ยุทธศาสตร์ที่ 2

การสร้างสรรค์ภาพถ่ายนานาชาติ “Human Condition : Hope and Survival”

การสร้างสรรค์ภาพถ่ายนานาชาติ “Human Condition : Hope and Survival” ยุทธศาสตร์ที่ 2 รางวัลดีเด่น ปี2564 ผู้จัดทำโครงการ​ อ.สุรัตน์ ทองหรี่ วิทยาลัยนิเทศศาสตร์ หลักการและเหตุผล/ความสำคัญ/ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้​           ด้วยเครือข่ายนักวิชาการด้านนิเทศศาสตร์ (Communication Consortium) 18 สถาบัน ตระหนักถึงความจำเป็นในการร่วมมือกันสร้างกลไกเพื่อส่งเสริมการสร้างสรรค์และการเผยแพร่ผลงานของอาจารย์ในระดับนานาชาติ เพื่อให้เป็นไปตามเกณฑ์การประกันคุณภาพการศึกษาตามตัวบ่งชี้ สกอ. และได้เล็งเห็นว่าผลงานสร้างสรรค์ประเภทภาพถ่าย เป็นงานที่อยู่ในหลักสูตรนิเทศศาสตรบัณฑิตทุกสถาบัน จึงมีโครงการจัดกิจกรรมการเผยแพร่ผลงานภาพถ่ายนานาชาติของอาจารย์ในเครือข่ายนักวิชาการด้านนิเทศศาสตร์ โดยกำหนดจัดโครงการประมาณเดือนเมษายนของทุกปี ทั้งนี้ผลงานที่ได้รับการคัดเลือกจัดแสดงต้องผ่านการประเมินจากนักวิชาการ นักวิชาชีพ และศิลปินแห่งชาติ โดยมีผู้ส่งผลงานจากประเทศนอกอาเซียนอย่างน้อย 5 ประเทศ โครงการนี้จะเป็นประโยชน์ทั้งต่อการพัฒนาอาจารย์และการประกันคุณภาพการศึกษาอีกด้วย           ในปี พ.ศ. 2565 เครือข่ายนิเทศศาสตร์ ได้จัดนิทรรศการภาพถ่ายนานาชาติในหัวข้อ ‘Human Condition : Hope and Survival’ โดยได้เชิญชวนผู้สนใจส่งภาพถ่ายเข้าประกวดเพื่อคัดเลือกผลงานนำไปจัดแสดง ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ในการนี้ผู้เล่าเรื่องได้ส่งผลงานภาพถ่ายเข้าร่วมประกวดและได้รับคัดเลือกภาพถ่ายที่ทำขึ้นภายใต้ชื่อ ‘Give Alms to a Buddhist Monk : ตักบาตรเช้า’ ให้แสดงในนิทรรศการในครั้งนี้           นิทรรศการภาพถ่าย ‘Human Condition : Hope and Survival (สถาวะมนุษย์ : ความหวังและความอยู่รอด)’ เป็นพื้นที่ของการสะท้อนภาพความหวังและวิถีเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ สะท้อนผ่านมุมมองที่หลากหลายที่เชื่อมโยงสู่สายใยชีวิตและสังคม ท่ามกลางสถานการณ์ปัจจัยแวดล้อมในปัจจุบัน การแสวงหาคำตอบเกี่ยวกับตัวตนของมนุษย์ต่อคำถาม เราคือใคร เป็นอยู่อย่างไร การดำเนินชีวิตอย่างไรที่สร้างความหวังเพื่อความอยู่รอดท่ามกลางความรวนเรแปรปรวนของระบบคุณค่าทั้งเชิงชีวอนามัย สิ่งแวดล้อม ปรัชญา ศาสนา สังคมและวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทสถานการณ์โรคโควิด-19 เราค้นพบวิถีปรับตัวสู่ชีวิตในวิถีใหม่อย่างสร้างสรรค์ในลักษณะใดบ้าง อะไรคือความหวังและความอยู่รอด เครือข่ายนิเทศศาสตร์เล็งเห็นว่า ภาพถ่ายในช่วงรอดต่อของภัยคุกคามสู่สภาวะความเป็นปกติใหม่นี้ จะเป็นสื่อเตือนใจให้ผู้คนตั้งตนอยู่บนความไม่ประมาท ดำรงชีวิตอย่างมีความหวังเพื่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป            ภาพถ่ายเป็นสื่อประเภทหนึ่งที่นิยมนำมาใช้ในการถ่ายนทอดเรื่องราว ความคิด ในการสื่อสารความหมาย เรื่องราว เหตุการณ์ สถานที่ ช่วงเวลา รวมถึงความหมายที่ผู้รับสารเกิดการรับรู้ด้วยการสัมผัสทางสายตา การสื่อสารด้วยภาพจึงเป็นวิธีการแสดงออกทางความคิดที่ง่ายตรงไปตรงมา ภาพถ่ายยังเป็นสื่อที่ช่วยสร้างความสนใจ การจดจำและการตีความหมายเนื้อหาและเรื่องราวต่าง ๆ ที่เป็นนามธรรมออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรมและภาพถ่ายยังเป็นการสื่อสารความคิดของมนุษย์ผ่านภาษาภาพไปยังผู้ที่ต้องการสื่อสารด้วย           ภาพถ่ายเข้ามามีบทบาทในวิถีชีวิต เปรียบเสมือนสาร (Message) ที่ผู้ส่งสาร (Sender) ส่งไปยังผู้รับสาร (Receiver) ผ่านช่องทาง (Channel) ต่าง ๆ ภาพถ่ายเป็นสื่อที่สำคัญในการบันทึกความรู้สึก เหตุการณ์ ความทรงจำ รวมถึงค่านิยมเพื่อก่อให้เกิดสิ่งใหม่ผ่านการนำเสนอมุมมองทางความคิด ประสบการณ์ จินตนาการ ในการสะท้อนการรับรู้ถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นต่อวิถีชีวิตของทุกสรรพสิ่ง            จากที่มาของแนวคิดข้างต้น จึงเกิดแรงบันดาลใจในการถ่ายทอดมุมมองที่จะสะท้อนให้เห็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับความหวังและวิถีเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ ผ่านมุมมองหลากหลายที่เชื่อมโยงสู่สายใยชีวิตและสังคมทั้งเชิงชีวอนามัย สิ่งแวดล้อม ปรัชญา ศาสนา สังคมและวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทสถานการณ์โรคโควิด-19 ผู้คนค้นพบวิถีปรับตัวสู่ชีวิตในวิถีใหม่อย่างสร้างสรรค์ในลักษณะใดบ้าง อะไรคือความหวังและความอยู่รอด ส่งผ่านความคิดมุมมองต่อการดำเนินชีวิตความหวังเพื่อความอยู่รอดของคนรุ่นต่อ ๆ ไป ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้ ผู้เล่าเรื่อง ได้ศึกษาทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นองค์ความรู้ในการกำหนดแนวทางในการสร้างสรรค์ อันประกอบด้วย แนวคิดศิลปะแห่งการภาพถ่าย แนวคิดการสื่อความหมายด้วยภาพ และแนวคิดการถ่ายภาพแนว Life Photography จากการศึกษาทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง ผู้เล่าเรื่องกำหนดแนวคิดการสร้างสรรค์ภาพถ่าย ได้แก่ แนวคิดการสร้างสรรค์ กระบวนการสร้างสรรค์ และขั้นตอนการสร้างสรรค์ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ แนวคิดการสร้างสรรค์ ประกอบด้วย 1.1 แนวคิดหลัก (Main Idea) คือ ‘ภาพสะท้อนความหวังและวิถีเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ผ่านมุมมองหลากหลายที่เชื่อมโยงสู่สายใยชีวิตและสังคม’ 1.2 การพัฒนาแนวคิดหลัก ผู้เล่าเรื่องนำแนวคิดหลักมาเป็นหัวใจหลักของ           การสร้างสรรค์ภาพถ่ายแนว Life Photography โดยเน้นการนำเสนอเรื่องราวของสรรพสิ่งที่มีชีวิตกระทำต่อกันที่สะท้อนความหวังและวิถีเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ที่เชื่อมโยงสู่สายใยชีวิตและสังคมอย่างเป็นธรรมชาติไม่มีการจัดฉากเหตุการณ์ โดยสร้างสรรค์ผ่านความรู้ ประสบการณ์และแรงบันดาลใจของผู้เล่าเรื่อง กระบวนการสร้างสรรค์ ผู้เล่านำแนวคิด ‘ทุกชีวิตล้วนมีความหวังและวิถีเพื่อความอยู่รอดที่เชื่อมโยงสู่สายใยชีวิตและสังคม’ เป็นประเด็นสำคัญในการสื่อสารสะท้อนภาพความหวังและวิถีเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ไปยังกลุ่มเป้าหมาย โดยมีเนื้อหาที่ต้องการสื่อความหมายให้รับรู้ถึงความงดงามที่ก่อตัวขึ้นเป็นธรรมชาตินั่นเกิดจากสรรพสิ่งที่มีชีวิตที่ให้และแบ่งปันซึ่งกันและกันเพื่อความหวังและวิถีเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ เป็นเพียงสื่อที่นำพาไปสู่ความรู้สึกทางจิตใจทั้งของผู้ให้และผู้รับ และผู้เล่าเรื่องนำแนวคิดการจัดวางองค์ประกอบทางศิลปะ โดยหลอมรวมเนื้อหาให้เป็นหนึ่งเดียวและเชื่อมโยงสัมพันธ์กันเพื่อนำไปสู่จุดเด่นในภาพที่เกิดจากการเชื่อมโยงความคิด ความรู้สึก และจินตนาการ3. ขั้นตอนการสร้างสรรค์ ผู้เล่าเริ่มจากการสำรวจสถานที่ โดยการนำตัวของผู้เล่าเรื่องเข้าไปร่วมในเหตุการณ์ตามเรื่องราวที่กำหนดไว้และเตรียมพร้อมบันทึกภาพเหตุการณ์นั้น ๆ โดยที่ภาพเหตุการณ์จะต้องปราศจากการจัดฉากหรือการปรุงแต่งใด ๆ เพียงแต่การเฝ้ารอจังหวะให้เหตุการณ์นั้นดำเนินเรื่องราวของมันไป โดยกำหนดและค้นหาฉากหลังที่ตรงกับการสื่อความหมายที่วางไว้ จากนั้นเตรียมอุปกรณ์ที่ใช้ในการบันทึกภาพ ประกอบด้วย กล้อง เลนส์ ขาตั้งกล้อง เมมโมรีการ์ด ปรับตั้งค่าโหมด รูรับแสง สปีดชัตเตอร์ รวมถึงความยาวโฟกัสให้มีความพร้อม จากนั้นเฝ้ารอเหตุการณ์ที่จินตนาการไว้ ผู้เล่าเรื่องอดทนรอจน Subject ที่ต้องการปรากฏตามตำแหน่งขององค์ประกอบภาพที่จินตนาการไว้ รวมถึงอากัปกิริยาของ Subject ที่ต้องการ แล้วลงมือกดชัตเตอร์เพื่อบันทึกภาพ  ประเภทความรู้และที่มาความรู้ ความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวคน (Tacit Knowledge) : ความรู้แบบชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) ☑ ความรู้จากคลังความรู้ของเว็บไซต์ระบบการจัดการความรู้ KM Rangsit University      (http://lc.rsu.ac.th/km/Knowledgebase)       เจ้าของความรู้/สังกัด ผศ.ดร.สำราญ แสงเดือนฉาย วิทยาลัยนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวคน (Tacit Knowledge)☑ เจ้าของความรู้/สังกัด อาจารย์คมศร สนองคุณ วิทยาลัยนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต วิธีการดำเนินการ ผู้เล่าเรื่องกำหนดขั้นตอนการดำเนินการภาพถ่ายไว้ โดยมีขั้นตอนคือ การบ่งชี้ความรู้ เครือข่ายนิเทศศาสตร์ จัดประกวดภาพถ่ายนานาชาติ ในหัวข้อ ‘Human Condition : Hope and Survival (สถาวะมนุษย์ : ความหวังและความอยู่รอด)’ โดยผู้เล่าสนใจส่งภาพถ่ายเข้าประกวด โดยผู้เล่าได้สนใจสร้างสรรค์ภาพถ่ายในประเด็นที่ทุกชีวิตล้วนมีความหวังเพื่อความอยู่รอดที่เชื่อมโยงสู่สายใยชีวิตและสังคมในบริบทสถานการณ์โรคโควิด-19 ได้อย่างไรบ้าง  การสร้างและแสวงหาความรู้ เมื่อกำหนดประเด็นการสร้างสรรค์ภาพถ่ายได้ ผู้เล่าดำเนินการแสวงหาประเด็นที่จะใช้ในการถ่ายภาพโดยให้เกี่ยวข้องกับ “สถาวะมนุษย์ : ความหวังและความอยู่รอด” โดยเน้นไปที่วิถีชีวิตของมนุษย์ที่ปรับตัวให้อยู่กับบริบทสถานการณ์โรคโควิด-19 ได้อย่างเป็นธรรมชาติ รวมไปถึงแสวงหาเทคนิคการสร้างสรรค์ภาพถ่ายแนว Life Photography เพื่อที่ทำให้สามารถถ่ายทอดเรื่องได้ตรงกับโจทย์มากที่สุด การจัดการความรู้ให้เป็นระบบ ผู้เล่าเรื่องมีขั้นตอนการจัดการความรู้โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ – Background : กลุ่มเครือข่ายนิเทศศาสตร์จัดประกวดภาพถ่ายนานาชาติ หัวข้อ ‘Human Condition : Hope and Survival (สถาวะมนุษย์ : ความหวังและความอยู่รอด)’ เพื่อสะท้อนภาพความหวังและวิถีเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ที่เชื่อมโยงสู่สายใยชีวิตและสังคม – Objective Communication : เพื่อสร้างการตระหนักรู้ต่อวิถีเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ที่เชื่อมโยงสู่สายใยชีวิตและสังคม – Target Audience : บุคคลที่มีต้องการความหวังเพื่อความอยู่รอด – What to Say Concept : ทุกชีวิตล้วนมีความหวังและวิถีเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ที่เชื่อมโยงสู่สายใยชีวิตและสังคม – Mood and Tone : ความหวัง ความอยู่รอด วิถีชีวิต และธรรมชาติ การประมวลและกลั่นกรองความรู้ ผู้เล่าเรื่องนำแนวคิด ‘ทุกชีวิตล้วนมีความหวังและวิถีเพื่อความอยู่รอดที่เชื่อมโยงสู่สายใยชีวิตและสังคม’ เป็นประเด็นสำคัญในการสื่อสารสะท้อนภาพความหวังและวิถีเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ไปยังกลุ่มเป้าหมาย โดยมีสาระสำคัญด้าน 1) เนื้อหา (Content) ผู้เล่าเรื่องกำหนดเนื้อหาที่ต้องการสื่อความหมายให้รับรู้ถึงความงดงามที่ก่อตัวขึ้นเป็นธรรมชาตินั่นเกิดจากสรรพสิ่งที่มีชีวิตที่ให้และแบ่งปันซึ่งกันและกันเพื่อความหวังและวิถีเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ เป็นเพียงสื่อที่นำพาไปสู่ความรู้สึกทางจิตใจทั้งของผู้ให้และผู้รับ 2) รูปทรง (Form) ผู้เล่าเรื่องนำแนวคิดองค์ประกอบทางศิลปะมาหลอมรวมเพื่อประกอบสร้างความหมายตามประเด็นเนื้อหาที่กำหนดไว้ คือ การจัดวางองค์ประกอบทางศิลปะ (Composition Art) ในแบบเอกภาพ (Unity) โดยหลอมรวมเนื้อหาให้เป็นหนึ่งเดียวและเชื่อมโยงสัมพันธ์กันของส่วนประกอบอื่น นำไปสู่จุดเด่นในภาพที่เกิดจากการเชื่อมโยงความคิด ความรู้สึก และจินตนาการ  การเข้าถึงความรู้ สถานที่ ตำบลกุดลาด อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี เป็นดินแดนอีสานใต้ ที่มีความงดงามทางด้านวิถีชีวิต ประเพณีวัฒนธรรม ที่น่าสนใจ โดยมีจุดเด่น เป็นพื้นที่ที่มีแม่น้ำมูลไหลผ่าน ด้านล่างติดเทือกเขาพนมดงรักและชายแดนกัมพูชา ผู้คนมีหลายเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่ร่วมกันมานานนับพันปี จึงทำให้เกิดวัฒนธรรมที่หลากหลาย ‘ตักบาตรข้าวเหนียว’ ก็เป็นเอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่ง ที่ทุกเช้าจะมีชาวบ้านจะมานั่งรอพระสงฆ์ที่เดินเรียงแถวกันมาเพื่อตักบาตรข้าวเหนียวนึ่งร้อน ๆ ที่สืบทอดกันมายาวนานของวิถีชีวิตที่สงบ เรียบง่าย และงดงามอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ทุกคนต้องเว้นระยะห่างในการตักบาตรเพื่อความปลอดภัยทั้งพระสงฆ์และชาวบ้าน การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ ผู้เล่าได้เข้าไปศึกษาข้อมูลที่มีการแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ในคลังความรู้ของเว็บไซต์ระบบการจัดการความรู้ KM Rangsit University เพื่อนำมาใช้เป็นแนวคิดในการสร้างสรรค์ภาพถ่ายในครั้งนี้ การเรียนรู้ ผู้เล่าได้เรียนรู้ดังนี้ 7.1 การสำรวจสถานที่ โดยการนำตัวของผู้เล่าเรื่องเข้าไปร่วมในเหตุการณ์ตามเรื่องราวที่กำหนดไว้และเตรียมพร้อมบันทึกภาพเหตุการณ์นั้น ๆ โดยที่ภาพเหตุการณ์จะต้องปราศจากการจัดฉากหรือการปรุงแต่งใด ๆ เพียงแต่การเฝ้ารอจังหวะให้เหตุการณ์นั้นดำเนินเรื่องราวของมันไป 7.2 การเลือกฉาก ผู้เล่าเรื่องค้นหาฉากหลังที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่ต้องการสื่อความหมาย ระหว่างนั้นเตรียมอุปกรณ์ที่ใช้ในการบันทึกภาพ ประกอบด้วย กล้อง Mirrorless Sony A5100  เลนส์ 18-55 mm และขาตั้งกล้อง โดยปรับตั้งค่าโหมด AV รูรับแสง F2.8 สปีดชัตเตอร์ 1/250 ISO 200 รวมถึงกำหนดความยาวโฟกัสให้เก็บภาพได้เต็มตัว ให้มีความพร้อม จากนั้นเฝ้ารอเหตุการณ์ที่จินตนาการไว้ 7.3 การบันทึกภาพ ผู้เล่าเรื่อง เฝ้ารอเหตุการณ์จน Subject ที่ต้องการปรากฏตามตำแหน่งขององค์ประกอบภาพที่จินตนาการไว้ รวมถึงอากัปกิริยาของ Subject ที่ต้องการ แล้วลงมือกดชัตเตอร์เพื่อบันทึกภาพ โดยบันทึกภาพหลาย ๆ ภาพเพื่อนำมาคัดเลือกภาพที่สมบูรณ์ที่สุด ทั้ง แสง สี ฉาก และอากัปกิริยาของ Subject 2.Prototype testing in an operational environment – DO  ผลการดำเนินการ การนำไปใช้ หรือการลงมือปฏิบัติจริง อุปสรรคหรือปัญหาในการทำงาน ผลการดำเนินการ การนำไปใช้ หรือการลงมือปฏิบัติจริง อุปสรรคหรือปัญหาในการทำงาน * 2.1 ผลงานการสร้างสรรค์ภาพถ่าย  ชื่อผลงาน : ‘Give Alms to a Buddhist Monk : ตักบาตรเช้า’ 2.2 อุปสรรคหรือปัญหาในการทำงาน                    1) การเลือกสถานที่ สถานที่ถ่ายภาพเป็นสถานที่จริงที่มิได้มีการจัดฉากหรือองค์ประกอบใด ๆ ดังนั้นผู้ถ่ายทำต้องเลือกมุมและจัดองค์ประกอบภาพให้ภาพออกมาสมบูรณ์ในการสื่อความหมายมากที่สุด                    2) การเลือกฉาก ด้วยการเป็นชุมชนชนบท ฉากหลังที่เป็นท้องฟ้าจะส่งให้ภาพมีความน่าสนใจมากกว่าที่จะเป็นบ้านเรือนหรือต้นไม้ในชุมชน                    3) การบันทึกภาพ ก่อนกดชัตเตอร์ผู้ถ่ายภาพต้องรอจังหวะเวลาที่ดีที่สุดเพราะเหตุการณ์นั้นจะเกิดเพียงเสี้ยววินาที หรืออาจต้องใช้การบันทึกภาพแบบต่อเนื่องเพื่อสามารถนำมาเลือกภาพที่ดีที่สุด 3. Proven through successful mission operation, Objectives and Key Results for Knowledge Management – CHECK การตรวจสอบผลการดำเนินการ การนำเสนอประสบการณ์การนำไปใช้ สรุปและอภิปรายผล บทสรุปความรู้หรือความรู้ที่ค้นพบใหม่           ผู้เล่าเรื่อง สรุปข้อค้นพบองค์ความรู้ใหม่ของการสร้างสรรค์ภาพถ่ายแนว Life photography โดยสาระสำคัญ ดังนี้                    3.1 การถ่ายภาพแนว Life Photography เป็นการถ่ายภาพวิถีชีวิตที่สะท้อนมุมมองความคิด เรื่องราว สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวเรา เน้นเรื่องความเป็นจริงของสภาพที่เป็นไปในสังคม ไม่มีการจัดฉาก จะอยู่บนท้องถนน ในที่ใดก็ตาม มันก็คือภาพชีวิตจริง ไม่ได้จำกัดสถานที่และเวลา แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้วิถีชีวิตของมนุษย์เปลี่ยนไป ต้องเว้นระยะห่าง ต้องใส่หน้ากาก จึงทำให้ผู้เล่าเรื่องต้องมีการจัดวางองค์ประกอบภาพให้เหมาะสมกว่าปกติเพื่อการถ่ายภาพให้สมบูรณ์ที่สุด                    3.2 ฉากหน้าฉากหลัง ผู้เล่าเรื่องได้ใช้การองค์ประกอบภาพฉากหลังด้วยกฎสามส่วน โดยแบ่งเป็นพื้นดินสองส่วนท้องฟ้าหนึ่งเพื่อให้ฉากหลังกับวัตถุอยู่ในโทนสีข้างเคียงดูแล้วกลืนกันมีมิติที่น่าสนใจในการสื่อความหมายของภาพ                    3.3 เทคนิคการใช้กล้องและอุปกรณ์ต่าง ๆ ผู้เล่าเลือกถ่ายภาพแนวตั้งเพื่อจะได้บันทึกภาพแบบเต็มตัว ทำให้สามารถเก็บรายละเอียดได้ใกล้และชัดเจนกว่าการถ่ายภาพแนวนอน อีกทั้งลดพื้นที่ด้านข้างของภาพแนวนอน จึงทำให้สามารถเน้นสิ่งที่ถ่ายได้ชัดเจนขึ้น เต็มตามากขึ้น ข้อเสนอแนะในการดำเนินการในอนาคต หรือการดำเนินการเพื่อสามารถนำไปสู่การเป็น Good Practice           ผู้เล่าเรื่อง สรุปข้อเสนอแนะในการดำเนินการในอนาคตของการสร้างสรรค์ภาพถ่ายแนว Life Photography เพื่อสามารถนำไปสู่การเป็น Good Practice โดยสาระสำคัญ ดังนี้ 1. ด้านสถานที่ การนำตัวของผู้เล่าเรื่องเข้าไปร่วมในเหตุการณ์ตามเรื่องราวที่กำหนดไว้อาจยุ่งยากเพราะด้วยจังหวะเวลา และปรากฏการณ์นั้นอาจเกิดเพียงเสี้ยววินาที ดังนั้นจึงต้องมีการเตรียมการเป็นอย่างดี ในการสำรวจช่วงเวลาและสถานที่ก่อนบันทึกภาพเพื่อให้ได้ภาพที่ตรงกับการสื่อความหมายมากที่สุด การเลือกฉากหลัง ก่อนกดบันทึกภาพ สิ่งที่ผู้เล่าเรื่องต้องคำนึงถึงคือฉากหลังและองค์ประกอบภาพที่ผู้รับสารจะสัมผัสได้ผ่านภาพถ่ายนั้น ซึ่งบางครั้งการถ่ายภาพมีมุมจำกัดในการบันทึกภาพ ผู้ถ่ายภาพอาจต้องเตรียมอุปกรณ์ ทั้ง กล้อง เลนส์ ฯลฯ ให้ตรงกับภาพที่จะบันทึก การบันทึกภาพ ผู้เล่าเรื่องควรบันทึกภาพหลากหลายมุม หลากหลายองค์ประกอบ เพราะภาพที่เป็นธรรมชาติ อาจมีอากรับกิริยา อาการ อารมณ์ สีหน้า ท่าทาง ที่แตกต่างกันไปทุกเสี้ยววินาที การบันทึกภาพหลากหลายมุมและองค์ประกอบจะทำให้ได้ภาพที่สมบูรณ์มากที่สุด

การสร้างสรรค์ภาพถ่ายนานาชาติ “Human Condition : Hope and Survival” Read More »

เทคโนโลยีสุขภาพสู่ชุมชน : การนำนวัตกรรมมาใช้ในการดูแลสุขภาพในทุกบ้าน

เทคโนโลยีสุขภาพสู่ชุมชน : การนำนวัตกรรมมาใช้ในการดูแลสุขภาพในทุกบ้าน ยุทธศาสตร์ที่ 1,2,3 : KR 1.3.6/1 KR2.3.1/1 KR3.1.2/1 KR3.2.2/1 KR3.3.2/1 รางวัลดีเด่น ปี2566 ผู้จัดทำโครงการ​ รองศาสตราจารย์ ดร.มนพร ชาตชำนิ, อ.ศุภรัตน์ แป้นโพธิ์กลาง คณะพยาบาลศาสตร์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ อนัตศักดิ์ วงศ์กำแหง, อ.อนุชิต นิรภัย วิทยาลัยวิศวกรรมชีวการแพทย์ หลักการและเหตุผล/ความสำคัญ/ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้​ เนื่องด้วย ศูนย์นวัตกรรมและบริการวิศวกรรมชีวการแพทย์ (Biomedical Engineering Innovation and Service Center: BIS CENTER) และห้องปฏิบัติการ Clinical Engineering Laboratory (CE)  and Medical Information and Management Technology Laboratory (MIMT) วิทยาลัยวิศวกรรมชีวการแพทย์ หน่วยบริการวิชาการคณะพยาบาลศาสตร์  และวิทยาลัยนวัตกรรมดิจิทัลเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยรังสิต  ได้ร่วมบูรณาการจุดแข็งขององค์ความรู้ทางวิชาการของทั้ง 3 คณะ เพื่อสร้างงานบริการวิชาการด้านการส่งเสริมสุขภาพด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีสุขภาพสู่ชุมชน ในนามหน่วยบริการ N & B RSU Inno Tech and Wellness Centre ซึ่งเป็นรูปแบบการบริการวิชาการที่ได้เริ่มต้นโดย 2 คณะ คือ คณะพยาบาลศาสตร์ และวิทยาลัยวิศวกรรมชีวการแพทย์ ร่วมกันพัฒนาและสร้างนวัตกรรมและการบูรณาการเรียนการสอนรวมถึงการจัดหาเทคโนโลยีสุขภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนในด้านการส่งเสริม ป้องกัน และฟื้นฟูสุขภาพของตนเอง  ด้วยรูปแบบการเข้าถึงบริการบนพื้นฐานด้านวิชาการ วิจัยและนวัตกรรม โดยนำทักษะทางการพยาบาลร่วมกับการบริการให้คำแนะนำการใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ทันสมัยในการดูแลสุขภาพตนเอง พร้อมกับการบริการจัดหาสั่งซื้อเครื่องมือทางการแพทย์ การบริการเช่า-ยืมใช้เครื่องมือแพทย์ชั่วคราว เช่น เครื่องผลิตออกซิเจนแบบ Home Use ที่นอนยางพาราลดโอกาสเกิดแผลกดทับ เครื่องวัดความดันโลหิต ฯลฯ และการให้บริการนี้เป็นทั้งการให้บริการแบบมีรายได้และการบริการวิชาการแบบไม่มีรายได้ และเป็นแหล่งฝึกภาคปฏิบัติให้แก่นักศึกษาสาขาที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพทั้งในประเทศและต่างประเทศ     ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้ การบูรณาการและพัฒนาจุดแข็งของทั้งสามคณะเพื่อการส่งเสริมสุขภาพด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางด้านสุขภาพ ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้ ดังนี้ นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางด้านสุขภาพ: การบูรณาการนวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาบริการด้านการดูแลสุขภาพ เช่นเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัย, ระบบข้อมูลทางการแพทย์, และเทคโนโลยีการสื่อสาร การบูรณาการทางวิชาการและวิจัย: การร่วมกันของคณะวิศวกรรมชีวการแพทย์, คณะพยาบาลศาสตร์, และวิทยาลัยนวัตกรรมดิจิทัลเทคโนโลยี ส่งผลให้มีการบูรณาการทางวิชาการและการวิจัยที่เน้นการพัฒนานวัตกรรมทางด้านสุขภาพ. การให้บริการแบบมีรายได้: การบริการ N & B RSU Inno Tech and Wellness Centre เป็นที่มาของรายได้ผ่านการให้บริการทางด้านสุขภาพและการให้คำแนะนำทางการแพทย์ การฝึกภาคปฏิบัติของนักศึกษา: การให้บริการแก่ประชาชนสามารถบูรณาการกับการฝึกภาคปฏิบัติของนักศึกษาทั้ง 3 คณะและนักศึกษาแลกเปลี่ยนจากต่างประเทศ การตอบสนองความต้องการของประชาชน: การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีทางด้านสุขภาพมีการพิจารณาให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในด้านการส่งเสริม ป้องกัน และฟื้นฟูสุขภาพ การร่วมมือระหว่างคณะพยาบาลศาสตร์ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ และวิทยาลัยนวัตกรรมดิจิทัลเทคโนโลยี สามารถพัฒนานวัตกรรมทางด้านสุขภาพและการบริการด้านการดูแลสุขภาพในชุมชนได้อย่างครอบคลุมทั้ง 5 ข้อดังกล่าวเบื้องต้น ประเภทความรู้และที่มาความรู้ ความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวคน (Tacit Knowledge) : ความรู้แบบชัดแจ้ง (Explicit Knowledge)อื่นๆ ได้แก่ http://bme.rsu.ac.th/nbwellness/ วิธีการดำเนินการ การดำเนินงานของศูนย์บริการวิชาการส่งเสริมสุขภาพด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีเทคโนโลยีสุขภาพสู่ชุมชน (N & B RSU Inno Tech and Wellness Centre) เริ่มดำเนินการในปีการศึกษา 2565 ได้แบ่งการบริการออกเป็น 2 มิติหลัก คือ 1) ด้านส่งเสริมและป้องกัน และ 2) ด้านการรักษาและฟื้นฟู ดังนี้: ด้านส่งเสริมและป้องกัน:    – ร่วมกับคลินิกเวชกรรม ม.