การเรียนการสอนด้วยสถานการณ์จำลองเสมือนจริง: ความท้าทายของการศึกษาสาขาพยาบาลศาสตร์ (Simulation-based learning: Challenges of nursing education)
รางวัลดีเด่น ปีการศึกษา 2567 ยุทธศาสตร์ที่ 1 : KR 1.2.1 การเรียนการสอนด้วยสถานการณ์จำลองเสมือนจริง : ความท้าทายของการศึกษาสาขาพยาบาลศาสตร์ (Simulation-based learning : Challenges of nursing education) ผู้จัดทำโครงการ ดร.ณัฐพล ยุวนิช อ. นัสมัญญ์ เหลืองกิตติก้อง อ.ศศิพินทุ์ ศุภมนตรี บัวพล อ.นิธิมา คันธะชุมภู อ.ระวินันธ์ ธัชศิรินิรัชกุล และ อ.จรัสศรี อัธยาศัย คณะพยาบาลศาสตร์ หลักการและเหตุผล/ความสำคัญ/ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้ การจัดการเรียนการสอนในสาขาวิชาพยาบาลศาสตร์เป็นการเรียนการสอนแบบผสมผสานระหว่าง ทฤษฎีและการปฏิบัติโดยมุ่งเน้นให้นักศึกษาพยาบาลมีองค์ความรู้และทักษะทางการพยาบาลและนําไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติการพยาบาลเพื่อดูแลผู้รับบริการ ครอบครัว และชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีคุณภาพและเกิดความปลอดภัย สภาการพยาบาลจึงได้กําหนดให้หลักสูตรพยาบาลศาสตร์จัดการเรียนการสอนทั้งภาคทฤษฎีโดยมีชั่วโมงบรรยายและชั่วโมงฝึกปฏิบัติในห้องปฏิบัติการพยาบาล และภาคปฏิบัติในสถานบริการสุขภาพ โรงพยาบาล และชุมชน ตลอดจนให้ความสําคัญกับการฝึกปฏิบัติในห้องปฏิบัติการพยาบาลมากขึ้น เพื่อเตรียมนักศึกษาให้มีความพร้อมในการฝึกปฏิบัติการพยาบาลในสถานการณ์จริง โดยเกณฑ์การรับรองคุณภาพสถาบันการศึกษาการพยาบาลและการผดุงครรภ์พ.ศ. 2568 ได้กําหนดเพิ่มเติมให้สถาบันการศึกษามีห้องปฏิบัติการพยาบาลเสมือนจริง ให้นักศึกษาฝึกฝนทักษะการปฏิบัติการพยาบาล การแก้ไขปัญหา และการตัดสินใจทางคลินิก โดยใช้สถานการณ์จําลองเสมือนจริงทางการพยาบาลด้วยหุ่นจําลองผู้ป่วยเสมือนจริง ในแต่ละรายวิชาครอบคลุม 5 สาขาหลัก เพื่อให้เกิดผลลัพธ์การเรียนรู้ตามที่หลักสูตรกําหนดและเป็นการเตรียมความพร้อมแก่นักศึกษาก่อนฝึกปฏิบัติจริงกับผู้ป่วย ในปัจจุบันการเรียนการสอนในห้องปฏิบัติการพยาบาลศาสตร์มีแนวโน้มการใช้สถานการณ์จําลองเสมือนจริง (Simulation-based scenario) โดยประยุกต์ใช้หุ่นจําลองทางการพยาบาลขั้นสูง (High-fidelity manikin) มาสร้างสถานการณ์จําลองในรูปแบบกรณีศึกษามากขึ้น ซึ่งการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จําลองเสมือนจริงเป็นวิธีการเรียนการสอนที่ช่วยให้นักศึกษาพยาบาลได้ฝึกปฏิบัติทักษะต่างๆ ได้อย่างเต็มศักยภาพในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและควบคุมได้ ก่อนที่จะเข้าสู่การปฏิบัติจริงกับผู้ป่วย ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมให้นักศึกษาได้พัฒนาทักษะที่จําเป็นในการประกอบวิชาชีพพยาบาลอย่างมีประสิทธิภาพ (Guerrero et al., 2024; Jiang et al., 2024; Nair et al., 2024) อีกทั้งยังมีประโยชน์ในแง่ของการเปิดโอกาสให้นักศึกษาพยาบาลได้ฝึกปฏิบัติการพยาบาลกับผู้ป่วยที่พบเจอได้น้อยในสถานการณ์จริง เช่น ผู้ป่วยวิกฤต ผู้ป่วยที่มีโรคที่พบได้ยาก และ ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง โดยนักศึกษาสามารถฝึกปฏิบัติการพยาบาลในสถานการณ์จําลองได้หลายครั้งโดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้ป่วย (Diaz-Navarro et al., 2024) ดังนั้นสามารถสรุปได้ว่าการเรียนการสอนแบบการใช้สถานการณ์จําลองเสมือนจริง (Simulation-based scenario) มีประโยชน์ในด้านต่างๆ ดังนี้ (Saragih et al.,2024) ลดความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดพลาดในการปฏิบัติจริงกับผู้ป่วย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้ป่วยได้ เพิ่มความมั่นใจให้นักศึกษาพยาบาล โดยการฝึกฝนทักษะการพยาบาลที่จําเป็นต่างๆ หลายครั้งจนเกิดความชํานาญและความมั่นใจในการปฏิบัติการพยาบาล พัฒนาทักษะการแก้ปัญหาและการตัดสินใจทางคลินิก