333 มีการแสดงข้อมูลโครงสร้างทางเคมีของกลุ่มยาต้านแบคทีเรียต่างๆ มีข้อมูลพื้นฐานทาง pharmacology สามารถให้ผู้เรียนสามารถเลือกเข้าชม และมีช่องคำค้นหาตามกลุ่มยาที่สนใจและต้องการหาข้อมูลนั้นได้

          ดังนั้นสื่อการเรียนรู้ที่สร้างขึ้น ควรทำให้นักศึกษาสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง และหรือใช้ร่วมกับการเรียนบรรยาย ซึ่งสื่อนี้ช่วยให้นักศึกษาสามารถนำทักษะมาใช้ในวิชา pharmaceutical chemistry II ได้ อีกทั้งเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ สร้างองค์ความรู้ที่ถูกต้องชัดเจน โดยในการจัดทำสื่อเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจ และเป็นช่องทางในการทบทวนความรู้ทางเภสัชเคมีนี้มีแนวทางในประเมินผลโดยดำเนินงานในรูปของโครงการวิจัย

ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้ 

          รายวิชา Pharmaceutical Chemistry II (PHA 333) เป็นรายวิชาหลักในหลักสูตรเภสัชศาสตร์สำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 3 โดยมีรูปแบบการเรียนการสอนในลักษณะบรรยาย จำนวน 2 หน่วยกิต รายวิชานี้มุ่งเน้นการศึกษาทางด้านเคมีเภสัชกรรม โดยครอบคลุมองค์ความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างทางเคมีของตัวยาหลากหลายกลุ่ม ปฏิกิริยาเคมีพื้นฐานที่เกี่ยวข้องในทางเภสัชกรรม หลักการค้นพบยา การออกแบบและพัฒนายา ตลอดจนแหล่งที่มาของตัวยา ซึ่งอาจเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ ยากึ่งสังเคราะห์ ยาสังเคราะห์ และผลิตภัณฑ์จากเทคโนโลยีชีวภาพ เนื้อหาของรายวิชาได้รับการจัดระเบียบตามกลุ่มเภสัชวิทยาของยา โดยเน้นการศึกษาคุณสมบัติเฉพาะของสารออกฤทธิ์ในมิติต่าง ๆ ได้แก่ โครงสร้างทางเคมี สมบัติทาง physical chemistry อันตรกิริยาระหว่างยา ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างทางเคมีกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ซึ่งล้วนเป็นองค์ความรู้พื้นฐานที่จำเป็นสำหรับเภสัชกรในการวิเคราะห์ ประเมิน และบูรณาการข้อมูลทางเคมีของยาเพื่อสนับสนุนการใช้ยาอย่างถูกต้อง เหมาะสม และปลอดภัยในเวชปฏิบัติ ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศ การนำเทคโนโลยีมาใช้เป็นสื่อสนับสนุนการเรียนการสอนในรายวิชา Pharmaceutical Chemistry II จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง หนึ่งในแนวทางที่มีประสิทธิภาพคือการพัฒนา website ที่รวบรวมข้อมูลทางเคมีของยาปฏิชีวนะ เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลสำหรับค้นหาที่ครอบคลุมเกี่ยวกับโครงสร้างทางเคมี กลไกการออกฤทธิ์ สมบัติทาง physical chemistry อันตรกิริยาระหว่างยา และข้อมูลทางเภสัชจลนศาสตร์ของยากลุ่มนี้ Website ดังกล่าวจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ของนักศึกษาเภสัชศาสตร์ โดยช่วยให้สามารถเข้าถึงสื่อการเรียนการสอนได้สะดวกทุกที่ ทุกเวลา อีกทั้งยังเป็นแหล่งสืบค้นข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาทักษะของนักศึกษาในการสืบค้น วิเคราะห์ และประยุกต์ใช้ข้อมูลทางเคมีของยาในการศึกษาทางเภสัชกรรม นอกจากนี้ ยังสามารถใช้เป็นแหล่งอ้างอิงสำหรับเภสัชกรและบุคลากรทางการแพทย์ในการให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ยาแก่ประชาชนได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และมีประสิทธิภาพ

