รางวัลดีเด่น ปีการศึกษา 2565
ยุทธศาสตร์ที่ 2 : KR 2.1.2
การเพิ่ม citation หรือ h index ของนักวิจัย
VDO Credit : สำนักงาน Wisdom Media
ผู้จัดทำโครงการ
ศ.ดร.สื่อจิตต์ เพ็ชร์ประสาน
วิทยาลัยวิศวกรรมชีวการแพทย์
หลักการและเหตุผล/ความสำคัญ/ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้
1) ตีกรอบวิจัยที่สามารถสร้างผลงานที่มีคุณภาพและน่าสนใจ การสร้างผลงานวิจัยที่มีคุณภาพและน่าสนใจจะช่วยเพิ่มโอกาสให้ผลงานของนักวิจัยได้รับการอ้างอิงมากขึ้น โดยในการตีกรอบวิจัยนั้น ควรเลือกหัวข้อวิจัยที่เป็นปัญหาที่สำคัญ หรือปัญหาใหญ่ซึ่งมีนักวิจัยสนใจเป็นจำนวนมาก เนื่องจากหากเลือกทำงานวิจัยที่เป็นปัญหาเฉพาะขนาดเล็กจำนวน Citation ก็น้อยตาม และงานวิจัยที่เลือกทำนั้นได้มีการศึกษาหรือวิจัยมาบ้างแล้ว ตามความเชี่ยวชาญและยังมีช่องว่างในการวิจัยอยู่ ทั้งนี้ควรตระหนักว่าการสร้างผลงานที่น่าสนใจและมีคุณภาพสูงสามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการถูกอ้างอิงได้มากขึ้น
2) ส่งผลงานไปตีพิมพ์ในวารสารที่มี Impact Factor สูง การเลือกตีพิมพ์ผลงานในวารสารที่มี Impact Factor (IF) สูงจะช่วยเพิ่มโอกาสให้ผลงานวิจัยนั้น ๆ ได้รับการอ้างอิงมากขึ้น โดย Impact Factor เป็นตัวชี้วัดคุณภาพของวารสารว่ามีผู้อ่านและผู้ใช้งานมากน้อยเพียงใด การส่งผลงานไปตีพิมพ์ในวารสารที่มี Impact Factor สูงจะช่วยเพิ่มโอกาสให้ผลงานนั้นได้รับการอ้างอิงมากขึ้น เนื่องจากค่า Impact Factor ของวารสารวิชาการนั้นคำนวณมากจากจำนวนครั้งของการ Citation ใน 1 ปี หารด้วยจำนวนบทความที่ตีพิมพ์ทั้งหมดในปีนั้น ๆ
3) แชร์ผลงานของคุณ การแชร์ผลงานวิจัยในสื่อสังคมออนไลน์หรือเว็บไซต์ช่วยเพิ่มโอกาสในการถูกอ้างอิงได้มากขึ้น เช่น ResearchGate, LinkedIn, Twitter หรือ Facebook เป็นต้น ซึ่งทางคณะ วิทยาลัย มหาวิทยาลัย ควรเข้ามามีส่วนสำคัญในการจัดการเรื่องนี้อย่างจริงจัง ข้อควรระวัง คือ ระวังเรื่อง License ของงานวิจัยที่จะแชร์ ควรจะแชร์แค่ link และรายละเอียดของงานวิจัย แต่ไม่ควรแชร์รูป หรือแนบบทความทั้งฉบับ เนื่องด้วยอาจติดลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์
4) การนำเสนอในงานประชุมวิชาการ การนำเสนอในงานประชุมวิชาการช่วยเพิ่มโอกาสในการถูกอ้างอิงได้มากขึ้น โดยช่วยให้ผู้ที่เข้าร่วมงานประชุมวิชาการเห็นความสำคัญและคุณค่าของผลงานวิจัยที่ทำ และการนำไปสู่การอ้างอิงผลงานเมื่อเกิดการเผยแพร่ในภายหลัง
5) เข้าร่วมกลุ่มวิจัยและโครงการวิจัย การเข้าร่วมกลุ่มวิจัยและโครงการวิจัยช่วยเพิ่มโอกาสในการถูกอ้างอิงได้มากขึ้น โดยการเข้าร่วมกลุ่มวิจัยและโครงการวิจัยนั้นจะช่วยให้ผู้วิจัยได้รับความรู้และประสบการณ์ในการทำงานวิจัยร่วมกับผู้อื่น และมีโอกาสเข้าถึงผลงานวิจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการถูกอ้างอิงของผลงานของผู้วิจัยได้
6) ใช้คำสำคัญ (Keywords) และชื่อบทความที่ถูกต้องในผลงาน การใช้คำสำคัญและชื่อบทความที่ถูกต้องในผลงานวิจัย จะช่วยให้ผู้ค้นหาสามารถหาผลงานของผู้วิจัยง่ายขึ้น นอกจากนี้การใช้คำสำคัญที่เหมาะสมในผลงานของผู้วิจัยยังสามารถช่วยให้ผลงานของผู้วิจัยเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการถูกอ้างอิงของผลงานของผู้วิจัยได้
7) สร้างเครือข่าย (Networking) กับนักวิจัยอื่น การสร้างเครือข่ายกับนักวิจัยอื่นช่วยเพิ่มโอกาสในการถูกอ้างอิงได้มากขึ้น โดยในการสร้างเครือข่ายนั้น ผู้วิจัยสามารถแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กับผู้อื่น และมีโอกาสเข้าถึงผลงานวิจัย เช่น การเชิญ speaker จากสถาบันอื่น มาแลกเปลี่ยนความรู้
8) การเขียนบทความปริทัศน์ การเขียนบทความปริทัศน์จึงเป็นวิธีหนึ่งที่นักวิจัยสามารถใช้เพื่อเพิ่มโอกาสในการถูกอ้างอิงและเพิ่ม h index ของตนเองได้ โดยควรทำการเลือกหัวข้อที่น่าสนใจและเป็นที่ต้องการในวงการวิชาการ เพื่อให้มีผู้อ่านและผู้ใช้งานมากขึ้น นอกจากนี้ ยังควรเลือกวิธีการสร้างโครงสร้างบทความปริทัศน์เหมาะสมและช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจและได้รับประโยชน์จากผลงานวิจัยของผู้วิจัยอย่างเต็มที่ แต่ข้อจำกัดของการเขียนบทความปริทัศน์ คือ ผู้วิจัยจะต้องมีชื่อเสียงในวงการวิจัยในระดับหนึ่งจึงจะถูกเชิญให้เขียนบทความปริทัศน์ และบทความปริทัศน์ยังไม่สามารถนำไปใช้ในการขอตำแหน่งวิชาการในสายวิทยาศาสตร์อีกด้วย
9) การอ้างอิงบทความของตนเอง (Self-citation) การอ้างอิงผลงานตนเองหรือ Self-citation เป็นเรื่องที่มีข้อดีและข้อเสียเหมือนกับการอ้างอิงผลงานของผู้อื่น โดยข้อดีของ Self-citation คือช่วยเพิ่ม Citation และ h-index ของนักวิจัยเอง และช่วยสร้างความรู้สึกว่าผลงานของผู้วิจัยมีความสำคัญและมีผลกระทบในงานวิจัยที่ผู้วิจัยทำ อย่างไรก็ตามการ Self-citation นั้นไม่ควรเกิน 20% โดยอ้างอิงจาก https://clarivate.com/webofsciencegroup/essays/journal-self-citation-jcr/ อีกทั้งต้องเป็นการอ้างอิงที่ถูกต้องและมีความเหมาะสมโดยควรใช้ Self-citation เพียงแต่ในกรณีที่จำเป็น เช่น เป็นผลงานที่สอดคล้องกับผลงานที่ผู้วิจัยต้องการตีพิมพ์ หรือเป็นผลงานที่มีความสัมพันธ์กับงานวิจัยเก่าของผู้วิจัย โดยการ Self-citation นั้นต้องมีเหตุผลและเป็นไปตามแนวทางวิชาการของวงการนั้น ๆ โดยเป็นงานวิจัยที่ทำต่อเนื่องกันมาเป็นชุด ๆ ห้ามอ้างอิงผลงานตนเองในบทความวิชาการที่ไม่เกี่ยวข้องเป็นอันขาด
ประเภทความรู้และที่มาความรู้
ความรู้แบบชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) : ความรู้จากการสั่งสมประสบการณ์
ความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวคน (Tacit Knowledge) : เจ้าของความรู้
วิธีการดำเนินการ
1. วิธีการดำเนินการ
การดำเนินการโดยนำองค์ความรู้ตามที่กล่าวข้างต้นมาใช้โดยได้เลือกตีพิมพ์เฉพาะกับ Publisher ที่มีความน่าเชื่อถือและมีค่า Impact Factor สูง หลังจากตีพิมพ์ได้ลงรายละเอียดใน Social Media Platform ต่าง ๆ ของผู้วิจัย พบว่าได้ผลค่อนข้างดี มีผู้ตามไปอ่านบทความที่ตีพิมพ์มากขึ้น จำนวน citation มากขึ้น ได้รับคำเชิญให้เขียนบทความปริทัศน์จากสำนักพิพม์ต่าง ๆ และไปร่วมงานประชุมวิชาการในระดับนานาชาติที่เป็นการประชุมสำคัญของวงการวิจัยหลายครั้ง ได้รับเชิญให้ไปบรรยายในหลายงานประชุมวิชาการ โดยทุกครั้งที่ตีพิมพ์ระมัดระวังไม่ให้ Self-citation เกิน 20% และตรวจเช็คบ่อยๆใน Scopus, Google Scholar ว่างานวิจัยด้านที่ผู้วิจัยทำนั้นยังเป็นงานวิจัยหลักที่มีผู้สนใจอยู่หรือไม่ มีการนำองค์ความรู้ข้ามสาขามาใช้เพิ่มเติมเพื่อให้องค์ความรู้ใหม่และน่าสนใจอยู่เสมอ
2. ผลการดำเนินการ การนำไปใช้ หรือการลงมือปฏิบัติจริง อุปสรรคหรือปัญหาในการทำงาน
จำนวน Citation 893 ครั้ง และ h-index เท่ากับ 15 โดยในปี 2565 มีจำนวน Citation 176 ครั้ง ซึ่งเพิ่มขึ้นตามที่ต้องการทุกปีเมื่อดำเนินงานตามขั้นตอนที่ชี้แจงไว้โดยละเอียด
ได้ตรวจสอบผลของการดำเนินการตามขั้นตอนมาเป็นเวลา 5 ปี พบว่าการเพิ่มขึ้นของ citation เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้
ข้อเสนอแนะในการดำเนินการในอนาคต หรือการดำเนินการเพื่อสามารถนำไปสู่การเป็น Good Practice
แม้ว่าการดำเนินการตามแผนที่กล่าวมานี้ทำให้จำนวน Citation และ h-index เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่แนวโน้มของงานวิจัยที่เลือกทำอาจจะต้องปรับเปลี่ยนอยู่เสมอให้ทันต่อประเด็นที่เป็นที่สนใจในปัจจุบัน กล่าวคือต้องตามกระแสของโลกให้ทัน โดยดูจากจำนวน Citation ต่อปีของตนว่าเพิ่มขึ้นหรือลดลงในอัตราอย่างไร