สถานการณ์จําลองเสมือนจริงจะถูกออกแบบมาให้มีความหลากหลายและซับซ้อน ทําให้นักศึกษาได้ฝึกฝนทักษะการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหาในสถานการณ์จริง ส่งเสริมการเรียนรู้แบบร่วมมือ การทํางานร่วมกันในสถานการณ์จําลองเสมือนจริง ช่วยให้นักศึกษาได้เรียนรู้การทํางานเป็นทีมและการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ประหยัดค่าใช้จ่าย การใช้สถานการณ์จําลองเสมือนจริง ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการจัดหาอุปกรณ์และวัสดุสิ้นเปลืองในการฝึกปฏิบัติจริง เพิ่มความน่าสนใจในการเรียนรู้ สถานการณ์จําลองเสมือนจริงที่ถูกออกแบบมาอย่างดี จะช่วยให้นักศึกษาเกิดความสนใจและมีส่วนร่วมในการเรียนรู้มากยิ่งขึ้น คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เห็นความสําคัญของการจัดการเรียนการสอนโดยใช้สถานการณ์จําลองเสมือนจริง (Simulation-based scenario) และได้พัฒนามาโดยลําดับ ในปีการศึกษา 2566 คณะพยาบาลศาสตร์ได้ปรับการเรียนการสอนในบางสาขาวิชาจากวิธีบรรยายมาใช้กรณีศึกษาร่วมกับการอภิปรายในชั้นเรียนแบบกลุ่ม โดยได้รายงานเป็นแนวปฏิบัติที่ดีด้านการเรียนการสอน โดย ผศ. สมหญิง โควศวนนท์ และ คณะ เรื่อง “สอนย่างไรจึงจะทําให้นักศึกษานําความรู้สู่การปฏิบัติได้” ซึ่งได้ปรับรูปแบบการเรียนการสอนวิชา BNS 234 การพยาบาลเด็กและวัยรุ่น โดยมีวัตถุประสงค์ให้นักศึกษามีความรู้ความเข้าใจแนวคิดและทฤษฎีพัฒนาการเด็กและวัยรุ่น และสามารถให้การพยาบาลเด็กและวัยรุ่นที่มีภาวะสุขภาพดีและมีปัญหาสุขภาพได้ ผลการใช้การเรียนการสอนรูปแบบกรณีศึกษาร่วมกับการอภิปรายในชั้นเรียนแบบกลุ่ม พบว่า นักศึกษาเกิดการเรียนรู้มากขึ้น มีการศึกษาค้นคว้าเพิ่มขึ้น มีความพร้อมในการขึ้นฝึกภาคปฏิบัติมากขึ้น และพึงพอใจกับการเรียนการสอนในรายวิชาเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามการเรียนการสอนรูปแบบนี้ยังมีข้อจํากัดในด้านการตัดสินใจทางคลินิก การปฏิบัติการพยาบาลเป็นทีม และการสื่อสาร 2 ทาง (Two-way communication) ระหว่างผู้ป่วยและนักศึกษาพยาบาล จึงมีข้อเสนอให้นํากรณีศึกษามาสร้างสถานการณ์จําลองเสมือนจริง โดยใช้หุ่นจําลองทางการพยาบาลขั้นสูง เพื่อให้นักศึกษาเกิดการเรียนรู้จากกรณีศึกษาได้สมจริงมากขึ้น เช่น เห็นการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพ การหายใจและการขยายของทรวงอก การหดตัวของรูม่านตาเมื่อมีปฏิกิริยาต่อแสง และอาการต่าง ๆ แบบ Real-time และสามารถพูดคุยกับหุ่นจําลองทางการพยาบาลขั้นสูงได้ส่งเสริมให้มีการคิดวิเคราะห์ การสื่อสารเชิงวิชาชีพ การตัดสินใจในการให้การพยาบาลที่เหมาะสมอย่างเต็มศักยภาพ และเกิดความมั่นใจในตนเองก่อนการขึ้นฝึกปฏิบัติ กับผู้ป่วยจริงในสถานบริการสุขภาพ โรงพยาบาล และชุมชน (Jiang et al., 2024; Nair et al., 2024) ในปีการศึกษา 2567 คณะได้แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาการเรียนการสอนโดยใช้สถานการณ์จําลองทางการพยาบาล และคณะผู้จัดทําได้ร่วมกับคณะกรรมการฯ พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้สถานการณ์จําลองเสมือนจริง (Simulation-based scenario) ด้วยหุ่นจําลองทางการพยาบาลขั้นสูง (High-fidelity manikin) ในการเรียนการสอน 3 สาขาวิชาหลัก ได้แก่ การพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ การพยาบาลมารดาทารก และการผดุงครรภ์ การพยาบาลเด็กและวัยรุ่น และ 1 สาขาวิชาเสริม คือ การพยาบาลพื้นฐานและเสริมการพยาบาล โดยมีเป้าประสงค์เพื่อให้นักศึกษาเรียนรู้จากสถานการณ์จําลองที่ใกล้เคียงกับสถานการณ์จริงให้ได้มากที่สุดและหวังผลให้เกิดองค์ความรู้จากการลงมือปฏิบัติ การคิดวิเคราะห์ การสื่อสารเชิงวิชาชีพ การตัดสินใจในการให้การพยาบาลที่เหมาะสมอย่างเต็มศักยภาพ และเกิดความมั่นใจในตนเองก่อนการขึ้นฝึกปฏิบัติกับผู้ป่วยจริงในสถานบริการสุขภาพ โรงพยาบาล และชุมชน ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้ การประยุกต์กระบวนการพยาบาล แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ การพยาบาลมารดาทารกและการผดุงครรภ์ การพยาบาลเด็กและวัยรุ่น และการพยาบาลพื้นฐาน และแนวคิดรูปแบบสถานการณ์จําลองเสมือนจริงในการศึกษาทางการพยาบาล (Nursing Education Simulation Framework) ของ Jeffries (2005) กระบวนการพยาบาล (Nursing process) กระบวนการพยาบาลเป็นเครื่องมือในการปฏิบัติการพยาบาล ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ได้แก่ การประเมินสภาพ การวินิจฉัยการพยาบาลหรือการกําหนดปัญหาทางการพยาบาล การวางแผนการพยาบาล การปฏิบัติการพยาบาล และการประเมินผล กระบวนการพยาบาลช่วยให้พยาบาลมองปัญหาสุขภาพของผู้รับบริการรายบุคคลแบบองค์รวมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์และเป็นการนําความรู้ทางทฤษฎีไปสู่การปฏิบัติบนพื้นฐานของการใช้เหตุผล การตัดสินใจ และการแก้ปัญหาซึ่งส่งเสริมให้เกิดคุณภาพทางการพยาบาล (Toney-Butler &Thayer, 2023) Jeffries’s Nursing Education Simulation Framework (Jeffries, 2005)เป็นแนวคิดจําลองการออกแบบและการประยุกต์ใช้สถานการณ์จําลองเสมือนจริงในการเรียนการสอนทางการพยาบาล ประกอบไปด้วย 5 องค์ประกอบ ได้แก่ การอํานวยความสะดวกในการเรียนของผู้สอน โดยผู้สอนมีหน้าที่หลักในการสังเกต อํานวยความสะดวกในกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน สะท้อนคิด และสรุปผล การเรียนรู้ด้วยตนเองของผู้เรียน การสอนในสถานการณ์จําลองเสมือนจริงที่มีการเรียนรู้อย่างมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียน-ผู้เรียน และผู้เรียน-ผู้สอน การออกแบบสถานการณ์จําลองเสมือนจริง โดยคํานึงถึง การกําหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน การสร้างสถานการณ์จําลองที่มีรายละเอียดและครอบคลุม การออกแบบสภาพแวดล้อม และการออกแบบเนื้อหาสถานการณ์จําลองเพื่อให้เหมาะสมกับเป้าหมายและวัตถุประสงค์ ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากการประยุกต์ใช้สถานการณ์จําลองเสมือนจริงในการเรียนการสอนทางการพยาบาล ได้แก่ องค์ความรู้ (Knowledge) ทักษะปฏิบัติการพยาบาล (Nursing skill) ความพึงพอใจของผู้เรียน (Learner’s satisfaction) การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical thinking) และความมั่นใจในตนเอง (Self-confidence) การจัดการเรียนการสอนมี 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ขั้นนํา ขั้นปฐมนิเทศและชี้แจงรายละเอียด (Pre-briefing) 2) ขั้นดําเนินสถานการณ์ตามฉากที่กําหนด (Running scenario) และ 3) ขั้นสรุปผลการเรียนรู้ (Debriefing) แนวคิดรูปแบบสถานการณ์จําลองเสมือนจริงในการศึกษาทางการพยาบาลของ Jeffries ช่วยให้นักศึกษาเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้และปฏิบัติการพยาบาลอย่างเต็มศักยภาพ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติการณ์ไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ ต่อผู้ป่วย อีกทั้งยังช่วยให้นักศึกษาพยาบาลสามารถประเมินผลและปรับปรุงความสามารถของตนเองเพื่อให้มีผลลัพธ์ที่ดีขึ้น (Jeffries, 2005) จากแนวคิดทฤษฎีดังกล่าว ทางคณะผู้จัดทําจึงพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนด้วยกรณีศึกษาในรูปแบบสถานการณ์จําลองเสมือนจริง (Simulation-based scenario) โดยประยุกต์ใช้หุ่นจําลองทางการพยาบาลขั้นสูง (High-fidelity manikin) ดําเนินการเรียนการสอนตามแนวคิดของ Jeffries 3 ขั้นตอน คือ สถานการณ์ตามฉากที่กําหนด และกําหนดให้นักศึกษาบูรณาการใช้กระบวนการพยาบาล ร่วมกับการสื่อสารเชิงวิชาชีพ การทํางานเป็นทีม ทักษะปฏิบัติการพยาบาลที่จําเป็น และหลักจริยธรรมทางการพยาบาล มาใช้ในการให้การพยาบาลผู้ป่วยจําลองแบบองค์รวม ด้วยวิธีการนี้คณะผู้จัดทําเชื่อว่าเมื่อนักศึกษาขึ้นฝึกปฏิบัติวิชาปฏิบัติการการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ การพยาบาลมารดาทารกและการผดุงครรภ์ การพยาบาลเด็กและวัยรุ่น และการพยาบาลพื้นฐาน นักศึกษาจะสามารถนําความรู้ไปใช้ในการปฏิบัติการพยาบาลแก่ผู้ป่วยแบบองค์รวมได้ ประเภทความรู้และที่มาความรู้ ความรู้แบบชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) ความรู้จากคลังความรู้ของเว็บไซต์ระบบการจัดการความรู้ KM Rangsit University(http://lc.rsu.ac.th/km/Knowledgebase และ https://rkms.rsu.ac.th/) เจ้าของความรู้/สังกัด ผศ. สมหญิง โควศวนนท์ และคณะ คณะพยาบาลศาสตร์ เรื่อง “สอนอย่างไรจึงจะทําให้นักศึกษานําความรู้สู่การปฏิบัติได้” อื่นๆ ได้แก่ 1) กระบวนการพยาบาลและแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการพยาบาลผู้ใหญ่และ ผู้สูงอายุ การพยาบาลมารดาทารกและการผดุงครรภ์ การพยาบาลเด็กและวัยรุ่น และการพยาบาลพื้นฐานและ เสริมการพยาบาล และ 2) แนวคิดรูปแบบสถานการณ์จําลองเสมือนจริงในการศึกษาทางการพยาบาลของJeffries ความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวคน (Tacit Knowledge) อื่น ๆ (ระบุ) Simulation-based knowledge skills ของอาจารย์ วิธีการดำเนินการ วิธีการดําเนินการ แบ่งเป็น 4 ระยะระยะที่ 1: การสร้างกรณีศึกษา และการตั้งค่าหุ่นจําลองทางการพยาบาลตามกรณีศึกษา (Scenariocreating and high-fidelity manikin setting up) ทีมผู้สอนสร้างกรณีศึกษา โดยคัดเลือกกรณีศึกษาจากผู้ป่วยจริงที่นักศึกษาได้ให้การดูแลในสถานบริการสุขภาพ โรงพยาบาล หรือชุมชน ในวิชาปฏิบัติการพยาบาลของปีการศึกษา 2566 เมื่อคัดเลือกกรณีศึกษาที่มีความเหมาะสมกับเนื้อหาหรือบทเรียนที่จะใช้ในการเรียนการสอนทางห้องปฏิบัติการแล้ว ขั้นตอนถัดไปจะเป็นการดัดแปลงและปรับแก้ไขกรณีศึกษาเพื่อให้ค่าการแสดงผลลัพธ์ต่างๆ เข้ากันได้กับหุ่นจําลองทางการพยาบาลขั้นสูง ตัวอย่างของกรณีศึกษาและบทเรียนในห้องปฏิบัติการที่มีความสอดคล้องกันแสดงในตารางที่ 1 เมื่อได้กรณีศึกษาที่เหมาะสม ทางทีมผู้สอนจะนํามาเขียนสถานการณ์จําลองเสมือนจริง (ตัวอย่างของสถานการณ์จําลองเสมือนจริงแสดงในภาคผนวก ก) โดยใช้แบบฟอร์มของ the International Nursing Association of Clinical Simulation and Learning (INACSL), Thailand Regional Interest Groups (RIGs) โดยมีหัวข้อย่อยในการเขียนสถานการณ์จําลองเสมือนจริง 10 หัวข้อ มีรายละเอียดดังนี้ ข้อมูลทั่วไป เป็นส่วนที่กําหนดข้อมูลทั่วไปของสถานการณ์จําลองเสมือนจริง เช่น ชื่อเรื่อง ภาควิชา ผู้เรียน ผู้พัฒนาบท คณะผู้วิพากษ์และให้ข้อเสนอแนะ และวันที่พัฒนาสถานการณ์จําลอง เป้าหมายการเรียนรู้ (Goal) เป็นส่วนที่กําหนดเป้าหมายเพื่อให้ผู้เรียนทราบถึงวัตถุประสงค์ในการเรียนด้วยสถานการณ์จําลองเสมือนจริง วัตถุประสงค์การเรียนรู้ (Objectives) เป็นส่วนที่กําหนดวัตถุประสงค์ย่อยในการเรียนด้วยสถานการณ์จําลองเสมือนจริง ซึ่งในแต่ละวัตถุประสงค์อาจสอดคล้องกับระยะของสถานการณ์จําลอง (หัวข้อ 8) ระยะเวลา ผู้สอนกําหนดระยะเวลาให้ชัดเจนในการสอนด้วยสถานการณ์จําลองเสมือนจริง โดยระยะเวลาจะแบ่งเป็น 3 ระยะตาม Jeffries’s Nursing Education Simulation Framework (Jeffries, 2005) ได้แก่ ขั้นปฐมนิเทศและชี้แจงรายละเอียด (Pre-briefing) 2) ขั้นดําเนินสถานการณ์ตามฉากที่กําหนด (Running scenario) และ 3) ขั้นสรุปผลการเรียนรู้ (Debriefing) บทบาทในสถานการณ์จําลอง เป็นการกําหนดบทบาทของผู้เรียน (Learner’s role) และบทบาทผู้ช่วยในสถานการณ์จําลอง (Consideration role) รายละเอียดทั่วไปของสถานการณ์จําลอง ในหัวข้อนี้จะกําหนดรายละเอียดข้อมูลต่างๆของกรณีศึกษาที่คัดเลือกมาใช้ในสถานการณ์จําลองเสมือนจริง เช่น อาการสําคัญนําส่ง ประวัติการเจ็บป่วยในปัจจุบันประวัติการเจ็บป่วยในอดีต และข้อมูลสําคัญอื่นที่เกี่ยวข้อง อุปกรณ์ที่ต้องตรียม เป็นการกําหนดอุปกรณ์ทางการแพทย์หรืออุปกรณ์อื่นที่เกี่ยวข้องในการใช้ในสถานการณ์จําลองเสมือนจริง