          ดังนั้นการบูรณาการเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ากับการศึกษาในรายวิชา Pharmaceutical Chemistry II ไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างความเข้าใจในเนื้อหาให้แก่นักศึกษาเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการเรียนรู้เชิงรุก เพิ่มศักยภาพในการค้นคว้า และสนับสนุนการพัฒนาทักษะทางวิชาชีพ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเตรียมความพร้อมให้นักศึกษาเภสัชศาสตร์สามารถปฏิบัติหน้าที่ในวิชาชีพเภสัชกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

ประเภทความรู้และที่มาความรู้

ความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวคน (Tacit Knowledge)

  • เจ้าของความรู้/สังกัด วิทยาลัยเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต

วิธีการดำเนินการ

          อาจารย์ประจำวิชา PHA 333 เภสัชเคมี 2 จะแนะนำเว็บไซต์ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเพื่อให้นักศึกษาผู้เข้าร่วมวิจัยได้ทดลองใช้งานจริง จากนั้นมีแบบทดสอบก่อนเข้าเรียน (pre-test) ในเว็บไซต์ แบบทดสอบหลังเรียน (post-test) และแบบสอบถามความพึงพอใจในการใช้งานเว็บไซต์ให้ผู้เข้าร่วมวิจัย เป็นการขอความร่วมมือจากนักศึกษา และไม่มีผลต่อการวัดผลของรายวิชา โดยมีแนวทางในการดำเนินกิจกรรมและระเบียบวิธีวิจัย ดังนี้

  1. ประชากร (Population : N) นักศึกษาเภสัชศาสตร์ที่ลงทะเบียนเรียนวิชาเภสัชเคมี 2 (PHA 333) ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 150 คน

    กลุ่มตัวอย่าง (Sample : n) นักศึกษาเภสัชศาสตร์ที่ลงทะเบียนเรียนวิชาเภสัชเคมี 2 (PHA 333) ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567  จำนวน 110 หรือ 109 คน (คำนวณตาม Taro Yamane ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05)

  1. การสร้างและทดสอบเครื่องมือ
  2. ผู้วิจัยออกแบบสื่อการเรียนรู้สำหรับการใช้ใน วิชาเภสัชเคมี 2 (PHA333)
  3. ผู้วิจัยเตรียมเนื้อหา และออกแบบบทเรียนบน Microsoft Excel และทดลองใช้กับกลุ่มเล็กเพื่อนำความเห็นปรับปรุงสื่อการเรียนรู้
  4. ผู้วิจัยให้ผู้เรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียนรู้ (pre-test) เพื่อประเมินความเข้าใจ และทักษะด้านเคมีทางยา
  5. ผู้วิจัยชี้แจงผู้เรียนเกี่ยวกับการใช้สื่อการเรียนรู้สำหรับหัวข้อยาต้านแบคทีเรีย ในวิชาเภสัชเคมี 2 PHA 333 ห้องเรียนแจ้งกับผู้เรียนในคาบเรียน และให้ผู้เรียนใช้สื่อการเรียนรู้ช่วงว่างโดยใช้งานก่อน หรือหลังเรียนในคาบเรียน
  6. ผู้วิจัยให้ผู้เรียนทำแบบทดสอบหลังเรียนรู้ (post-test) เพื่อประเมินความเข้าใจและทักษะด้านเคมีทางยาสำหรับหัวข้อยาต้านแบคทีเรีย หลังจากใช้สื่อการเรียนรู้ ช่วงว่างโดยใช้หลังเรียนในคาบเรียน

โดยผู้วิจัยสร้างแบบประเมินความเห็นต่อสื่อการเรียนรู้สำหรับหัวข้อยาต้านแบคทีเรีย ในวิชาเภสัชเคมี 2 (PHA333)  โดยสร้างแบบประเมิน 1 ชุด แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่

     ส่วนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของนักศึกษา ประกอบด้วยเพศ ปีที่เข้าเรียน และสาขาวิชา