รังสิต ดำเนินการโครงการ “การฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่และหัดเยอรมัน” เป็นการให้บริการแก่กลุ่มประชาชนและนักศึกษาชั้นปีที่ 1 เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่และโรคหัดในพื้นที่ตำบลหลักหก และเครือข่ายรอบๆ มหาวิทยาลัยรังสิต    – จัดบริการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ โดยเน้นการให้บริการแก่ประชาชนในชุมชนรอบมหาวิทยาลัยรังสิต นักศึกษาและบุคลากรของมหาวิทยาลัย ด้านการรักษาและฟื้นฟู:    – ร่วมกับหน่วยบริการวิชาการคณะพยาบาลศาสตร์และหน่วย N&B RSU Inno Tech and Wellness Centre เพื่อให้บริการที่มุ่งเน้นการรักษา ฟื้นฟู และป้องกันการเกิดแผลเรื้อรังต่างๆ    – รับปรึกษาเรื่องแผลจากหน่วยตรวจโรคต่างๆ โดยไม่จำกัดเพศและอายุ และทำการดูแลผู้ป่วยที่มีแผลเรื้อรังต่างๆ โดยให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลแผลและการป้องกันการเกิดแผลซ้ำ    – บูรณาการจัดการเรียนการสอนหัวเรื่อง “การดูแลผู้ป่วยที่มีแผล” ในรายวิชา BNE 323 การพยาบาลผู้สูงอายุ และ BNE 291 ปฏิบัติการพยาบาลพื้นฐาน           การดำเนินงานของศูนย์บริการวิชาการส่งเสริมสุขภาพด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีเทคโนโลยีสุขภาพสู่ชุมชน (N & B RSU Inno Tech and Wellness Centre) ในปีการศึกษา 2565 เน้นการให้บริการและการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพในการส่งเสริมสุขภาพและการรักษาผู้ป่วยในชุมชน โดยใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางด้านสุขภาพอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในพื้นที่ชุมชนได้อย่างเป็นระบบและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว                    ในปีการศึกษา 2566 มีการดำเนินการทั้งสองด้านอย่างต่อเนื่องและได้เป็นแหล่งศึกษาดูงานสำหรับผู้เข้าอบรมหลักสูตรการพยาบาลเฉพาะทาง สาขาการพยาบาลผู้ป่วยวิกฤต(ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ) รุ่นที่ 2 รุ่นที่ 3 และรุ่นที่ 4 และโครงการอบรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้วิชาการพยาบาล ระหว่าง ไทย-กัมพูชา เรื่อง “Upskills Training Program” สำหรับพยาบาลจากประเทศกัมพูชา 2.Prototype testing in an operational environment – DO  ผลการดำเนินการ การนำไปใช้ หรือการลงมือปฏิบัติจริง อุปสรรคหรือปัญหาในการทำงาน                ผลลัพธ์จากการบูรณาการการเรียนการสอนร่วมกับการพัฒนานวัตกรรมทางด้านสุขภาพในรูปแบบที่ผสมผสานที่ทีมดำเนินงานได้มีความสำเร็จที่น่าประทับใจ โดยมีผลลัพธ์เชิงประจักษ์ 3 ชิ้นงานดังนี้: ระบบข้อมูลสุขภาพ (N&B Inno-Tech): การพัฒนาระบบข้อมูลสุขภาพนี้ได้รับการจดทะเบียนลิขสิทธิ์ เลขที่ ว1.010493 ลงวันที่ 27 เมษายน 2566 เป็นการยืนยันถึงความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งที่มีคุณค่าและมีความสำเร็จในการพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถนำไปใช้ในการดูแลสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบคัดกรองสำหรับการวิเคราะห์ความเสี่ยงของภาวะหัวใจล้มเหลว:การพัฒนาระบบคัดกรองนี้จดทะเบียนลิขสิทธิ์ เลขที่ ว1.010938 ลงวันที่ 8 มกราคม 2567 เป็นการสร้างเครื่องมือที่มีความสามารถในการวิเคราะห์ความเสี่ยงของภาวะหัวใจล้มเหลว ซึ่งเป็นการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใช้ในการวินิจฉัยและการดูแลสุขภาพอย่างเฉพาะเจาะจง นวัตกรรม Pillow – Pressure sore Protection: เป็นการพัฒนาหมอนที่มีความสามารถในการป้องกันการเกิดแผลกดทับ ซึ่งเป็นประโยชน์ในการดูแลผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับ เพิ่มคุณภาพชีวิตและลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้           ผลการดำเนินงานนี้อาจมีปัญหาหรืออุปสรรคบ้าง เช่น การนำไปใช้งานในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันอาจทำให้ประสิทธิภาพลดลง หรือปัญหาในการปรับตัวกับเทคโนโลยีใหม่ อย่างไรก็ตาม การทำงานร่วมกันและการสื่อสารอย่างเป็นระบบสามารถช่วยในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาวและสร้างความสำเร็จในการใช้งานนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการดูแลสุขภาพและช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคและการบาดเจ็บในชุมชน 3. Proven through successful mission operation, Objectives and Key Results for Knowledge Management – CHECK การตรวจสอบผลการดำเนินการ การนำเสนอประสบการณ์การนำไปใช้ สรุปและอภิปรายผล บทสรุปความรู้หรือความรู้ที่ค้นพบใหม่ การตรวจสอบผลการดำเนินการและการนำเสนอประสบการณ์การนำไปใช้เป็นขั้นตอนสำคัญในการประเมินความสำเร็จของโครงการ การสรุปและอภิปรายผลสามารถทำได้ดังนี้: การตรวจสอบผลการดำเนินการ:    – ผลการดำเนินการเป็นผลลัพธ์ที่สำคัญจากโครงการนี้ เป็นผลของการทำงานร่วมกันระหว่างทีมในการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีสุขภาพ การนำเสนอบริการแก่ชุมชน และการจดทะเบียนลิขสิทธิ์ของนวัตกรรมที่สร้างขึ้น การนำเสนอประสบการณ์การนำไปใช้:    – การนำเสนอประสบการณ์การนำไปใช้เห็นได้ชัดเจนจากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในการใช้งานนวัตกรรมและเทคโนโลยีในชุมชนที่ได้แก้ปัญหาความต้องการของผู้เข้ามารับบริการ รวมถึงการเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงและมีสิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ที่เหมาะสม    – สามารถเป็นในรูปแบบของการนำเสนอผลงานทางวิชาการ การสื่อสารผ่านสื่อต่างๆ เช่น การนำเสนอในการประชุม การเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ หรือการเขียนรายงานสรุปผล บทสรุปความรู้หรือความรู้ที่ค้นพบใหม่:   3.1 การทำงานร่วมกันของสหสาขาวิชาชีพ สามารถสร้างงานที่มีคุณค่าเพิ่มขึ้นได้   3.2 การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีทางด้านสุขภาพที่สอดคล้องกับความต้องการและปัญหาของชุมชน สามารถก่อให้เกิดประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมและมีความยั่งยืน   3.3 การบูรณาการกับการเรียนการสอนภาคปฏิบัติของนักศึกษาทั้ง 3 คณะ สามารถสร้างการเรียนรู้ได้อย่างเป็นรูปธรรม ข้อเสนอแนะในการดำเนินการในอนาคต หรือการดำเนินการเพื่อสามารถนำไปสู่การเป็น Good Practice ข้อเสนอแนะในการดำเนินการในอนาคต หรือการดำเนินการเพื่อสามารถนำไปสู่การเป็น Good Practice เพื่อให้โครงการสามารถเป็น Good Practice และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในอนาคต มีข้อเสนอแนะที่สามารถนำมาใช้ในการดำเนินการ ดังนี้ การสร้างพันธมิตรและเครือข่าย:    – สร้างพันธมิตรและเครือข่ายกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง องค์กรชุมชน และภาคีเครือข่ายต่างๆ เพื่อสนับสนุนและขยายผลกระทบของโครงการให้กว้างขึ้น การพัฒนาแผนการดำเนินงาน โดยมีการกำหนดเกณฑ์เป้าหมายชัดเจน:    – จัดทำแผนกำหนดเกณฑ์มาตรฐานในการดำเนินการเพื่อระบุวัตถุประสงค์ และเป้าหมายที่ชัดเจน เพื่อให้สามารถวัดผลและประเมินผลการดำเนินการได้อย่างชัดเจน การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ:    – ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อปรับปรุงกระบวนการทำงาน และการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์และการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ การสร้างความต่อเนื่อง:    – สร้างการดำเนินการที่มีความต่อเนื่อง โดยรวมถึงการสนับสนุนและการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะและความรู้ของบุคลากร การส่งเสริมความรับผิดชอบสาธารณะ:    – มีการแก้ไขปัญหาและการตัดสินใจที่มีการมีส่วนร่วมของประชาชนในชุมชน เพื่อเสริมสร้างความรับผิดชอบสาธารณะและความเชื่อมั่นในโครงการ 6.การจัดการภายใต้หลักการของการเป็นมาตรฐาน:    – สร้างระบบการจัดการภายใต้หลักการของการเป็นมาตรฐาน เพื่อให้มั่นใจว่าโครงการมีคุณภาพและประสิทธิภาพที่สูงสุด การสร้างความยืดหยุ่น:    – สร้างโครงสร้างองค์กรที่ยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวต่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ การแบ่งปันประสบการณ์และการเรียนรู้:    – สร้างกลไกสำหรับการแบ่งปันประสบการณ์และการเรียนรู้ระหว่างองค์กร ชุมชน และภาคีเครือข่ายต่างๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและประสิทธิภาพของโครงการ การตรวจสอบและปรับปรุง:    – ตรวจสอบผลการดำเนินการอย่างสม่ำเสมอและทำการปรับปรุงโครงการตามความต้องการและการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อม การดำเนินการตามข้อเสนอแนะดังกล่าวจะช่วยให้โครงการมีความเป็นมาตรฐานและเป็น Good Practice ในการให้บริการและสนับสนุนในชุมชนและสังคมได้อย่างเต็มที่

เทคโนโลยีสุขภาพสู่ชุมชน : การนำนวัตกรรมมาใช้ในการดูแลสุขภาพในทุกบ้าน Read More »

การสร้างความเป็นเลิศด้านการพัฒนางานวิจัยของวิทยาลัยวิศวกรรมชีวการแพทย์