เช่น ถังออกซิเจน ท่อช่วยหายใจ อุปกรณ์เช็ดตัวลดไข้ Labor set เป็นต้น รายละเอียดในแต่ละระยะในสถานการณ์จําลอง เป็นการกําหนดระยะต่างๆ ของสถานการณ์จําลองเสมือนจริง ในระยะนี้จะมีการเขียนรายละเอียดของการแสดงผลลัพธ์ต่างๆ ในหุ่นจําลองทางการพยาบาลขั้นสูง โดยจะแบ่งเป็นหัวข้อย่อย 5 หัวข้อย่อย ได้แก่ 1) ระยะเวลาของสถานการณ์ 2) สภาวะผู้ป่วย (สภาพที่นักศึกษามองเห็นและสังเกตได้และจะนําไปปฏิบัติ 3) การปฏิบัติของผู้เรียน 4) บันทึกของ Facilitator 5) ระยะเวลาของการปฏิบัติ (นาที) ประเด็นการอภิปรายภายหลังสถานการณ์จําลอง (Debriefing) เป็นการกําหนดประเด็นในการอภิปราย และให้นักศึกษาสะท้อนคิดภายหลังเสร็จสิ้นสถานการณ์จําลองเสมือนจริง โดยใช้หลักการ GAS model [G = Gathering information, A = Analyze, S = Summarize] References และแหล่งอ้างอิงหลักฐานเชิงประจักษ์ที่เกี่ยวข้อง ระยะที่ 2: การทดสอบความน่าเชื่อถือของสถานการณ์จําลองเสมือนจริง (Validity testing) เมื่อสร้างสถานการณ์จําลองเสมือนจริงและตั้งค่าแสดงผลลัพธ์ต่างๆ ในหุ่นจําลองทางการพยาบาลขั้นสูงแล้ว ผู้สอนจัดเตรียมอุปกรณ์และจัดสภาพแวดล้อมให้เสมือนหอผู้ป่วยให้ได้มากที่สุด หลังจากนั้นจะนําสถานการณ์จําลองเสมือนจริงที่สร้างขึ้นไปทดสอบ Alpha test และ Beta test ตามลําดับโดยมีรายละเอียดดังนี้ Alpha test: นําสถานการณ์จําลองเสมือนจริงที่สร้างขึ้นไปทดสอบกับผู้เรียน ซึ่งเป็นคณาจารย์ต่าง สาขาวิชา เพื่อทดสอบการ Run scenario ของสถานการณ์จําลองที่สร้างขึ้น และหลังสิ้นสุดสถานการณ์ จะอภิปรายร่วมกันกับผู้เรียนเพื่อประเมินความน่าเชื่อถือของสถานการณ์ ความยากง่าย และการนําไปใช้ หากมีข้อเสนอแนะหรือปรับปรุงแก้ไข ทางผู้สอนจะพิจารณาปรับแก้ตามข้อเสนอแนะตามความเหมาะสม Beta test: เมื่อปรับแก้สถานการณ์จําลองจากขั้น Alpha test แล้ว ผู้สอนจะนําไปทดสอบ Beta test โดยนําสถานการณ์จําลองเสมือนจริงที่ปรับปรุงไปทดสอบกับผู้เรียน ซึ่งเป็นนักศึกษาที่ไม่ใช่กลุ่มที่จะเรียนในห้องปฏิบัติการด้วยสถานการณ์จําลองที่สร้างขึ้น และหลังสิ้นสุดสถานการณ์จะอภิปรายร่วมกันกับผู้เรียนเพื่อประเมินความน่าเชื่อถือของสถานการณ์ ความยากง่าย และการนําไปใช้ เมื่อมีข้อเสนอแนะ หรือปรับปรุงแก้ไข ทางผู้สอนจะพิจารณาปรับแก้ตามข้อเสนอแนะตามความเหมาะสม หลังจากนั้นจะได้สถานการณ์จําลองเสมือนจริงที่พร้อมใช้ในการเรียนการสอน ระยะที่ 3: การเตรียมความพร้อมและจัดสิ่งแวดล้อมในการดําเนินสถานการณ์จําลองเสมือนจริง (Scene setting up phase) ผู้สอนจัดสภาพแวดล้อมให้เสมือนหอผู้ป่วยให้ได้มากที่สุด และจัดอุปกรณ์จําเป็นต่างๆ (ที่กําหนดในหัวข้อที่ 7 ของสถานการณ์จําลอง) ในการเรียนการสอนรูปแบบสถานการณ์จําลองเสมือนจริง (Simulation-based scenario) โดยประยุกต์ใช้หุ่นจําลองทางการพยาบาลขั้นสูง (High-fidelity manikin) ระยะที่ 4: การนําไปใช้ในการสอนในห้องปฏิบัติการ (Implementing phase) ระยะนี้เป็นขั้นการนําสถานการณ์จําลองที่สร้างขึ้นมาใช้ในการเรียนการสอนในห้องปฏิบัติการพยาบาลศาสตร์ โดยแบ่งเป็น 3 ระยะตาม Jeffries’s Nursing Education Simulation Framework (Jeffries, 2005) ได้แก่ ขั้นปฐมนิเทศและชี้แจงรายละเอียด (Pre-briefing) 2) ขั้นดําเนินสถานการณ์ตามฉากที่กําหนด (Running scenario) และ 3) ขั้นสรุปผลการเรียนรู้ (Debriefing) ในระหว่างการ Run scenario ผู้สอนที่ทําหน้าที่ Facilitator จะหลีกเลี่ยงการแทรกแซงการปฏิบัติของนักศึกษา และจะให้ข้อมูลเพิ่มเติมในกรณีจําเป็นเท่านั้น ยกตัวอย่างกรณีการตอบสนองบางอย่างที่หุ่นไม่สามารถตอบสนองได้ เช่น การยกแขน ขา เป็นต้น หลังจบการ Run scenario จะพูดคุย เปิดโอกาสให้สะท้อนคิด และอภิปรายกับผู้เรียนถึงประสบการณ์ที่ได้ปฏิบัติในสถานการณ์จําลองเสมือนจริง และตลอดการเรียนการสอนด้วยวิธีนี้ ผู้สอนต้องรักษาบรรยากาศความปลอดภัยทางจิตสังคม (Psychosocial Safety