     ส่วนที่ 2 ข้อมูลเกี่ยวกับความเห็นของนักศึกษาที่มีต่อสื่อการเรียนรู้โดยมีข้อคำถาม 18 ข้อ แบ่งออกเป็น 2 ด้าน ได้แก่ 1) ความเห็นต่อเนื้อหา และแบบฝึกหัด 2) ความเห็นต่อสื่อการเรียนรู้ และความพึงพอใจโดยรวม 1 ข้อ

แบบสอบถามเป็นแบบ Likert Scale มี 5 ระดับ เรียงจากระดับความพึงพอใจน้อยที่สุดถึงระดับความพึงพอใจมากที่สุด

     ส่วนที่ 3 เป็นคำถามปลายเปิดเกี่ยวกับข้อเสนอแนะของนักศึกษาต่อสื่อการเรียนรู้ จำนวน 1 ข้อ

     ความเที่ยงตรงตามเนื้อหา (Content validity) จากอาจารย์เภสัชกรผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่าน โดยทุกข้อคำถามต้องมีค่า Index of item-Objective Congruence (IOC) 0.5-1.0 และหาความเชื่อมั่นของการหาความเชื่อมั่น แบบความสอดคล้องภายใน (Measure of Internal Consistency) ความเที่ยงแบบความสอดคล้องภายใน เป็นความสอดคล้องกันระหว่างคะแนนรายข้อเป็นตัวแทนของคุณลักษณะเด่นเดียวกันที่ต้องการวัด วิธีสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coeffident: ) การให้คะแนนเป็นแบบมาตรประมาณค่า (Rating Scale) ยังใช้ได้กับแบบทดสอบที่ให้คะแนนแบบ 0, 1

  1. การเก็บรวบรวมข้อมูล : เก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative Data) โดยได้จากแบบสอบถามความพึงพอใจ และ เก็บข้อมูลเชิงปริมาณ (Quantitative Data) โดยได้จากแบบทดสอบ pre-test และ post-test
  2. การวิเคราะห์ข้อมูล : นี้ผู้วิจัยได้นำคะแนนที่ผู้ร่วมวิจัยได้ทำแบบทดสอบก่อน และหลังใช้งาน. เว็บไซต์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมาเปรียบเทียบกัน ซึ่งจะประเมินได้ว่าผู้ร่วมวิจัยนั้นมีความเข้าใจหลังใช้งานนวัตกรรมมากหรือน้อยเพียงใด และนำ Index of item-Objective Congruence (IOC) 0.5-1.0 ในแบบสอบถามความพึงพอใจ มาประเมินผลข้อมูลว่าค่าความเที่ยงตรงของแบบประเมินความพึงพอใจค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Paired t-test เพื่อหานัยสำคัญทางสถิติ
  3. มีการลงพื้นที่วิจัยภาคสนาม ในห้องห้องเรียนรายวิชา pharmaceutical chemistry II (PHA333) มหาวิทยาลัยรังสิต

2.Prototype testing in an operational environment – DO 

ผลการดำเนินการ การนำไปใช้ หรือการลงมือปฏิบัติจริง อุปสรรคหรือปัญหาในการทำงาน

          โครงการวิจัย “นวัตกรรมสื่อการเรียนรู้ด้วยโปรแกรมค้นหาเรื่องยาต้านแบคทีเรียในวิชาเภสัชเคมี 2” ได้ถูกพัฒนาเพื่อเป็นสื่อการเรียนรู้และเครื่องมือช่วยทบทวนความรู้ให้กับนักศึกษาเภสัชศาสตร์ชั้นปีที่ 3 ในรายวิชา PHA 333 Pharmaceutical Chemistry II โดยเน้นการจัดทำฐานข้อมูลที่ครอบคลุมโครงสร้างทางเคมี กลไกการออกฤทธิ์ และสมบัติของยาปฏิชีวนะกลุ่มต่าง ๆ ระบบนี้ได้รับการออกแบบให้สามารถประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษา โดยให้ผู้เรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน (pre-test) จากนั้นศึกษาเนื้อหาและทำแบบทดสอบหลังเรียน (post-test) ผลการดำเนินโครงการพบว่า มีนักศึกษาเข้าร่วมทั้งสิ้น 121 คน โดยมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือ คะแนนเฉลี่ย pre-test ก่อนการเรียนอยู่ที่ 3.00 คะแนน (จากเต็ม 6 คะแนน) ในขณะที่คะแนนเฉลี่ย post-test หลังจากการทบทวนเนื้อหาผ่านสื่อการเรียนรู้เพิ่มขึ้นเป็น 5.15 คะแนน (จากเต็ม 6 คะแนน) นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาผลคะแนนเป็นรายบุคคล พบว่า