การสร้างความเป็นเลิศด้านการพัฒนางานวิจัย ของวิทยาลัยวิศวกรรมชีวการแพทย์ ยุทธศาสตร์ที่ 2 : KR2.1.3 KR2.2.1 KR2.2.2 KR2.2.3 KR2.3.1 KR2.3.2 KR2.4.1 KR2.4.2 รางวัลดีเด่น ปี2566 ผู้จัดทำโครงการ​ รองศาสตราจารย์ นันทชัย ทองแป้น วิทยาลัยวิศวกรรมชีวการแพทย์ หลักการและเหตุผล/ความสำคัญ/ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้​ วิทยาลัยวิศวกรรมชีวการแพทย์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นคณะเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พศ.2559 และได้รับยกระดับจากคณะเป็นวิทยาลัยในวันที่ 16 กรกฎาคม 2561ทางวิทยาลัยฯได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาวิทยาลัยทั้งในระยะยาว (5ปี)และระยะสั้นที่รียกว่า Action Plan มาตลอดระยะเวลาโดยทิศทางที่สำคัญของแผนยุทธศาสตร์ในระยะ 5 ปีแรก (2560-2564) ได้มีทิศทางในการเป็น “วิทยาลัยแห่งนวัตกรรมและจิตวิญญาณผู้ประกอบการทางด้านวิศวกรรมชีวการแพทย์เพื่อสังคมของอาเซียน” โดยการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์นั้นได้เน้นในเรื่องของการ Synergy ทั้งภารกิจและทรัพยากรมนุษย์และเมื่อสิ้นสุดแผนยุทธศาสตร์ในระยะ5ปีได้ทำการประเมินแผนพบว่าเราสามารถดำเนินการตามแผนงานจนสำเร็จลุล่วงอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในทุกมิติและหลังจากทำการประเมินสถานการณ์ทั้งภายในและภายนอกในทุกมิติแล้วจึงได้ระดมสมองกับผู้มีส่วนได้เสียในทุกภาคส่วนทั้งบุคลากรสายอาจารย์และสายสนับสนุนการเรียนรู้ นักศึกษา รวมทั้งองค์กรอื่นๆที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัยทั้งระดับประเทศและระดับนานาชาติจึงได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาในระยะที่ 2 (2565-2569) ขึ้นมาโดยในแผนนี้ได้มีทิศทางในการก้าวสู่ “วิทยาลัยแห่งนวัตกรรมและผู้ประกอบการทางด้านวิศวกรรมชีวการแพทย์ที่เน้นการให้การศึกษาตลอดทุกช่วงชีวิต” โดยสิ่งหนึ่งที่ได้ให้ความสำคัญมากที่เรียกว่า “ปณิธาน”ก็คือการมุ่งทำให้“โลกแห่งการเรียนรู้ โลกแห่งการทำงาน และโลกแห่งอนาคตเป็นโลกเดียวกัน” และการที่จะดำเนินการให้สำเร็จตามแผนยุทธศาสตร์ที่ได้วางไว้นั้นเรื่องที่สำคัญที่สุดที่วิทยาลัยให้ความสำคัญก็คือเรื่องของ “การพัฒนางานวิจัย”                    สืบเนื่องจากตั้งแต่เข้ามาทำงานที่มหาวิทยาลัยรังสิต ตั้งแต่ปีการศึกษา 2532 เป็นต้นมาทั้งในตำแหน่งอาจารย์ประจำและผู้บริหารของภาควิชาและหลักสูตรจนมาเป็นคณบดีภาระงานหลักที่สำคัญมากอันหนึ่งของผู้ที่เป็นอาจารย์ในระดับอุดมศึกษาคือภาระงานวิจัย และภารกิจหลักอันนี้ก็จะเป็นยาขมของคณาจารย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งมหาวิทยาลัยเอกชน ทั้งนี้เนื่องมาจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความพร้อมทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน ความรู้และความเชี่ยวชาญของบุคลากร ที่สำคัญก็คือขาดผู้ที่เชี่ยวชาญจริงๆ มีประสบการณ์และบารมีจริงๆทางด้านการวิจัยและขาดแผนกลยุทธ์ที่เหมาะสมที่จะมาพัฒนาทิศทางการวิจัย พัฒนานักวิจัย พัฒนาทีมวิจัย ไม่มีทิศทาง ไม่มีโครงสร้างพื้นฐานที่จะรองรับการทำวิจัย ไม่มีการพัฒนาทีมวิจัยอย่างจริงๆจังๆ ไม่มีผลงานวิจัยเชิงประจักษ์มากนัก ไม่มีพี่เลี้ยงที่มีบารมีและประสบการณ์ในการขอหรือดึงทุนวิจัยเข้ามา จึงได้มีแนวความคิดและวางแผนงานในการพัฒนางานวิจัยของวิทยาลัยฯขึ้นมาโดยเริ่มต้นจากศูนย์ในระยะเริ่มต้นในขณะที่ยังเป็นหลักสูตรหนึ่งในสังกัดคณะวิทยาศาสตร์จนถึงปัจจุบันที่ได้รับการยกระดับมาเป็นคณะและวิทยาลัยตามลำดับ โดยจุดมุ่งหมายและเป้าหมายที่ต้องการมากที่สุดที่ต้องไปให้ถึงให้ได้ก็คือในการที่จะพัฒนางานวิจัยอย่างจริงจังและครบวงจร พัฒนาทีมวิจัยที่เข้มแข็งและยั่งยืนสืบต่อกันเป็นทอดๆ มีทุนสนับสนุนการวิจัยจากแหล่งต่างๆอย่างยั่งยืนจากทั้งในระดับมหาวิทยาลัย หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องและบริษัทผู้ผลิตหรือผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง  จนกลายเป็นวิทยาลัยแห่งนวัตกรรมและจิตวิญญาณผู้ประกอบการทางด้านวิศวกรรมชีวการแพทย์เพื่อสังคมของอาเซียน ประเภทความรู้และที่มาความรู้ ความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวคน (Tacit Knowledge) : ความรู้แบบชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) ความรู้จากแหล่งข้อมูลหลายแหล่ง ดังนี้ องค์ความรู้ทางด้านการบริหารที่ประกอบด้วยหลักการการจัดการองค์กร (หลักการ 4 M) องค์ความรู้ทางด้านการบริหารงานวิจัย องค์ความรู้ทางด้านการวิจัย การศึกษาดูงานจากสถาบันการศึกษาและองค์กรในลักษณะอื่นๆที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ ความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวคน (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ที่เกิดจากการตกผลึกจากประสบการณ์การทำงาน องค์ความรู้อื่นๆที่ตกผลึกจากประสบการณ์การทำงานทางด้านการบริหารงานในระดับหมวดวิชา ระดับภาควิชา แระดับหลักสูตรระดับคณะและวิทยาลัยรวมทั้งเป็นคณะกรรมการบริหารสมาคมวิชาชีพรวมทั้งภาคีวิศวกรรมชีวการแพทย์แห่งประเทศไทยมากว่า 30 ปี วิธีการดำเนินการ การสร้างความเป็นเลิศด้านการพัฒนางานวิจัย การสร้างความเป็นเลิศด้านการพัฒนางานวิจัยของวิทยาลัยวิศวกรรมชีวการแพทย์ โดยได้แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่1 เป็นระยะเริ่มต้นจากศูนย์แบบลองผิดลองถูก (ในขณะที่หลักสูตรวิศวกรรมชีวการแพทย์ สังกัดคณะวิทยาศาสตร์)           ปีการศึกษา 2543 – 2547  ได้เริ่มจากการทำวิจัยทางด้านเครื่องมือวัดปริมาณทางฟิสิกส์เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ ได้รับทุนสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยจำนวน 90,000บาท มีผู้ช่วยวิจัย 1 คน มีจุดมุ่งหมายในการที่จะทำการวิจัยและพัฒนาเครื่องมือวัดปริมาณทางฟิสิกส์เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ ขึ้นมาเพื่อทดแทนการจัดซื้อจากต่างประเทศเพื่อที่จะนำมาใช้ประกอบการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยรังสิตและนำไปดำเนินการในเชิงพาณิชย์เพื่อจำหน่ายในราคาถูกให้กับสถาบันการศึกษาทั่วประเทศโดยมีระยะเวลาในการวิจัย 1 ปี ต่อมาได้รับทุนวิจัยจากมหาวิทยาลัยรังสิตเรื่องการพัฒนาเครื่องวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์และแสดงผลผ่านอินเตอร์เน็ต           ผลที่ได้รับ ได้ชุดเครื่องมือวัดปริมาณทางฟิสิกส์เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ และ เครื่องวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์และแสดงผลผ่านอินเตอร์เน็ต ที่สามารถนำไปใช้งานได้จริงจนกระทั่งถึงปัจจุบัน รวมทั้งมีบริษัทเอกชน (บริษัทอินเทลเล็คท์)ได้เข้ามาขอทำความร่วมมือในการผลิตในเชิงพาณิชบ์ในระยะ 3 ปีกว่า300ชุดเพื่อนำไปจำหน่ายในราคาถูกให้กับสถาบันการศึกษาทั่วประเทศทั้งในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและอุดมศึกษา รวมทั้งใช้ในการบริการวิชาการให้กับคณะครูอาจารย์ทั่วประเทศจำนวนหลายครั้ง ได้รับรางวัลสิ่งประดิษฐ์จากคณะกรรมการการวิจัยแห่งชาติประจำปี 2544 ได้รับรางวัลอาจารย์ดีเด่นสาขาสิ่งประดิษฐ์ของมหาวิทยาลัยรังสิต ได้รับรางวัลครูวิทยาศาสตร์ดีเด่นระดับอุดมศึกษาจากสมาคมวิทยาศาสตร์ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประจำปี2545 เป็นต้น ระยะที่ 2  ระยะกำลังพัฒนาเพื่อสานต่อ (ในขณะนั้นหลักสูตรวิศวกรรมชีวการแพทย์ สังกัดคณะวิทยาศาสตร์)           ปีการศึกษา 2548 – 2558 เป็นระยะที่เริ่มมีเครดิตและชื่อเสียงทางด้านการวิจัยออกภายนอก โดยได้เริ่มทดลองขอทุนวิจัยจากแหล่งทุนภายนอก ในขณะที่ทีมวิจัยที่ได้เริ่มพัฒนาขึ้นมาก็เริ่มขอจากขอทุนวิจัยจากภายในมหาวิทยาลัยของสถาบันวิจัย ในแง่การตีพิมพ์ผลงานวิจัยนั้น ทางคณาจารย์ของภาควิชาได้นำผลงานวิจัยที่แล้วเสร็จไปตีพิมพ์ทั้งในแบบProceeding และวารสาร ทั้งในระดับชาติและระดับนานาชาติมากกว่าปีละ 20 ผลงาน มีการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา มีผลการประเมินการประกันคุณภาพในระดับภาควิชาทางด้านการวิจัยในระดับสูงมากในทุกปี ระยะที่3 ระยะการเข้าสู่คณะ/วิทยาลัยแห่งการวิจัยและนวัตกรรม (ได้รับการยกระดับจากหลักสูตรเป็นคณะและวิทยาลัยวิศวกรรมชีวการแพทย์ตั้งแต่ปีการศึกษา2558)                         ปีการศึกษา 2558 – 2564 ระยะนี้เป็นระยะที่มีความพร้อมมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ในการที่จะเข้าสู่คณะ/วิทยาลัยแห่งการทำวิจัยและนวัตกรรมอย่างจริงจัง โดยมีพื้นฐานอยู่ที่ มีความพร้อมในด้านโครงสร้างพื้นฐาน ทัศนคติของคณาจารย์และนักศึกษาที่ได้ผ่านการเตรียมความพร้อมมาเป็นระยะเวลาที่เหมาะสม มีผลงานที่ผ่านมาว่าเราได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสามารถทำวิจัยได้ประสบความสำเร็จสามารถตีพิมพ์ผลงานวิจัยทั้งในระดับชาติและนานชาติจำนวนมากในแต่ละปี รวมทั้งมีทุนสนับสนุนการวิจัยที่มากพอสมควรในแต่ละปี มีผู้เชี่ยวชาญในด้านการวิจัยที่ได้สนใจเข้ามาร่วมงานเพิ่มมากขึ้นมาช่วยเป็นMentor ในด้านการชี้แนะแนวทาง การเป็นพี่เลี้ยงในด้านต่างๆ รวมทั้งได้รับอาจารย์ประจำวัยหนุ่มที่จบการศึกษาระดับปริญญาเอกจากประเทศอังกฤษที่มีประสบการณ์เป็นอาจารย์และเคยทำงานวิจัยมาจากต่างประเทศจำนวนหนึ่งมาเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างบรรยากาศการพัฒนางานวิจัยของคณะ/วิทยาลัยฯรวมทั้งได้เปิดหลักสูตรในระดับปริญญาโทและปริญญาเอกเพื่อส่งเสริมและกระตุ้นการทำงานวิจัยและการพัฒนานวัตกรรมนอกจากนั้นได้ทำความร่วมมือทางวิชาการ ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างๆ โรงพยาบาลและสถานให้บริการทางด้านการดูแลรักษาสุขภาพแหล่งทุนวิจัยและนวัตกรรมทั้งภาครัฐและเอกชนทั้งภายในและต่างประเทศจำนวนมาก เพื่อใช้เป็นเครือข่ายหาโจทย์วิจัย แหล่งทดสอบผลการวิจัยทางคลินิกแหล่งทุนวิจัย รวมทั้งแหล่งทุนเพื่อส่งเสริมการนำผลงานวิจัยไปพัฒนาต่อยอดเป็นนวัตกรรมและใช้ประโยชน์ในสถานประกอบการจริง ส่งผลทำให้ตั้งแต่ปีการศึกษา 2558 เป็นต้นไปมาเป็นระยะที่เริ่มต้นเข้าสู่คณะ/วิทยาลัยแห่งการวิจัย อย่างต่อเนื่องและต่อยอดไปเรื่อยๆจนกลายเป็นวิทยาลัยแห่งการวิจัยและนวัตกรรม มีผลงานวิจัยและผลการตีพิมพ์เผยแพร่ในงานประชุมวิชาการรวมทั้งวารสารทางวิชาการทั้งในและต่างประเทศต่อปีเป็นจำนวนมากรวมทั้งได้มีการต่อยอดผลงานวิจัยและนวัตกรรมในการนำไปใช้งานได้จริง เริ่มมีการดำเนินการในเชิงพาณิชย์ในลักษณะค่อยๆเป็นค่อยๆไป ได้มีการนำเอาผลงานวิจัยไปใช้ในการให้บริการวิชาการ และใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลขึ้นไปเรื่อยๆในทุกๆปี โดยการที่ทางคณะ/วิทยาลัยได้มีTrack วิจัยและจัดห้องวิจัยที่ชัดเจนเพื่อให้มีการจัดการเรียนการสอนและการทำงานวิจัยร่วมกันระหว่างคณาจารย์และนักศึกษาในทุกระดับการศึกษา โดยนักศึกษาจะเวียนกันเข้าไปเริ่มรู้จักการทำวิจัยตั้งแต่ในชั้นปีที่2 เริ่มทำในชั้นปีที่3 