Climate) ตลอดเวลาเพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนคิดวิเคราะห์และมีการตัดสินใจทางคลินิกอย่างเต็มศักยภาพ (Diaz-Navarro et al., 2024) ระยะที่ 5: การประเมินผล (Evaluating phase) หลังจากสิ้นสุดสถานการณ์ ผู้เรียนจะเข้าสู่ขั้นตอนการสรุปผลการเรียนรู้ (Debriefing) โดยผู้สอนจะใช้ คําถามในการกระตุ้นให้ผู้เรียนสะท้อนคิดและมีการอภิปรายเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในระหว่างการ Run scenario โดยคําถามจะเป็นไปตามกรอบ GAS model นอกจากนี้จะมีการทดสอบความรู้โดยการสอบข้อเขียนในหัวข้อที่ได้เรียนรู้จากสถานการณ์จําลองอีกครั้ง 2.Prototype testing in an operational environment – DO ผลการดำเนินการ การนำไปใช้ หรือการลงมือปฏิบัติจริง อุปสรรคหรือปัญหาในการทำงาน นอกจากนี้ยังพบว่าผลของการเรียนในห้องปฏิบัติการวิชาการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ การพยาบาลมารดาทารกและการผดุงครรภ์ การพยาบาลเด็กและวัยรุ่น และการพยาบาลพื้นฐาน มีแนวโน้มไปในทางที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีการศึกษาก่อนที่ใช้กรณีศึกษาหรือการเรียนการสอนแบบฝึกทักษะปฏิบัติการพยาบาล (Nursing skill training) ในห้องปฏิบัติการพยาบาลตามรูปแบบเดิม ดังตารางที่ 2 ในรายวิชา BNS 342 การผดุงครรภ์ 2 หลังเสร็จสิ้นการเรียนการสอนและเว้นระยะเวลาการเรียนการสอนเป็นระยะเวลา 4 เดือน (เนื่องจากนักศึกษาขึ้นฝึกวิชาปฏิบัติการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ) เมื่อนำผลการสอบมาวิเคราะห์รายบทพบว่า มีร้อยละของนักศึกษาที่สอบผ่านในหัวข้อ การพยาบาลผู้คลอดที่มีภาวะแทรกซ้อนในระยะคลอด เพิ่มมากขึ้นจากเดิม 32.53% เป็น 62.50% 3. Proven through successful mission operation, Objectives and Key Results for Knowledge Management – CHECK การประเมินผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้กรณีศึกษาในรูปแบบสถานการณ์จําลองเสมือนจริง (Simulation-based scenario) โดยประยุกต์ใช้หุ่นจําลองทางการพยาบาลขั้นสูง (High-fidelity manikin) พบว่า นักศึกษาเกิดการเรียนรู้มากขึ้น มีการศึกษาค้นคว้าเพิ่มขึ้น มีความพร้อมในการขึ้นฝึกภาคปฏิบัติมากขึ้น และพึงพอใจกับการเรียนการสอนในรายวิชาเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับการเรียนในรูปแบบเดิมที่ไม่มีการใช้สถานการณ์จําลองเสมือนจริง ดังข้อมูลในตารางที่ 3 ข้อคิดเห็นเพิ่มเติมต่อการเรียนรู้โดยใช้กรณีศึกษาในรูปแบบสถานการณ์จําลองเสมือนจริง (Simulation-based scenario) โดยประยุกต์ใช้หุ่นจําลองทางการพยาบาลขั้นสูง (High-fidelity manikin) อยากให้มีสถานการณ์หลายๆ สถานการณ์ค่ะ จะได้เรียนรู้ได้เพิ่มขึ้น ถ้าเป็นไปได้ อยากมีเวลาในการทําสถานการณ์ซ้ําเพื่อดูว่าจะทําได้ดีขึ้นไหม อภิปรายผลการจัดการเรียนการสอนโดยใช้กรณีศึกษาในรูปแบบสถานการณ์จําลองเสมือนจริง (Simulation- based scenario) โดยประยุกต์ใช้หุ่นจําลองทางการพยาบาลขั้นสูง (High-fidelity manikin) ผลจากการเรียนการสอนด้วยการใช้กรณีศึกษาในรูปแบบสถานการณ์จําลองเสมือนจริง (Simulation- based scenario) โดยประยุกต์ใช้หุ่นจําลองทางการพยาบาลขั้นสูง (High-fidelity manikin) ชี้ให้เห็นว่านักศึกษาเกิดความรู้ความเข้าใจมากขึ้น โดยค่าคะแนนเฉลี่ยของการเรียนในห้องปฏิบัติการพยาบาลของนักศึกษาเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีการศึกษาก่อนที่ใช้รูปแบบการเรียนการสอนแบบเดิม การเรียนการสอนด้วยวิธีนี้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จากการลงมือปฏิบัติบนพื้นฐานขององค์ความรู้และมีการสะท้อนคิดเพื่อสรุปสาระสําคัญหรือปัญหาที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติผ่านการ Debriefing ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนสะท้อนคิดถึงเหตุการณ์ในสถานการณ์ รวมถึงเหตุผลในการตัดสินใจในการปฏิบัติ ความรู้สึกขณะปฏิบัติ และมีภาพจดจําจากสถานการณ์ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ เกิดจากการลงมือปฏิบัติจริง ทําให้เกิดเป็นความรู้ที่คงทนมากกว่าการฟังการบรรยาย การดูการสาธิต และการสาธิตย้อนกลับ จากการสะท้อนคิดของนักศึกษาพบว่านักศึกษาเกิดความสนุกในการเรียน ไม่เครียดหรือกดดัน บรรยากาศในการเรียนการสอนเป็นไปอย่างราบรื่นและรู้สึกปลอดภัย ทั้งนี้สามารถอธิบายประเด็นนี้ได้ว่ารูปแบบของการเรียนการสอนด้วยสถานการณ์จําลองเสมือนจริง ผู้สอนต้องรักษาบรรยากาศความปลอดภัยทางจิตสังคม(Psychosocial Safety Climate) ตลอดเวลาเพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนคิดวิเคราะห์และมีการตัดสินใจทางคลินิกอย่างเต็มศักยภาพ (Diaz-Navarro et al., 2024) และอาจารย์ที่สอนด้วยสถานการณ์จําลองเสมือนจริงได้ รักษากฏระเบียบข้อนี้อย่างเคร่งครัดและปฏิบัติอย่างสม่ําเสมอจึงทําให้บรรยากาศน่าเรียนและนักศึกษาเกิดความสนุกในการเรียน และอาจส่งผลต่อความพึงพอใจต่อนักศึกษาในการเรียนด้วยวิธีนี้ (Saragih et al., 2024) จากการสํารวจหลังการสอนด้วยสถานการณ์จําลองเสมือนจริงพบว่านักศึกษาเกิดความพึงพอใจต่อรายวิชามากขึ้น โดยผลจากการบูรณาการวิธีการสอนด้วยสถานการณ์จําลองเสมือนจริงต่อความพึงพอใจของผู้เรียนสอดคล้องกับการศึกษาของ Gaspar และ Banayat (2024) โดยสนับสนุนว่าการใช้ High-fidelity manikin ในการเรียนการสอนแบบสถานการณ์จําลองเสมือนจริงส่งผลให้ผู้เรียนมีความพึงพอใจในระดับสูงและมีทัศนคติเชิงบอกต่อการเรียนการสอนในสาขาพยาบาลศาสตร์ นอกจากนี้นักศึกษายังสะท้อนคิดให้เห็นว่าการเรียนด้วยสถานการณ์จําลองเสมือนจริงทําให้มีทักษะการสื่อสารเชิงวิชาชีพ จรรยาบรรณวิชาชีพ และทักษะการตัดสินใจทางคลินิก ซึ่งสอดคล้องกับรายงานการวิจัยที่ผ่านมาหลายเรื่อง (Gaspar & Banayat, 2024; Jiang et al., 2024; Nair et al.,2024; Diaz-Navarro et al., 2024; Saragih et al., 2024) นอกจากนี้ยังส่งผลให้นักศึกษามีความมั่นใจขึ้นก่อนที่จะไปฝึกปฏิบัติจริงที่สถานบริการสุขภาพ ในโรงพยาบาล หรือในชุมชน ซึ่งอธิบายได้ว่าการสอนในรูปแบบสถานการณ์จําลองเสมือนจริงเปิดโอกาสให้ผู้เรียนคิดวิเคราะห์และใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ โดยสามารถลองผิดลองถูกได้และไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ป่วยเมื่อเกิดข้อผิดพลาด (Saragih et al., 2024) และการได้ปฏิบัติซ้ํา จากการแก้ไขข้อผิดพลาดเดิมทําให้เกิดความรู้ความเข้าใจมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ผู้เรียนมีความมั่นใจในตนเองมากขึ้น อาจารย์ผู้สอนด้วยวิธีการใช้กรณีศึกษาในรูปแบบสถานการณ์จําลองเสมือนจริง (Simulation-based scenario) โดยประยุกต์ใช้หุ่นจําลองทางการพยาบาลขั้นสูง (High-fidelity manikin) ในครั้งนี้ให้ข้อคิดเห็นผ่านการสะท้อนคิดว่าการสอนด้วยวิธีนี้มีความท้าทาย เป็นวิธีใหม่ที่ค่อนข้างดีและเห็นผลลัพธ์ชัดเจนจากคะแนนที่เพิ่มขึ้นของนักศึกษา นอกจากการเตรียมสอนโดยวิธีการปกติแล้วอาจารย์ยังมีหน้าที่ในการจัดสิ่งแวดล้อมและตั้งค่าแสดงผลลัพธ์ต่างๆใน High-fidelity manikin ทั้งนี้ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์และพัฒนาการเรียนการสอนให้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น (Verkuyl et al., 2024) เป็นที่น่าสนใจว่าอาจารย์ที่ใช้วิธีการสอนด้วยสถานการณ์จําลองเสมือนจริงกล่าวถึงการควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น ใจเย็น ไม่ดุว่านักศึกษาในขณะที่กําลังปฏิบัติในสถานการณ์จําลอง ทั้งนี้เป็นข้อกําหนดของรูปแบบการเรียนการสอนด้วยสถานการณ์จําลองเสมือนจริงที่ต้องรักษาบรรยากาศ ความปลอดภัยทางจิตสังคม (Psychosocial Safety Climate) เพื่อให้นักศึกษากล้าคิดกล้าแสดงความคิดเห็น ลงมือปฏิบัติอย่างตั้งใจ และเกิดสัมพันธภาพที่ดีระหว่างอาจารย์และนักศึกษา (Ford et al., 