  • นักศึกษาที่ได้คะแนน post-test 5 คะแนน มีจำนวน 55 คน คิดเป็น ร้อยละ 45.45
  • นักศึกษาที่ได้คะแนนเต็ม 6 คะแนน มีจำนวน 56 คน คิดเป็น ร้อยละ 46.18

จากข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าสื่อการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นสามารถช่วยเพิ่มพูนความเข้าใจของนักศึกษาในเนื้อหาวิชาเภสัชเคมีได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 อุปสรรคและปัญหาในการดำเนินงาน

แม้ว่าผลลัพธ์ของโครงการจะแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มเชิงบวกในการเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ของนักศึกษา แต่ยังพบอุปสรรคและปัญหาบางประการในกระบวนการดำเนินงาน ดังนี้

  1. ความท้าทายในการออกแบบและพัฒนาโปรแกรม
    • การจัดทำฐานข้อมูลของยาปฏิชีวนะต้องอาศัยความถูกต้องของข้อมูลทางเคมีและเภสัชวิทยา ซึ่งจำเป็นต้องมีการทบทวนข้อมูลจากแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ และใช้เวลาในการพัฒนาโครงสร้างข้อมูลให้เป็นระบบที่ใช้งานง่าย
    • การพัฒนาโปรแกรมค้นหาให้สามารถดึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำต้องอาศัยการทดสอบและปรับปรุงระบบอย่างต่อเนื่อง
  2. การใช้งานจริงของนักศึกษา
    • นักศึกษาบางส่วนอาจไม่คุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยีในการเรียนการสอน ทำให้ต้องใช้เวลาในการฝึกอบรมเกี่ยวกับการเข้าถึงและใช้งานระบบ
    • การทบทวนเนื้อหาผ่านสื่อออนไลน์อาจไม่ได้ผลดีเท่ากับการเรียนรู้แบบปฏิสัมพันธ์ในชั้นเรียนสำหรับนักศึกษาบางกลุ่ม
  3. ปัจจัยด้านความพร้อมของระบบและอุปกรณ์
    • ปัญหาทางเทคนิค เช่น ความเร็วในการเข้าถึงระบบ การรองรับจำนวนผู้ใช้งานพร้อมกัน และข้อผิดพลาดของโปรแกรม อาจส่งผลกระทบต่อประสบการณ์การเรียนรู้ของนักศึกษา
    • อุปกรณ์ของนักศึกษาบางคนอาจไม่รองรับการใช้งานโปรแกรมได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

ข้อเสนอแนะสำหรับการพัฒนาในอนาคต

เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของสื่อการเรียนรู้และแก้ไขปัญหาที่พบในการดำเนินโครงการ สามารถพิจารณาปรับปรุงในด้านต่อไปนี้

  1. ปรับปรุงฟังก์ชันของระบบให้มีความเสถียรและใช้งานง่าย
    • พัฒนาอินเทอร์เฟซให้เหมาะสมกับการใช้งานผ่านอุปกรณ์หลากหลายประเภท
    • เพิ่มระบบช่วยเหลือผู้ใช้ เช่น คู่มือการใช้งานออนไลน์ หรือคลิปวิดีโอแนะนำ
  2. เพิ่มเนื้อหาหรือเครื่องมือเสริมการเรียนรู้
    • ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้แบบ interactive หรือแบบจำลองโมเลกุล 3 มิติ เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างทางเคมีของยา
    • เพิ่มแบบฝึกหัดหรือข้อสอบจำลองเพื่อให้ผู้เรียนสามารถประเมินความเข้าใจของตนเองได้ก่อนการสอบจริง
  3. ปรับกลยุทธ์การส่งเสริมการใช้งานระบบ
    • จัดกิจกรรมแนะนำการใช้งานสื่อการเรียนรู้ให้กับนักศึกษาเภสัชศาสตร์รุ่นใหม่ที่เข้ามาเรียนในวิชา PHA 333
    • จัดทำแบบสอบถามความคิดเห็นจากผู้ใช้เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบให้ตอบโจทย์ความต้องการของนักศึกษาได้ดียิ่งขึ้น