และทำจริงจังในชั้นปีที่4โดยทางคณะ/วิทยาลัยจะประสานงานกับผู้รับผิดชอบในระดับมหาวิทยาลัยในการอำนวยความสะดวกในด้านเวลานอกเวลาทำการให้นักศึกษาและคณาจารย์ได้ทำการวิจัยได้เต็มที่เกือบ24ชั่วโมง โดยผลลัพธ์ที่คาดหวังในเบื้องต้นก็คือบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมในการทำงานของคณะ/วิทยาลัยจะเป็นบรรยายกาศของคณะ/วิทยาลัยแห่งการวิจัยและนวัตกรรมมากขึ้น คณาจารย์มีผลงานวิจัยและผลงานตีพิมพ์รวมทั้งมีการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญามากขึ้น อาจารย์มีตำแหน่งทางวิชาการมากขึ้น บัณฑิตที่จบออกไปมีคุณภาพและได้รับการยอมรับทั้งในระดับประเทศและระดับสากลมากขึ้น นอกจากนั้นทางคณะ/วิทยาลัยได้ทำการพัฒนาศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีและศูนย์นวัตกรรมและบริการวิศวกรรมชีวการแพทย์(ศูนย์BIS) เพื่อใช้เป็นฐานในการนำเอาผลงานวิจัยถ่ายทอดและมาพัฒนาเป็นนวัตกรรมรวมทั้งใช้เป็นฐานในการให้บริการทางวิชาการทั้งในรูปแบบของเพื่อการศึกษาและเชิงพาณิชย์อีกทางหนึ่งด้วย โดยศูนย์ดังกล่าวจะเป็นหนึ่งในหน่วยงานสำหรับการพัฒนานักศึกษาในด้านการพัฒนานวัตกรรม งานบริการวิชการและการฝึกทักษะและจิตวิญญาณในการเป็นผู้ประกอบการอีกทางหนึ่งด้วย โดยมีจุดมุ่งหมายปลายทางที่สุดก็คือผลักดันให้คณะ/วิทยาลัยวิศวกรรมชีวการแพทย์และมหาวิทยาลัยรังสิตเข้าสู่คณะ/วิทยาลัยและมหาวิทยาลัยแห่งการวิจัย นวัตกรรมและผู้ประกอบการตามแผนยุทธศาสตร์ของวิทยาลัยฯ เทคนิคหรือกลยุทธ์ที่ทำให้เกิดความสำเร็จ           มีการวางแผนในเชิงกลยุทธ์ มีความมุ่งมั่นและทุ่มเทเพื่อให้งานเป็นไปตามแผน โดยเริ่มต้นจากการทำเป็นตัวอย่างให้ดู พัฒนาEco-Systems การทำงานให้น่าทำงาน วางแผนพัฒนาทัศนคติการทำงานของบุคลากรเพื่อให้เป็นไปตามทิศทาง ที่เหมาะสม  มีการประเมินผล ให้รางวัลและการลงโทษในระดับต่างๆที่เหมาะสม โดยได้วางกลยุทธ์ในการพัฒนาที่ต้องวางพื้นฐานจากการสร้างเครดิตจากผลงานวิจัยแบบครบวงจรจากชิ้นเล็กๆไปหาใหญ่ เพื่อที่จะใช้เป็นฐานในการขอทุนวิจัยจากขนาดเล็กในระดับมหาวิทยาลัยไปหาทุนวิจัยขนาดใหญ่จากข้างนอกมหาวิทยาลัย สร้างทีมวิจัยจากขนาดเล็กๆ แล้วค่อยๆขยายขนาดของทีมวิจัยขึ้นมา แสวงหา ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาร่วมทีมวิจัยและให้ข้อเสนอแนะและความรู้กับทีมวิจัยมากขึ้น เปิดหลักสูตรระดับปริญญาโทและปริญญาเอก กระตุ้นให้นักศึกษาได้ร่วมเข้ามาเป็นทีมวิจัยต่อเนื่องเป็นทอดๆกันในแต่ละรุ่นมากขึ้น พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของการทำวิจัยทั้งในด้านของสถานที่และเครื่องมือในการวิจัยที่ได้มาตรฐาน รวมทั้งกระตุ้นให้มีการทำภาระกิจแบบSynergy คือการทำวิจัย การเผยแพร่ผลงานวิจัยในลักษณะต่างๆทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ การนำผลวิจัยมาใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอน การใช้ผลการวิจัยมาใช้ในงานบริการวิชาการ และ ดำเนินการในเชิงพาณิชย์ ผู้ที่มีส่วนร่วมทำให้เกิดความสำเร็จ และบทบาทของบุคคลนั้น                     ผู้ร่วมงานที่ดีมีความรู้และทักษะพื้นฐานที่ดีในการทำวิจัยเพียงแต่ยังไม่รู้ทิศทางดังนั้นพอมีทิศทางในการวิจัยที่ชัดเจน มีนักวิจัยที่มีประสบการณ์มาช่วยชี้แนะ ใส่ทัศนคติที่ดีและถูกต้องในการทำวิจัยก็จะทำให้การพัฒนางานวิจัยของคณะ/วิทยาลัยให้ไปได้เร็วมากขึ้น และ การที่มีผู้บังคับบัญชาที่ดีในทุกระดับโดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ท่านอธิการบดีผู้ก่อตั้งท่านดร.อรรถวิท อุไรรัตน์อธิการบดีได้ให้การส่งเสริม และสนับสนุนอย่างดียิ่งทำให้สามารถดำเดินแผนงานในแนวทางที่ถูกต้องอย่างต่อเนื่องตลอดมาทำให้การพัฒนางานเป็นไปตามแผนงานโดยอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล 2.Prototype testing in an operational environment – DOผลการดำเนินการ การนำไปใช้ หรือการลงมือปฏิบัติจริง อุปสรรคหรือปัญหาในการทำงาน                สำหรับผลการดำเนินงานการพัฒนาในวงรอบPDCAในแผนยุทธศาสตร์ระยะ5ปีใน2ระยะ(นับตั้งแต่ได้รับการจัดตั้งเป็นคณะ/วิทยาลัย : 2558-2559 และ 2560 – 2565 ที่ผ่านมานั้น ได้พัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมในทุกมิติที่เรียกว่า ให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์และปณิธานของวิทยาลัยฯ โดยผลลัพธ์หรือความสำเร็จของผลการดำเนินงานสามารถกล่าวโดยสรุปได้ดังนี้2.1 Eco-Systems                ในการพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรม โดยที่วิทยาลัยฯได้ส่งเสริมบรรยากาศการทำงานของบุคลากรและนักศึกษาในทุกภาคส่วนรวมทั้งสอดคล้องและส่งเสริมการเรียนรู้ตามวิสัยทัศน์และปณิธานของวิทยาลัยโดยวิทยาลัยได้ทำการพัฒนาตามกระบวนการPDCAอย่างต่อเนื่องให้เป็นไปตามแผนการดำเนินงานที่ประกอบด้วย ห้องวิจัยและบรรยากาศการทำวิจัย ที่ได้มาตรฐานสอดคล้องกับการทำวิจัยและการจัดการเรียนการสอนไปพร้อมกันเหมือนกับมหาวิทยาลัยที่มีคุณภาพในต่างประเทศ ระบบสนับสนุนการเรียนรู้ในด้านของการวิจัยและพัฒนาเพื่อตอบสนองในการเป็น“วิทยาลัยแห่งนวัตกรรมและจิตวิญญาณผู้ประกอบการทางด้านวิศวกรรมชีวการแพทย์เพื่อสังคมของอาเซียน” สำหรับการดำเนินการในด้านนี้ทางวิทยาลัยฯได้ดำเนินการตามวงรอบPDCAการพัฒนาทำนองเดียวกับด้านการพัฒนาระบบสิ่งสนับสนุนด้านอื่นๆตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาที่กล่าวมาข้างต้นโดยได้มีการพัฒนาระบบห้องวิจัย ระบบการเผยแพร่ผลงานวิจัย ระบบการนำผลงานวิจัยไปดำเนินการถ่ายทอดเทคโนโลยี ระบบการสนับสนุนการเรียนรู้ในด้านงานบริการวิชาการที่สอดคล้องกับวิชาชีพ ทั้งนี้เพื่อรองรับการวิจัยของคณาจารย์ รวมทั้งนักศึกษาในทุกระดับทั้งปริญญาตรี ปริญญาโทและปริญญาเอก 2.2 ผลงานวิจัย                ทุนสนับสนุนการวิจัย รวมทั้งคะแนนประกันคุณภาพด้านการวิจัยและพัฒนาของวิทยาลัยวิศวกรรมชีวการแพทย์ติด 3 อันดับแรกของมหาวิทยาลัยรังสิตในตลอดระยะ 5 ปีที่ผ่านมา ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญและส่งผลถึงความสำเร็จนี้ก็คือความพร้อมของระบบสนับสนุนการเรียนการสอนซึ่งรวมทั้งการทำวิจัยด้วยในทุกมิติที่ส่งผลทำให้การขอทุนวิจัย การผลิตผลงานวิจัยการตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานวิจัยรวมทั้งงานบริการวิชาการที่ทางวิทยาลัยได้ทำในลักษณะ Synergy ภารกิจนั่นเอง  ผลลัพธ์ของการสร้างความเป็นเลิศด้านการพัฒนางานวิจัยของวิทยาลัยวิศวกรรมชีวการแพทย์ ในแต่ละปีการศึกษาได้มีผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการในระดับสากลจำนวนประมาณไม่น้อยกว่า 20 ผลงานต่อปี ในแต่ละปีการศึกษามีผลงานการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาประมาณไม่น้อยกว่า 5 ผลงานต่อปี โดยวิทยาลัยมีอนุสิทธิบัตรและสิทธิบัตรรวม 62 ผลงาน ทุนสนับสนุนการวิจัยต่อปีทั้งจากภายในและภายนอกในระยะ 5 ปีที่ผ่านมาไม่ต่ำกว่าปีละ 10 ล้านบาท ส่งผลทำให้อาจารย์ของวิทยาลัยวิศวกรรมชีวการแพทย์สามารถพัฒนาตำแหน่งทางวิชาการเกือบครบ100 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลทำให้มีความพร้อมจนสามารถเปิดสอนหลักสูตรระดับปริญญาโทและปริญญาเอกได้ในระยะเวลาที่รวดเร็ว ส่งผลทำให้จำนวนนักศึกษาเพิ่มขึ้นจาก 160 คน เป็น 320-350 คน ในปัจจุบัน รางวัลการประกวดผลงานนวัตกรรม รางวัล Start-Up ทั้งในระดับสถาบัน ระดับประเทศและระดับนานาชาติ ของคณาจารย์และนักศึกษาจำนวนมาก ผลงานวิจัยและนวัตกรรมบางส่วนของวิทยาลัยวิศวกรรมชีวการแพทย์ บางส่วนสามารถใช้งานในสถานการณ์จริง ได้อยู่ระหว่างการนำไปดำเนินการในเชิงพาณิชย์ วิทยาลัยวิศวกรรมชีวการแพทย์เป็นเป้าหมายแรกๆของบุคคลจากภายนอกที่ต้องการมาเยี่ยมชมดูงานทางด้านนวัตกรรมที่มหาวิทยาลัยรังสิตเพราะปัจจัยที่สำคัญลำดับแรกๆก็คือต้องการมาเยี่ยมชมนวัตกรรมและแนวทางการพัฒนาของวิทยาลัยฯ วิทยาลัยฯได้รับการรับรองจากหน่วยงานภายนอกเช่นได้รับการรับรองจากศูนย์ความเป็นเลิศด้านฟิสิกส์ (ศฟ.) Thailand Center of Excellence in Physics (ThEP) สำนักพัฒนาบัณฑิตศึกษาและวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สบว.) ให้เป็นศูนย์วิจัยในเครือข่าย คะแนนประกันคุณภาพการศึกษาทั้งในส่วนของการวิจัยและในภาพรวมทั้งระดับหลักสูตรและระดับคณะ/วิทยาลัยเป็นอันดับหนึ่งในทุกปีการศึกษาตลอดมา ชื่อเสียงเรื่องการวิจัยและพัฒนาของวิทยาลัยวิศวกรรมชีวการแพทย์นำมาซึ่งการได้รับเชิญเพื่อทำความร่วมมือทางวิชาการและการวิจัยกับเครือข่ายทั้งที่เป็นสถาบันการศึกษาและสถานประกอบการจริงภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ  อุปสรรคหรือปัญหาในการทำงาน           อุปสรรคหรือปัญหาที่สำคัญที่สุดในการทำงานก็คือทัศนคติในการทำงานของบุคลากร โดยทางผู้บริหารในทุกระดับของคณะ/วิทยาลัยได้มี Growth Mindset และแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนโดยถือว่าทุกคนสามารถพัฒนาได้ ที่สำคัญก็คือผู้ที่มีทัศนคติในการทำงานที่ดีและเหมาะสมจะได้รับการส่งเสริมอย่างเต็มที่และผู้ที่ไม่สามารถพัฒนาและแก้ไขทัศนคติการทำงานให้สอดคล้องกับแนวทางของคณะ/วิทยาลัยได้ก็จะมีมาตรการที่เหมาะสมในการทำให้มีการพัฒนาในทางที่ดีขึ้น สำหรับปัญหาและอุปสรรคจากภายนอกนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับตัวเราในการที่จะไม่ทำให้เกิดปัญหาและอุปสรรคที่เกิดจากภายนอกเกิดขึ้น 3. Proven through successful mission operation, Objectives and Key Results for Knowledge Management – CHECK การตรวจสอบผลการดำเนินการ การนำเสนอประสบการณ์การนำไปใช้ สรุปและอภิปรายผล บทสรุปความรู้หรือความรู้ที่ค้นพบใหม่           การพัฒนาในด้านการวิจัยนั้นสิ่งที่สำคัญที่ต้องพิจารณาประการหนึ่งก็คืออัตราการเจริญเติบโตของงานวิจัยเพราะเราต้องพัฒนาผลงานวิจัยอย่างน้อยต้องมากกว่าหรือเท่ากับอัตราการเจริญเติบโตหรือความก้าวหน้าของภายนอกทั้งในระดับประเทศหรือระดับสากลไม่เช่นนั้นจะทำให้การพัฒนาของเรานั้นอยู่กับที่หรือล้าหลัง ดังนั้นการบริหารจัดการการพัฒนางานวิจัย ให้สามารถดำเนินการได้ตามแผน นั้นจะต้องประกอบด้วยการสำรวจตัวเอง (การทำSWOT) ในทุกๆด้าน การวางแผนงานและการวางเป้าหมายที่ดีและเหมาะสมสอดคล้องกับศักยภาพขององค์กรและสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่ในปัจจุบันและที่คาดว่าจะเป็นไปได้ในอนาคต การลงมือดำเนินงานอย่างมุ่งมั่นและจริงจัง การสร้างเครดิตและผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ การประชาสัมพันธ์ผลงานที่เหมาะสม ที่สำคัญต้องมีการประเมินผลและทบทวนผลงานและเป้าหมายการดำเนินการเป็นระยะๆตามช่วงเวลาที่เหมาะสม (PDCA)                     อย่างไรก็ตามการพัฒนางานวิจัยไม่มีเรื่องของความสำเร็จที่แน่นอนตายตัว ไม่มีจุดหมายที่แน่นอนตายตัว เพราะทุกๆอย่างจะเปลี่ยนไปตามเวลา ทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคและกาลเวลา แต่การบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ในแต่ละช่วงเวลาจะเป็นการยกระดับพื้นฐานของความแข็งแกร่งและศักยภาพในการพัฒนางานวิจัยมากขึ้น ความสำเร็จจริงๆของงานวิจัยก็คือสามารถนำไปประยุกต์ใช้งานในสถานการณ์จริงได้ มีการนำไปดำเนินการในเชิงพาณิชย์ได้ และสามารถทำให้ภาคการผลิตมีความเชื่อถือในเครดิตและเข้ามาให้ความร่วมมือในด้านต่างๆแก่ทีมวิจัยอย่างจริงๆจังๆในทุกๆด้าน อันจะทำให้การเชื่อมโยงระหว่างงานวิจัย การเรียนการสอน การบริการวิชาการ การนำไปประยุกต์ใช้งานจริง เป็นไปอย่างครบวงจร ข้อเสนอแนะในการดำเนินการในอนาคต หรือการดำเนินการเพื่อสามารถนำไปสู่การเป็น Good Practice ข้อเสนอแนะในการดำเนินการในอนาคต หรือการดำเนินการเพื่อสามารถนำไปสู่การเป็น Good Practice เนื่องจากมหาวิทยาลัยรังสิตเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีหลายกลุ่มคณะ/วิทยาลัย จากการดำเนินการในเรื่องการสร้างความเป็นเลิศด้านการพัฒนางานวิจัยของวิทยาลัยวิศวกรรมชีวการแพทย์ มาเป็นระยะเวลาหลายปีอย่างต่อเนื่องเมื่อเปรียบเทียบกับทิศทางการเป็นไปของทุกมิติของการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของสังคมไทย และสังคมโลกนั้นเราไม่สามารถแข่งขันได้เลยถ้าการศึกษาในระดับอุดมศึกษาไม่มีการวิจัยและพัฒนาอย่างเป็นระบบและยั่งยืนเพราะไม่รู้จะเอาองค์ความรู้ที่ไหนไปพัฒนาผู้เรียน สิ่งที่สำคัญก็คือเมื่อมีเทคโนโลยีที่สูงมากขึ้นเช่นปัญญาประดิษฐ์และการประยุกต์ใช้ในรูปแบบต่างๆมากมายในปัจจุบันเช่น Chat GPT หรืออื่นๆที่จะเกิดขึ้นตามมาล้วนแล้วแต่จะสามารถแทนที่การจัดการเรียนและเทคโนโลยีแบบดั้งเดิมได้หมดสิ้น ดังนั้นการพัฒนาคณะ/วิทยาลัยให้เป็นคณะแห่งการวิจัยนั้นน่าจะเป็นแนวทางหลักแนวทางหนึ่งที่สำคัญในการเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างของโลกในศตวรรษที่ 21 นี้            สำหรับการดำเนินการเพื่อให้สามารถนำไปสู่การเป็น Good Practice นั้นจริงๆแล้วการที่ผลงานการพัฒนาทางด้านการวิจัยในหลายๆปีที่ผ่านมาได้ออกสู่สายตาและเป็นที่รับรู้ทั้งในสื่อภายในสถาบัน สื่อสารมวลชนระดับประเทศ หรือระดับนานาชาติอย่างต่อเนื่องน่าจะเป็นดัชนีชี้วัดความยั่งยืนของการพัฒนาทางด้านผลงานวิจัยที่เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์อยู่แล้ว อย่างไร ก็ตามในหลายคณะ/หลายหน่วยงานในมหาวิทยาลัยรังสิตและหรือสถาบันการศึกษาของภาครัฐที่เกี่ยวข้องหรือองค์กรบางองค์กรทางด้านวิศวกรรมชีวการแพทย์ของประเทศไทยได้ใช้แนวทางบางส่วนของวิทยาลัยวิศวกรรมชีวการแพทย์ มหาวิทยาลัยรังสิตอยู่แล้วเพียงแต่ไม่ได้มีการอ้างอิงโดยตรง

การสร้างความเป็นเลิศด้านการพัฒนางานวิจัยของวิทยาลัยวิศวกรรมชีวการแพทย์ Read More »

การสร้างเครือข่ายการพัฒนางานวิจัย

การสร้างเครือข่ายการพัฒนางานวิจัย ยุทธศาสตร์ที่ 2 : KR2.2.3 รางวัลดีเด่น ปี2566 ผู้จัดทำโครงการ​ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ราชศักดิ์ สมยานนทนากุล วิทยาลัยนวัตกรรมดิจิทัลเทคโนโลยี หลักการและเหตุผล/ความสำคัญ/ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้​ จากแผนยุทธศาสตร์มหาวิทยาลัยรังสิต ในด้านพัฒนางานวิจัย งานสร้างสรรค์ และนวัตกรรมตามบริบทของมหาวิทยาลัยรังสิตที่ตอบโจทย์การพึ่งพาตนเองทางด้านเทคโนโลยีของประเทศไทย ได้ส่งเสริมให้ทำงานวิจัยที่พัฒนาร่วมกันแบบสหวิทยาการ หรือเป็นความร่วมมือระหว่างคณะวิชา และหน่วยงานภายนอกมหาวิทยาลัยในรูปแบบการสร้างเครือข่ายการพัฒนางานวิจัย ซึ่งถือได้ว่าเป็นกระบวนการสร้างพื้นที่สำหรับการแลกเปลี่ยนความรู้ และสนับสนุนการทำงานวิจัยในระดับมหาวิทยาลัย โดยเครือข่ายการพัฒนางานวิจัยมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ แบ่งปันความรู้ หาคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ หรือร่วมกันทำโครงการวิจัยที่มีรายละเอียดซับซ้อน โดยเป้าหมายหลักของการสร้างเครือข่ายการพัฒนางานวิจัยประกอบด้วย 7 ประการ ได้แก่ การเชื่อมโยง (Connectivity) เครือข่ายเพื่อสร้างพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการเชื่อมโยงระหว่างผู้ที่มีความสนใจและความเชี่ยวชาญในพื้นที่เดียวกันหรือใกล้เคียงกัน เช่น การประชุมวิชาการ การจัดกิจกรรมอบรมสัมมนา การแลกเปลี่ยนข้อมูล (Information Exchange) เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ ข้อมูล และประสบการณ์ระหว่างสมาชิกของเครือข่าย เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งและการเรียนรู้ร่วมกัน ในองค์ความรู้ที่แตกต่างกันให้สามารถทำวิจัยร่วมกันได้ การสนับสนุนและร่วมมือ (Support and Collaboration) การสนับสนุนกันระหว่างสมาชิกในเครือข่าย ในเรื่องการให้คำปรึกษา เข้าร่วมโครงการวิจัยร่วมกัน หรือการแบ่งปันทรัพยากรที่สามารถช่วยเหลือในการทำงานวิจัย เช่น การใช้เครื่องมือในห้องปฏิบัติการ การสร้างพื้นที่เพื่อพัฒนาทักษะ (Capacity Building) การจัดอบรม สัมมนา หรือโครงการที่เกี่ยวกับการพัฒนาทักษะและความรู้ที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของสมาชิกในเครือข่าย ซึ่งเป็นการสร้างขึ้นจากผู้เชี่ยวชาญภายในโครงการวิจัย หรือ เชิญผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน การสร้างพันธมิตรภาคสาธารณะและเอกชน (Public-Private Partnerships) การสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อสนับสนุนงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี การสร้างโครงสร้างการบริหาร (Governance Structure) การกำหนดระเบียบ การบริหารจัดการ การจัดการด้านการเงิน และผลงานทางวิชาการ เพื่อให้การดำเนินงานของเครือข่ายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและรอบคอบ การสร้างและรักษาความน่าเชื่อถือ (Trust Building) การสร้างความเชื่อถือระหว่างสมาชิกภายในเครือข่าย เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือร่วมไปถึงการทำข้อตกลงไม่เปิดเผยข้อมูลภายในโครงการ หรือ การนำผลที่ได้จากงานวิจัยไปเผยแพร่ต้องได้รับอนุญาตก่อน                ดังนั้น การสร้างเครือข่ายการพัฒนางานวิจัยมีประโยชน์มากในการสนับสนุนการพัฒนาด้านวิชาการและเทคโนโลยีช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างนวัตกรรมใหม่ และสร้างความร่วมมือที่แข็งแกร่งในการแก้ไขภาวะสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยและพัฒนา ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้           การสร้างเครือข่ายการพัฒนางานวิจัยเป็นกระบวนการ ประเภทความรู้และที่มาความรู้ ความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวคน (Tacit Knowledge) : ความรู้แบบชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) ความรู้จากคลังความรู้ของเว็บไซต์ระบบการจัดการความรู้ KM Rangsit University      (http://lc.rsu.ac.th/km/Knowledgebase) เจ้าของความรู้/สังกัด  ปี 2563 ประเภทการเผยแพร่ผลงานวิจัยและงานสร้างสรรค์ ชื่อเรื่อง เทคนิคการเขียนบทความวิจัยให้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติระดับ Q1, Q2https://lc.rsu.ac.th/km/knowledgebase/form/detail/784                                             ความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวคน (Tacit Knowledge) ผู้ให้ความรู้                                                                           วิธีการดำเนินการ การสร้างเครือข่ายการพัฒนางานวิจัยเป็นงานที่ต้องอาศัยความรู้ในการทำวิจัยที่มีขอบเขตกว้างขวาง ในด้านพหุวิทยาการ ระยะเวลาดำเนินการ และ งบประมาณ โดยกำหนดวัตถุประสงค์เรื่องการมีจำนวนผลงานทางวิชาการซึ่งจะมีขั้นตอนดังนี้ กำหนดวัตถุประสงค์และแผนการดำเนินงานวิจัย กำหนดวัตถุประสงค์ของเครือข่ายงานวิจัยให้ชัดเจน รวมถึงกำหนดแผนการดำเนินงานที่เหมาะสมเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว การสร้างความน่าเชื่อถือและความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกของเครือข่าย โดยการสร้างความโปร่งใส และการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้เข้าร่วม การเลือกบุคคลที่เหมาะสมที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในสาขาที่เกี่ยวข้องเพื่อเข้าร่วมในเครือข่าย การสร้างพื้นที่ และ สภาพแวดล้อม ที่เอื้ออำนวยต่อการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการจัดประชุม อบรมสัมมนา เวิร์กช็อป หรือกิจกรรมอื่น ๆ ที่สร้างโอกาสให้ผู้เข้าร่วมโครงการงานวิจัยเกิดการพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การสนับสนุนการพัฒนาทักษะ เป็นการสร้างโอกาสให้กับสมาชิกในเครือข่ายในการพัฒนาทักษะและความรู้ที่จำเป็นสำหรับงานวิจัย สร้างพันธมิตรและความร่วมมือกับองค์กรหรือผู้สนับสนุนอื่นเพื่อเสริมสร้างทรัพยากรและโอกาสในการวิจัย ทั้งเครือข่ายภายใน และภายนอกโครงการวิจัย การจัดการและบริหารความรู้ที่ได้รับจากการวิจัยเพื่อให้เกิดประโยชน์และการนำไปใช้ในประเด็นที่เกี่ยวข้อง           การสร้างเครือข่ายการพัฒนางานวิจัยเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความพยายามมาก เนื่องจากต้องสร้างความเข้าใจและความไว้วางใจกันระหว่างผู้เข้าร่วม แต่เมื่อมีการสร้างเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพแล้ว จะสามารถสร้างผลลัพธ์ที่สำคัญและมีประโยชน์ในการพัฒนาวิจัยและสังคมอย่างมาก 2.Prototype testing in an operational environment – DO ผลการดำเนินการ การนำไปใช้ หรือการลงมือปฏิบัติจริง อุปสรรคหรือปัญหาในการทำงาน                เนื่องจากผู้ให้ความรู้ มีประสบการณ์ในด้านการสร้างเครือข่ายการพัฒนางานวิจัยที่เน้นใช้ในงานวิจัยด้าน AI ทางการแพทย์ โดยเป้าหมายสำคัญ คือ การพัฒนาทรัพยากรและการแลกเปลี่ยนความรู้ในพื้นที่ได้มากขึ้น เพื่อให้สามารถนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการแก้ไขปัญหาทางการแพทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ขั้นตอนและเหตุการณ์สำคัญที่สำคัญในการสร้างเครือข่ายการพัฒนางานวิจัย ดังนี้ การสร้างโอกาส การผลักดันตนเองเข้าไปในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ตัวอย่างเช่น เข้าร่วมการประชุมวิชาการในระดับนานาชาติ เข้าร่วมอบรม สัมมนา ในหลักสูตร หรือ หัวข้อที่มีความเกี่ยวข้องในงานวิจัย การเข้าร่วมพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญในเรื่องที่ตนเองเชี่ยวชาญ และ สร้างความสัมพันธ์เพื่อร่วมทำงานวิจัยเพื่อเข้าไปมีส่วนร่วม หรือ การเชิญผู้เชี่ยวชาญเข้ามาเป็นสมาชิกในคณะวิจัย การรวมกลุ่มคณะวิจัยเพื่อสร้างกลุ่มคณะวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญในด้าน AI และการแพทย์เข้าด้วยกัน โดยพิจารณาจากการกำหนดเป้าหมายเพื่อสร้างพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ โดยโจทย์งานวิจัยจะได้มาจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน (Domain Expert) เช่น แพทย์เฉพาะทาง นักเทคนิคการแพทย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล โดยการเชิญประชุมกำหนดหัวข้อวิจัย จำนวนส่วนแบ่งทุนวิจัย และ การตีพิมพ์ผลงานวิชาการ การสร้างฐานข้อมูลเพื่อใช้ในงานวิจัย เป็นการรวบรวมข้อมูลมาสร้างระบบฐานข้อมูล เพื่อใช้ในงานวิจัย ได้แก่ ข้อมูลผู้ป่วยในด้านการรักษา ข้อมูลคลินิก ข้อมูลสัญญาชีพ ซึ่งอยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ และ รูปแบบที่ไม่ใช่อิเล็กทรอนิกส์ ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญจะเก็บข้อมูลผู้ป่วยที่ได้จากการรักษาผู้ป่วย ข้อมูลจากระบบห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ และ ข้อมูลผู้ป่วยจากระบบโรงพยาบาล การสร้างโมเดลและอัลกอริทึมที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางการแพทย์ นั้นต้องพิจารณาจากโจทย์งานวิจัยว่าเป็นงานด้านใด เช่น การวิเคราะห์ภาพการสแกน ข้อมูลการตรวจทางห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ เพื่อการวินิจฉัยโรคหรือการพยากรณ์ผลลัพธ์ของการรักษา โดยการเลือกพิจารณาจากงานวิจัยในเรื่องเดียวกันที่เคยนำเสนอมาก่อนหน้า และนำมาพัฒนาต่อเพื่อให้ได้ผลการทดลองที่ดีขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การตีพิมพ์ผลงานได้ในระดับสากล การทดสอบ การปรับปรุง โมเดลและอัลกอริทึม อย่างต่อเนื่องเพื่อให้มีประสิทธิภาพและความแม่นยำสูงสุดในการใช้งานจริง โดยผลการทดลองที่ได้จำเป็นต้องนำเสนอกับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ หรือ เจ้าของโจทย์วิจัยเพื่อยืนยันผลการทดสอบโมเดล และ รับรองผลที่ได้จากการวิเคราะห์ข้อมูลว่าเป็นไปตามข้อปฏิบัติทางการแพทย์ หรือ หลักการทางวิทยาศาสตร์ การแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ เพื่อสร้างพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ระหว่างนักวิจัย และ ผู้เชี่ยวชาญในสาขาการแพทย์ และ AI เช่น แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เภสัชกร นักเทคนิคการแพทย์ วิศวกรด้านปัญญาประดิษฐ์ เพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้และการพัฒนาที่ยั่งยืน           ดังนั้น การสร้างเครือข่ายการพัฒนางานวิจัยในด้าน AI ทางการแพทย์จะเสริมสร้างโอกาสในการพัฒนาเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพและมีความสามารถในการรักษาและดูแลสุขภาพของมนุษย์อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น มุ่งเน้นเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม 3. Proven through successful mission operation, Objectives and Key Results for Knowledge Management – CHECK การตรวจสอบผลการดำเนินการ การนำเสนอประสบการณ์การนำไปใช้ สรุปและอภิปรายผล บทสรุปความรู้หรือความรู้ที่ค้นพบใหม่               ผลจากการดำเนินการตามแผนที่ได้กำหนดไว้ทำให้ได้ผลงานทางวิชาการร่วมกับเครือข่ายการพัฒนางานวิจัย ตัวอย่างเช่น คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยรังสิต ดำเนินโครงการจัดตั้งคลินิกเทคนิคการแพทย์ โดยผู้ให้ความรู้ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่การติดตั้งระบบ Laboratory Information System ในทุกกระบวนการ เมื่อระบบติดตั้งใช้งานเรียบร้อย ทีมงานในโครงการจัดตั้งคลินิกเทคนิคการแพทย์มหาวิทยาลัยรังสิต ได้ร่วมกันนำความรู้ที่ได้จัดทำผลงานวิจัยนำเสนอในงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติ จำนวน 1 เรื่อง ในปี พ.ศ. 2560 Somyanonthanakul, R. and Gatedee, T. (April 2017) Design and Implementation of Laboratory Information System: A Case Study at the Medical Technology Clinic, Rangsit University. In Proceedings, RSU International Research Conference 2017 (RSUCON 2017), April 28 2017, Thailand                โรงพยาบาลลำพูน ทำโครงการดูแลผู้สูงอายุในเขตชุมชนเมือง จึงได้ขอความร่วมมือมายังผู้ให้ความรู้เพื่อทำการวิเคราะห์ข้อมูลจากห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์นำไปเป็นข้อมูลประกอบในการวางแผนดูแลผู้สูงอายุในชุมชนเมือง ผู้ให้ความรู้ได้ข้อมูลและทำการวิเคราะห์ได้ผลลัพธ์เป็นไปตามวัตถุประสงค์โครงการที่ตั้งไว้แล้ว ผู้ให้ความรู้ได้รับอนุมัติจากหัวหน้าโครงการให้นำผลการวิเคราะห์ข้อมูลในส่วนที่สำคัญจัดทำผลงานวิจัยนำเสนอในงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติ จำนวน 1 เรื่อง ในปี พ.ศ. 2565 Gatedee, J., Jaiping, K., Yothinarak, A., Netsawang, J., Kasemsawasdi, S., Angsirikuland, S., Somyanonthanakul, R. (2022). Association Serum Uric Acid and Lipid Parameters in Patients at Lamphun Hospital, Thailand. The 17th International Joint Symposium on Artificial Intelligence and Natural Language Processing (iSAI-NLP 2022), 5-7 November 2022. Chiang Mai, Thailand. 152-157                โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ได้จัดตั้งโรงพยาบาลสนามเพื่อรองรับผู้ป่วย COVID-19 ในช่วงที่มีการระบาดของโรคตามช่วงเวลาดังกล่าว ผู้ให้ความรู้ได้เข้าไปร่วมงานทำงานในส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษา เพื่อนำผลการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้เป็นข้อมูลเพื่อให้ ผู้รับผิดชอบโรงพยาบาลสนาม สามารถวางแผนเตรียมจำนวนเตียงเพื่อรองรับผู้ป่วยให้เพียงพอกับจำนวนผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษา หลังจากได้โครงการดำเนินการเสร็จสิ้น ผู้ให้ความรู้ได้รับอนุมัติจากหัวหน้าโครงการให้นำผลการวิเคราะห์ข้อมูลในส่วนที่สำคัญจัดทำผลงานวิจัยนำเสนอในวารสารวิจัยระดับนานาชาติ จำนวน 2 เรื่อง ในปี พ.ศ. 2564 และ 2565 Amasiri, Watchara, Kritsasith Warin, Karicha Mairiang, Chatchai Mingmalairak, Wararit Panichkikosolkuli, Krittin Silanun, Rachasak Somyanonthanakul, Thanaruk Theeramunkong, Surapon Nitikraipot, and Siriwan Suebnukarn. 2021. Analysis of Characteristics and Clinical Outcomes for Crisis Management during the Four Waves of the COVID-19 Pandemic, International Journal of Environmental Research and Public Health 18, no. 23: 12633.  Rachasak Somyanonthanakul, Kritsasith Warin, Watchara Amasiri, Karicha Mairiang, Chatchai Mingmalairak, Wararit Panichkitkosolkul, Krittin Silanun, Thanaruk Theeramunkong, Surapon Nitikraipot and Siriwan Suebnukarn. (2022). Forecasting COVID-19 cases using time series modeling and association rule mining. BMC Medical Research Methodology. 22:281 November 2022. Switzerland AG: Springer Nature. 1-18.                คณะทันตแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ต้องการทำ Model AI เพื่อใช้กับผู้ป่วยมะเร็งในช่องปาก โดยใช้ข้อมูลผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาผู้ป่วยมะเร็งในช่องปาก ในโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ และ โรงพยาบาลมะเร็งอุดรธานี จึงมีการจัดทำโครงการวิจัยเพื่อใช้ในการคัดกรอง ติดตามการรักษา ของผู้ป่วยมะเร็งช่องปาก ผู้ให้ความรู้ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในโครงการโดยรับผิดชอบในการวิเคราะห์ข้อมูล หลังจากได้โครงการดำเนินการเสร็จสิ้น ผู้ให้ความรู้ได้รับอนุมัติจากหัวหน้าโครงการให้นำผลการวิเคราะห์ข้อมูลในส่วนที่สำคัญจัดทำผลงานวิจัยนำเสนอในวารสารวิจัยระดับนานาชาติจำนวน 1 เรื่อง ในปี พ.ศ. 2566 Wararit Panichkitkosolkul, Rachasak Somyanonthanakul, Kritsasith Warin, and Siriwan Suebnukarn. (2023) The Discovery of Oral Cancer Prognostic Factor ranking using Association Rule Mining, European Journal of Dentistry. สรุปผลที่เกิดจากการดำเนินการ ลำดับที่ ปี ชื่อบทความวิจัย ประเภทบทความ Index 1 2566 Wararit Panichkitkosolkul, Rachasak Somyanonthanakul, Kritsasith Warin, and Siriwan Suebnukarn. (2023) The Discovery of Oral Cancer Prognostic Factor ranking using Association Rule Mining, European Journal of Dentistry. International Journal Scopus Q1 2 2565 Rachasak Somyanonthanakul, Kritsasith Warin, Watchara Amasiri, Karicha Mairiang, Chatchai Mingmalairak, Wararit Panichkitkosolkul, Krittin Silanun, Thanaruk Theeramunkong, Surapon Nitikraipot and Siriwan Suebnukarn. (2022). Forecasting COVID-19 cases using time series modeling and association rule mining. BMC Medical Research Methodology. 22:281 November 2022. Switzerland AG: Springer Nature. 1-18. International Journal Scopus Q1 3 2565 Gatedee, J., Jaiping, K., Yothinarak, A., Netsawang, J., Kasemsawasdi, S., Angsirikuland, S., Somyanonthanakul, R. (2022). Association Serum Uric Acid and Lipid Parameters in Patients at Lamphun Hospital, Thailand. The 17th International Joint Symposium on Artificial Intelligence and Natural Language Processing (iSAI-NLP 2022), 5-7 November 2022. Chiang Mai, Thailand. 152-157 International Conference IEEE 4 2564 Amasiri, Watchara, Kritsasith Warin, Karicha Mairiang, Chatchai Mingmalairak, Wararit Panichkikosolkuli, Krittin Silanun, Rachasak Somyanonthanakul, Thanaruk Theeramunkong, Surapon Nitikraipot, and Siriwan Suebnukarn. 