2024) นอกจากนี้ยังเป็นการกระตุ้นให้นักศึกษาคิดวิเคราะห์และมีการตัดสินใจทางคลินิกอย่างเต็มศักยภาพ (Diaz-Navarro et al., 2024) บทสรุปความรู้หรือความรู้ที่ค้นพบใหม่การเรียนการสอนด้วยสถานการณ์จําลองเสมือนจริงโดยใช้หุ่นจําลองทางการพยาบาลขั้นสูง เป็นรูปแบบที่ส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ ดังนี้ นักศึกษาเกิดการพัฒนาองค์ความรู้จากการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ในสถานการณ์จําลอง ความรู้ที่เกิดขึ้น เป็นความรู้ที่คงทนมากกว่าการฟังจากการบรรยาย นักศึกษาเกิดการบูรณาการใช้กระบวนการพยาบาลร่วมกับความรู้เรื่องการสื่อสารเชิงวิชาชีพอย่างสร้างสรรค์ การเคารพสิทธิผู้ป่วยและจรรยาบรรณวิชาชีพ ทักษะจําเป็นทางการพยาบาล การทํางานเป็นทีมและการตัดสินใจทางคลินิก นักศึกษาเกิดความมั่นใจก่อนไปฝึกปฏิบัติการพยาบาลจริงในสถานบริการสุขภาพ โรงพยาบาล และชุมชน นักศึกษามีความสุขขณะเรียน บรรยากาศในการเรียนไม่กดดัน มีความปลอดภัยทางจิตสังคม และส่งผลต่อความพึงพอในในระดับดีมากของรายวิชาที่บูรณาการการสอนด้วยสถานการณ์จําลองเสมือนจริง อาจารย์ได้เรียนรู้วิธีการสอนที่แตกต่างหลากหลาย เกิดความคิดสร้างสรรค์ในการจัดเตรียมสถานการณ์จําลองให้มีความเสมือนจริงมากที่สุด อาจารย์มีการจัดการอารมณ์ได้ดีขึ้น เป็นไปในเชิงบวก และเรียนรู้การรักษาความปลอดภัยทางจิตสังคมซึ่งเป็นประโยชน์ในการนําไปประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนอื่นๆ โดยเฉพาะวิชาปฏิบัติการพยาบาล ข้อเสนอแนะในการดำเนินการในอนาคต หรือการดำเนินการเพื่อสามารถนำไปสู่การเป็น Good Practice สร้างกรณีศึกษาเพื่อใช้ในสถานการณ์จําลองให้มีความหลากหลาย ครอบคลุมสาระสําคัญของการพยาบาล 5 สาขาหลัก และสาขาพื้นฐานและเสริมการพยาบาล โดยมีทั้งสถานการณ์ที่ซับซ้อนและไม่ซับซ้อนตามวัตถุประสงค์ของรายวิชา เพื่อให้นักศึกษาการเรียนรู้ได้หลากหลายมิติ พัฒนาสถานการณ์จําลองแบบ Hybridge โดยอาจใช้ Standardized patient ร่วมกับการใช้หุ่นจําลองทางการพยาบาลขั้นสูง เพื่อให้สถานการณ์จําลองมีความเสมือนจริงมากขึ้นและน่าสนใจ จากการสังเกตพบว่านักศึกษาหลายคนมีความโดดเด่นในการคิดและตัดสินใจในการปฏิบัติการในสถานการณ์ ขณะเดียวกันก็สะท้อนว่า นักศึกษาบางคนไม่สามารถคิดและตัดสินใจได้ รวมทั้งพร่องทักษะการปฏิบัติดังนั้นก่อนจัดการเรียนการสอนด้วยสถานการณ์จําลองเสมือนจริง ควรจัดให้นักศึกษาได้ฝึกทักษะปฏิบัติการพยาบาลที่จําเป็นมาก่อน และมีกระบวนการเตรียมความพร้อมนักศึกษาก่อนเข้าเรียนด้วยสถานการณ์จําลองเสมือนจริง เช่น ดู VDO การปฏิบัติทักษะต่าง ๆ ที่นักศึกษาต้องปฏิบัติในแต่ละฐานสถานการณ์จําลองเสมือนจริง และจัดเตรียมเอกสารความรู้ที่เกี่ยวข้อง จัดทําคู่มือปฏิบัติในการจัดการเรียนการสอนด้วยสถานการณ์จําลองเสมือนจริงเพื่อให้ผู้สอนปฏิบัติได้ถูกต้องตาม Jeffries’s Nursing Education Simulation Framework จัดอบรมเชิงปฏิบัติการแก่อาจารย์ผู้สอนในเรื่องการเรียนการสอนด้วยสถานการณ์จําลองเสมือนจริง ทั้งในรายใหม่ที่ยังไม่เคยอบรมและ re-skill ในอาจารย์ที่ได้รับการอบรมมาแล้ว เพื่อให้เกิดทักษะการสอนด้วยสถานการณ์จําลองเสมือนจริง และมีทักษะในการใช้หุ่นจําลองทางการพยาบาลขั้นสูงมากยิ่งขึ้น ส่งเสริมและสนับสนุนให้อาจารย์มีส่วนร่วมในการเรียนการสอนด้วยสถานการณ์จําลองเสมือนจริงมากขึ้น โดยอาจให้จับคู่กับอาจารย์ที่มีประสบการณ์การสอนด้วยวิธีนี้ และให้ช่วยรับบทในสถานการณ์จําลองที่ไม่ซับซ้อน เช่น ญาติผู้ป่วย พยาบาลหัวหน้าเวร และแพทย์เวร เพื่อให้มีส่วนร่วมและเห็นกระบวนการในการเรียนการสอนตามหลักแนวคิดของ Jeffries’s Nursing Education Simulation Framework ซึ่งจะทําให้อาจารย์มีประสบการณ์และสามารถใช้วิธีการสอนนี้ได้ด้วยตนเองในครั้งถัดไป ควรมีการติดตามผลลัพธ์ของการเรียนการสอนด้วยสถานการณ์จําลองเสมือนจริงต่อความมั่นใจในการปฏิบัติการพยาบาลด้วยการวิจัยต่อไป ReferencesDiaz-Navarro, C.,