          โดยสรุป ผลการดำเนินโครงการนี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของนวัตกรรมสื่อการเรียนรู้ในการเพิ่มพูนความเข้าใจด้านเภสัชเคมีของนักศึกษาเภสัชศาสตร์ได้อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายที่ต้องได้รับการแก้ไขเพื่อพัฒนาและขยายขอบเขตของโครงการให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์แก่นักศึกษาในระยะยาว

3. Proven through successful mission operation, Objectives and Key Results for Knowledge Management – CHECK

          โครงการวิจัย “นวัตกรรมสื่อการเรียนรู้ด้วยโปรแกรมค้นหาเรื่องยาต้านแบคทีเรียในวิชาเภสัชเคมี 2” ได้รับการพัฒนาเพื่อนำไปใช้เป็นเครื่องมือช่วยเสริมการเรียนรู้และทบทวนเนื้อหาทางเคมีเภสัชกรรมเกี่ยวกับยาปฏิชีวนะในรายวิชา PHA 333 Pharmaceutical Chemistry II โดยมีการตรวจสอบผลการดำเนินงานผ่านการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษา รวมถึงการเก็บรวบรวมความคิดเห็นเกี่ยวกับประสบการณ์การใช้งานสื่อการเรียนรู้นี้ การนำไปใช้จริงพบว่า นักศึกษาเภสัชศาสตร์ชั้นปีที่ 3 สามารถเข้าถึงและใช้โปรแกรมค้นหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีนักศึกษาเข้าร่วมทั้งสิ้น 121 คน ซึ่งเริ่มต้นด้วยการทำ pre-test ก่อนใช้สื่อการเรียนรู้ และทำ post-test หลังจากการศึกษาเนื้อหา ผลการประเมินพบว่า คะแนนเฉลี่ยของ pre-test อยู่ที่ 3.00 คะแนน (เต็ม 6 คะแนน) และเพิ่มขึ้นเป็น 5.15 คะแนน (เต็ม 6 คะแนน) ใน post-test แสดงให้เห็นว่าสื่อการเรียนรู้นี้สามารถช่วยเพิ่มพูนความเข้าใจของนักศึกษาในเนื้อหาได้อย่างมีนัยสำคัญ

          นอกจากนี้ การสำรวจความคิดเห็นจากนักศึกษาพบว่า ส่วนใหญ่มีทัศนคติเชิงบวกต่อสื่อการเรียนรู้นี้ โดยให้ความเห็นว่าระบบสามารถช่วยให้เข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับยาปฏิชีวนะได้สะดวก รวดเร็ว และช่วยให้เข้าใจเนื้อหาได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม นักศึกษาบางส่วนยังพบปัญหาด้านเทคนิค เช่น ความยากในการค้นหาข้อมูลเฉพาะด้าน และข้อจำกัดของอุปกรณ์ที่ใช้ในการเข้าถึงระบบ

สรุปและอภิปรายผล

จากผลการดำเนินโครงการ สามารถสรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้

  1. ประสิทธิภาพของสื่อการเรียนรู้
    • โปรแกรมค้นหานี้ช่วยให้คะแนน post-test ของนักศึกษาเพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ย 00 เป็น 5.15 คะแนน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าสื่อการเรียนรู้นี้สามารถช่วยพัฒนาความเข้าใจและความสามารถในการจำแนกข้อมูลของนักศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    • สัดส่วนนักศึกษาที่ทำคะแนนได้สูงขึ้นหลังใช้สื่อการเรียนรู้ ยืนยันถึงความเหมาะสมของเนื้อหาและความสามารถของโปรแกรมในการสนับสนุนการเรียนรู้
  2. ข้อดีของการใช้เทคโนโลยีในการเรียนการสอน
    • นักศึกษาสามารถเข้าถึงเนื้อหาได้ทุกที่ทุกเวลา ลดข้อจำกัดของการเรียนการสอนในห้องเรียน
    • ช่วยเสริมสร้างการเรียนรู้แบบ self-directed learning ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการศึกษาด้านเภสัชศาสตร์ที่ต้องอาศัยการเรียนรู้ตลอดชีวิต (lifelong learning)
  3. อุปสรรคและข้อจำกัด
    • ปัญหาด้านเทคนิค เช่น การเข้าถึงระบบที่อาจไม่เสถียรในบางช่วงเวลา และข้อจำกัดของอุปกรณ์ของนักศึกษาบางส่วน
    • นักศึกษาบางรายยังขาดความคุ้นเคยกับการใช้สื่อการเรียนรู้ออนไลน์ ทำให้ต้องมีระยะเวลาในการปรับตัว

บทสรุปความรู้และความรู้ที่ค้นพบใหม่

จากโครงการวิจัยนี้ สามารถสรุปองค์ความรู้และข้อค้นพบใหม่ที่เป็นประโยชน์ต่อการศึกษาและการพัฒนาสื่อการเรียนรู้ในอนาคต ดังนี้

  1. การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลช่วยเสริมการเรียนรู้ในรายวิชาที่มีเนื้อหาจำนวนมาก
    • สื่อการเรียนรู้แบบ interactive หรือระบบค้นหาแบบดิจิทัลสามารถช่วยลดภาระการจดจำข้อมูลของนักศึกษา และทำให้สามารถเข้าถึงความรู้ได้ง่ายขึ้น
  2. การออกแบบสื่อการเรียนรู้ที่มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอย่างเป็นระบบ
    • การใช้ pre-test และ post-test เป็นแนวทางที่ดีในการวัดผลการเรียนรู้ และสามารถใช้เป็นแนวทางพัฒนาเครื่องมือวัดผลทางการศึกษาอื่น ๆ

ข้อเสนอแนะในการดำเนินการในอนาคต หรือการดำเนินการเพื่อสามารถนำไปสู่การเป็น Good Practice

ข้อเสนอแนะในการดำเนินการในอนาคต และปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จของโครงการ

        จากการดำเนินโครงการนวัตกรรมสื่อการเรียนรู้ด้วยโปรแกรมค้นหาเรื่องยาต้านแบคทีเรียในวิชาเภสัชเคมี 2 พบว่ามีศักยภาพในการช่วยเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษาเภสัชศาสตร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม เพื่อให้โครงการประสบความสำเร็จยิ่งขึ้นในอนาคต ควรมีแนวทางการพัฒนาเพิ่มเติม รวมถึงระบุปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความสำเร็จของโครงการ ดังนี้

1. การปรับปรุงระบบให้สามารถค้นหาข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น

หนึ่งในข้อจำกัดของระบบปัจจุบันคือการค้นหาข้อมูลที่อาจยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างครอบคลุม ดังนั้น ควรพัฒนาระบบให้สามารถค้นหาข้อมูลได้ละเอียดและแม่นยำมากขึ้น โดยเฉพาะการค้นหาตาม โครงสร้างทางเคมี หรือ กลไกการออกฤทธิ์ของยา ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับเภสัชเคมีของยาต้านแบคทีเรีย

แนวทางการพัฒนา:

  • ปรับปรุง algorithm การค้นหาให้สามารถดึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ หมู่ฟังก์ชันทางเคมี หรือ ลักษณะโครงสร้างโมเลกุล ของยาได้

  • เพิ่มฟังก์ชัน การเชื่อมโยงข้อมูลทางเภสัชวิทยาและเภสัชจลนศาสตร์ เพื่อให้นักศึกษาสามารถเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการออกฤทธิ์ของยาในร่างกายได้ง่ายขึ้น

  • ออกแบบระบบที่สามารถ แสดงความสัมพันธ์ของยาในกลุ่มเดียวกัน เพื่อช่วยให้เข้าใจการเปรียบเทียบเชิงโครงสร้างและฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา

2. การนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น Artificial Intelligence (AI) หรือ Machine Learning (ML) มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ

AI และ ML สามารถช่วยให้ระบบค้นหาข้อมูลมีความแม่นยำมากขึ้น โดยสามารถเรียนรู้จากพฤติกรรมของผู้ใช้ และปรับปรุงการนำเสนอข้อมูลให้ตรงกับความต้องการของนักศึกษา

แนวทางการพัฒนา:

  • ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับยาที่เกี่ยวข้องกับการค้นหา

  • พัฒนา Chatbot อัจฉริยะ ที่สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับยาปฏิชีวนะในเชิงลึก และช่วยตอบคำถามของนักศึกษาแบบเรียลไทม์

  • ใช้เทคนิค Natural Language Processing (NLP) เพื่อทำให้การค้นหาข้อมูลโดยใช้ภาษาธรรมชาติมีความแม่นยำมากขึ้น

  • Machine Learning-based Recommendation System ที่สามารถแนะนำข้อมูลหรือบทเรียนที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่นักศึกษาสนใจ

3. การพัฒนาสื่อการเรียนรู้ในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น แอนิเมชัน หรือแบบจำลองโมเลกุล 3 มิติ

การนำเสนอข้อมูลในรูปแบบ ภาพเคลื่อนไหว (Animation) และ แบบจำลอง 3 มิติของโครงสร้างยา สามารถช่วยให้นักศึกษาเข้าใจกลไกการออกฤทธิ์ของยาได้ชัดเจนขึ้น

แนวทางการพัฒนา:

  • สร้าง แอนิเมชันแสดงกลไกการออกฤทธิ์ของยา ในระดับเซลล์หรือโมเลกุล เพื่อช่วยให้เห็นกระบวนการทางชีวเคมีที่เกี่ยวข้องกับยาต้านแบคทีเรีย

  • พัฒนา โมเดลโครงสร้าง 3 มิติของยา ที่สามารถหมุนและปรับมุมมองได้ เพื่อให้เข้าใจโครงสร้างเชิงพื้นที่ของโมเลกุล

  • เพิ่ม interactive Learning Modules เช่น แบบจำลองเสมือนจริง (Virtual Reality, VR) หรือแบบจำลองเสริม (Augmented Reality, AR) เพื่อให้นักศึกษาได้สัมผัสกับโมเลกุลยาในมิติที่สมจริงมากขึ้น

4. ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จของโครงการ

นอกจากแนวทางการพัฒนาแล้ว ปัจจัยต่อไปนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้โครงการบรรลุผลตามเป้าหมาย

4.1 การสนับสนุนจากสถาบันการศึกษา

  • การบูรณาการสื่อการเรียนรู้เข้าสู่หลักสูตรของรายวิชา PHA 333 Pharmaceutical Chemistry II อย่างเป็นระบบ

  • การส่งเสริมให้คณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษาเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาสื่อการเรียนรู้

4.2 ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี

  • การพัฒนาแพลตฟอร์มที่สามารถรองรับการใช้งานบนอุปกรณ์ที่หลากหลาย เช่น คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต และสมาร์ตโฟน

  • การรักษาความเสถียรของระบบและเพิ่มขีดความสามารถของเซิร์ฟเวอร์ให้สามารถรองรับการใช้งานพร้อมกันของผู้ใช้จำนวนมาก

4.3 การมีส่วนร่วมของนักศึกษาและการรับผลการประเมินเพื่อการปรับปรุง

  • ควรมีระบบ feedback mechanism เพื่อให้นักศึกษาสามารถให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการใช้งานโปรแกรม และนำข้อมูลเหล่านั้นมาพัฒนาให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้

  • การส่งเสริมการเรียนรู้แบบ active Learning โดยให้มีแบบฝึกหัด ทดสอบความเข้าใจ และกิจกรรมเชิงปฏิสัมพันธ์ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ได้จริง

Scroll to Top