2021. Analysis of Characteristics and Clinical Outcomes for Crisis Management during the Four Waves of the COVID-19 Pandemic, International Journal of Environmental Research and Public Health 18, no. 23: 12633. International Journal Scopus Q1 5 2560 Somyanonthanakul, R. and Gatedee, T. (April 2017) Design and Implementation of Laboratory Information System: A Case Study at the Medical Technology Clinic, Rangsit University. In Proceedings, RSU International Research Conference 2017 (RSUCON 2017), April 28 2017, Thailand RSU Conference –   ข้อเสนอแนะในการดำเนินการในอนาคต หรือการดำเนินการเพื่อสามารถนำไปสู่การเป็น Good Practice ข้อเสนอแนะในการดำเนินการในอนาคต หรือการดำเนินการเพื่อสามารถนำไปสู่การเป็น Good Practice การสร้างเครือข่ายการพัฒนางานวิจัยในด้าน AI ทางการแพทย์เป็นโครงการที่มีความสำคัญและมีศักยภาพที่จะเสนอแนวทางในอนาคตเพื่อให้เกิดการพัฒนาและนวัตกรรมทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพขึ้นการวางแผนที่ดีทำให้อนาคตที่การสร้างเครือข่ายการพัฒนางานวิจัยด้าน AI ทางการแพทย์ สามารถทำได้สำเร็จ ควรมีการเตรียมการในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้ การสร้างศูนย์กลางการวิจัยที่เชื่อมโยงระหว่างสถาบันการแพทย์ สถาบันการศึกษา และภาคเอกชน เพื่อสร้างพื้นที่ในการทำงานร่วมกันและแบ่งปันความรู้ สร้างระบบการสนับสนุนทุนในการวิจัยด้าน AI ทางการแพทย์ เพื่อส่งเสริมการทำงานวิจัยที่มีคุณค่าและมีนวัตกรรม จากหน่วยงานให้ทุน เช่น TCELS และ PMU-B การสร้างพื้นที่สำหรับ แลกเปลี่ยนความรู้ ประชุม สัมมนา และ เวิร์กช็อป ที่เกี่ยวข้องกับ AI ทางการแพทย์ เพื่อสร้างโอกาสในการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ สร้างโครงสร้างการฝึกอบรมที่เหมาะสมสำหรับนักวิจัยและผู้ที่สนใจในด้าน AI ทางการแพทย์ เพื่อเพิ่มทักษะและความรู้ในการใช้เทคโนโลยีในงานวิจัยแพทย์ สร้างความร่วมมือระหว่างสถาบันวิจัยและองค์กรทางการแพทย์ในระดับนานาชาติ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความรู้             ดังนั้น ผู้ให้ความรู้ขอให้ความสำคัญในเรื่องการหาโอกาส เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างเครือข่ายพัฒนางานวิจัย เพราะการทำวิจัยโครงการขนาดใหญ่ ต้องอาศัยความรู้หลายศาสตร์ ในเวลา และ งบประมาณที่จำกัด การเตรียมความพร้อมและความเชี่ยวชาญให้กับตนเอง เพื่อรอโอกาสได้มีส่วนร่วมในโครงการวิจัยที่สำคัญจะทำให้การตีพิมพ์ผลงานวิจัยเป็นไปได้มาก

การสร้างเครือข่ายการพัฒนางานวิจัย Read More »

การสร้างนวัตกรรมเครื่องมือวางองศาการถ่ายภาพรังสีเพื่อการรักษารากหันหลายคลองราก ไปสู่การทำวิจัยเพื่อปรับปรุงคุณภาพของเครื่องมือโดยการวัดผลในผู้ใช้จริง

รางวัลชมเชย ปีการศึกษา 2566 ยุทธศาสตร์ที่ 2 : KR 2.1.1 การสร้างนวัตกรรมเครื่องมือวางองศาการถ่ายภาพรังสีเพื่อการรักษารากฟันหลายคลองราก ไปสู่การทำวิจัยเพื่อปรับปรุงคุณภาพของเครื่องมือ โดยการวัดผลในผู้ใช้จริง ผู้จัดทำโครงการ​ ผศ.ทญ.ดร.ปิยะนุช กรรณสูต วิทยาลัยทันตแพทยศาสตร์ หลักการและเหตุผล/ความสำคัญ/ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้​                ในการรักษาทางทันตกรรมการรักษาคลองรากฟันเป็นหนึ่งในงานที่ทันตแพทย์ต้องให้การรักษาเป็นประจำเพื่อกำจัดเชื้อโรคที่ลุกลามเข้าสู่คลองรากฟันหรือกำจัดหนองปลายรากฟัน ฟันทุกซี่จะมีส่วนของคลองรากฟันเป็นที่อยู่ของเส้นเลือดและเส้นประสาทอยู่ภายใน หากมีฟันที่ผุลุกลามหรือมีการติดเชื้อจากสาเหตุใดก็ตามทะลุไปถึงคลองรากฟันแล้ว ทันตแพทย์จะต้องเปิดคลองรากฟันเพื่อเข้าไปกำจัดเชื้อและอุดคลองรากให้สมบูรณ์ให้ฟันซี่นั้นสามารถใช้งานต่อได้โดยปราศจากเชื้อโรค                ฟันของมนุษย์มีหลายรูปร่างและหลายหน้าที่เช่น ฟันตัดด้านหน้า ฟันกรามบดเคี้ยวด้านหลัง ซึ่งฟันแต่ละซี่จะมีจำนวนของคลองรากฟันไม่เท่ากัน ในฟันหลังเช่น ฟันกรามน้อย ฟันกราม มักจะประกอบไปด้วยมากกว่า 1 คลองรากฟัน ในการรักษาเพื่อกำจัดเชื้อโรคนั้นมีความสำคัญมากที่จะต้องรักษากำจัดเชื้อโรคให้ครบทุกครองรากอย่างดีไม่ให้ยังคงเหลือของเชื้อโรคและลุกลามต่อไปได้อีก การรักษาคลองรากฟันนั้นประกอบไปด้วยหลายขึ้นตอนตั้งแต่การล้างให้สะอาด ใส่ยาฆ่าเชื้อ และการอุดปิดคลองราก ใช้ระยะเวลาการรักษาอาจจะมากกว่าหนึ่งครั้งจนเสร็จ และต้องมีระยะเวลาในการติดตามผลการรักษาต่อเนื่องอีกหลายเดือน-ปี                รากฟันเป็นอวัยวะที่อยู่ในกระดูกเบ้าขากรรไกร การตรวจดูผลการรักษานั้นทำได้โดยวิธีเดียวคือการถ่ายภาพรังสีบริเวณรากฟัน เพื่อดูประสิทธิภาพของการรักษาในขั้นตอนต่างๆ และดูผลสำเร็จของการรักษาอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการตรวจดูอาการของผู้ป่วยและการตรวจทางคลินิก ดังนั้นในฟัน 1 ซี่ที่ประกอบไปด้วยหลายคลองรากฟัน การถ่ายภาพรังสีรากฟันมักจะมีโอกาสที่รากฟันหนึ่งจะบดบังอีกรากหนึ่งอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ผู้ถ่ายภาพรังสีต้องเอียงกระบอกรังสีหลบให้เกิดการถ่ายลักษณะเฉียง ๆ ให้ได้เห็นรากแบบไม่ซ้อนทับกัน การเอียงหลบของกระบอกรังสีนั้นทำโดยการคาดคะเนจากผู้ถ่ายภาพรังสีตามความถนัดของแต่ละบุคคล บ่อยครั้งยังมีการซ้อนทับกันของรากในภาพรังสี ต้องทำการถ่ายภาพรังสีหลายครั้งโดยเปลี่ยนมุมในการเอียงหลบเพื่อให้สามารถมองเห็นทุกคลองรากได้ ทำให้ผู้ป่วยได้รับรังสีจากการเอ็กซ์เรย์ฟันหลายครั้งโดยไม่จำเป็น และเสียเวลาทำงานในการทำให้มีประสิทธิภาพในระยะเวลาจำกัด เนื่องจากมีการซ้อนทับกันของคลองรากทำให้ต้องเปลี่ยนแปลงองศาในการถ่ายภาพรังสีจนกว่าจะเห็นคลองรากที่ไม่ซ้อนทับกัน โดยการคาดคะเนองศาต่าง ๆ มักเป็นการประมาณของแต่ละบุคคล ไม่มีความแน่นอน                จึงมีการคิดแก้ไขปัญหาความไม่แม่นยำของการวางกระบอกรังสีนี้ ด้วยเครื่องมือบางอย่างที่ช่วยเข้ามาส่งเสริมการถ่ายภาพรังสีในกรณีที่ต้องมีการเอียงกระบอกรังสีเพื่อให้รากฟันไม่ซ้อนทับกัน และลดการใช้เวลาในการถ่ายภาพรังสี รวมถึงการได้รับรังสีมากเกินความจำเป็นของผู้ป่วย  ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้           อาจารย์จึงได้นำเอาสถิติของฟันแต่ละซี่มาวิเคราะห์ดูก่อนว่ามักจะต้องเอียงกระบอกถ่ายรังสีที่กี่องศาในการถ่ายภาพรังสีให้รากฟันไม่ซ้อนทับกัน โดยนำมาวิเคราะห์ที่ 20 25 30 35 องศาตามลำดับ แล้วมาจัดทำเครื่องมือชื่อ RSU shifter เป็นเครื่องมือที่นำมาใช้วางทาบอุปกรณ์จับฟิล์มที่ใช้ถ่ายรังสีในงานรักษาคลองรากทั่วไป โดยร่วมกับการจัดตำแหน่งกระบอกรังสี เป็นอุปกรณ์เสริมที่ยังไม่พบเครื่องมือลักษณะนี้มีการขายในท้องตลาดมาก่อน เครื่องมือนี้จะช่วยวางองศาความเอียงของกระบอกถ่ายรังสีได้แม่นยำในองศาที่เลือกโดยไม่ต้องทำการคาดคะเนเองตามความถนัดส่วนบุคคล โดยจากการทำวิจัยพบว่ามีการวางมุมที่ 20 องศาเป็นหลัก โดยทดสอบจากทันตแพทย์ทั่วไปที่ให้การรักษาคลองรากฟัน และทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาทันตกรรมเอ็นโดดอนต์ หลังจากการทำวิจัยจึงได้เน้นผลิตเครื่องมือที่ 20 องศาเป็นหลัก ประเภทความรู้และที่มาความรู้ ความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวคน (Tacit Knowledge) : เจ้าของความรู้/สังกัด  ผศ.ดร.ทญ. ปิยะนุช กรรณสูต วิทยาลัยทันแพทยศาสตร์ วิธีการดำเนินการ 1. วิธีการดำเนินการ   ดำเนินการตามขั้นตอน plan, do, check, act ดังนี้              อาจารย์ได้สร้างนวัตกรรมของเครื่องมือ ชื่อ RSU shifter เป็นเครื่องมือที่ไว้วางตำแหน่งเอียงของกระบอกเครื่องถ่ายภาพรังสีที่ 20 องศา หลังจากวิเคราะห์แล้วว่าเป็นมุมที่มีประโยชน์ในการใช้งานให้ถ่ายภาพรังสีได้ไม่เกิดการซ้อนทับของคลองรากมากที่สุด เครื่องมือนี้มีน้ำหนักเบา จัดเก็บง่าย ทำความสะอาดง่าย และใช้งานง่าย สามารถใช้งานกับอุปกรณ์จับฟิล์มหลายชนิดที่มีใช้ตามท้องตลาดทั่วไป ได้ทุกแบบ ผู้ถ่ายภาพรังสีสามารถทำคนเดียวได้ และเครื่องมือยังมีความคงทนสูง สามารถฆ่าเชื้อและนำกลับมาใช้ซ้ำได้                หลังจากสร้างชิ้นงานนวัตกรรมขึ้นแล้ว อาจารย์ได้ทำการจดอนุมัติสิทธิบัตร และนำมาทำวิจัยเพื่อดูผลการใช้งานว่ามีประโยชน์และมีประสิทธิภาพเพียงใด รวมถึงรวบรวมข้อเสียจากการใช้งานมาต่อยอดปรับปรุงชิ้นงานนวัตกรรมให้เป็นประโยชน์มากขึ้นเรื่อย ๆ  2. Prototype testing in an operational environment – DO ผลการดำเนินการ การนำไปใช้ หรือการลงมือปฏิบัติจริง อุปสรรคหรือปัญหาในการทำงาน                 ได้มีการทำวิจัยเพื่อทดสอบประสิทธิภาพ หาข้อบกพร่องและนำมาปรับปรุงชิ้นงานในหลายขึ้นตอน การผลิตชิ้นงานนั้นเริ่มจาก version ที่ 1 เป็นเครื่องมือตัวแรกชื่อ PLK jig ซึ่งเป็นเครื่องมือแรกที่ได้ทำการจดอนุมัติสิทธิบัตร และนำมาทำวิจัยโดยการใช้งาน จึงพบปัญหาหลายอย่างจนพัฒนามาเป็นเครื่องมือ RSU shifter ในปัจจุบัน ซึ่งเครื่องมือชิ้นปัจจุบันได้ปรับปรุงข้อเสียของ version ที่ 1 ให้สามารถเชื่อมต่อกับเครื่องมือถ่ายภาพรังสีที่ใช้กันอยู่แล้วในคลินิก ลดการปนเปื้อนของน้ำลาย และใช้งานง่ายขึ้น โดยได้มีการทำวิจัยวัดผลและตีพิมพ์ไปแล้วเช่นกัน ใน World journal of dentistry ในปี 2021 ในบทความเรื่อง A Novel 20° X-ray Angle Shifter for Superimposed Canal Separation โดยทำการวิจัยเครื่องมือที่เอียง 20 องศาในฟันกราม                หลังจากการวัดผลการใช้งานด้วยงานวิจัย ปัจจุบันอาจารย์ก็ได้ทำงานวิจัยเพื่อประเมินเพิ่มเติมอีก โดยเปรียบเทียบความพึงพอใจของผู้ใช้และความแม่นยำของวิธีแบบดั้งเดิมจากการคาดคะเนโดยผู้ถ่ายภาพรังสึโดยไม่ใช้เครื่องมือ RSU shifter เปรียบเทียบกับการใช้เครื่องมือที่ได้ผลิต (horizontal shift technique) เป็นการวัดผลกับผู้ใช้อย่างแท้จริงว่าเป็นประโยชน์กับคนทั่วไปอย่างแท้จริงรึเปล่า และภาพรังสีที่ได้นั้นแตกต่างกันจริงหรือไม่ พบว่าการใช้เครื่องมือ RSU shifter สามารถลดระยะเวลาการถ่ายภาพรังสีได้ โดยเฉพาะในกลุ่มนักศึกษาทันตแพทย์ อีกทั้งยังสามารถถ่ายภาพรังสีมุมเดิมในการติดตามการรักษาของรากฟันเดิมในครั้งถัด ๆ ไปได้เป็นอย่างดี ส่วนในกลุ่มผู้ถ่ายภาพรังสีที่มีความเคยชินกับการถ่ายแบบคาดคะเนด้วยตนเองแบบเก่านั้นพบว่า อาจจะยังไม่คุ้นชินกับเครื่องมือเท่าการกะประมาณด้วยตนเองซึ่งอาจจะไม่สามารถถ่ายภาพรังสีในมุมซ้ำเดิมได้ในระยะติดตาม แต่ทั้งนี้พบว่าการใช้เครื่องมือนี้ภาพรังสีที่ได้จะมีคุณภาพที่ดีขึ้นในการเปรียบเทียบ ติดตามผลการรักษา           เครื่องมือนี้ได้ถูกพัฒนาจาก version ที่ 1 มาเป็นระยะเวลาค่อนข้างนาน (10 ปี)  ได้ถูกพัฒนาต่อเนื่องและแก้ไขมาจนปัจจุบัน ซึ่งเครื่องมือที่ได้ถือว่าเป็นประโยชน์ในการพัฒนาการเรียนการสอน เปรียบเทียบผล recall ติดตามผลการรักษาได้ดีกว่าในฟันที่รักษาคลองรากฟัน          3. Proven through successful mission operation, Objectives and Key Results for Knowledge Management – CHECK การตรวจสอบผลการดำเนินการ การนำเสนอประสบการณ์การนำไปใช้ สรุปและอภิปรายผล บทสรุปความรู้หรือความรู้ที่ค้นพบใหม่             การสร้างงานนวัตกรรมเป็นงานวิจัยนั้น ทำให้เกิดประโยชน์ได้มากขึ้น ทำให้ได้ผลลัพธ์ออกมาว่างานมีข้อบกพร่องอะไร เมื่อผลวิจัยบ่งชี้ออกมาก็สามารถเอาไปแก้ไข้ชิ้นงานนวัตกรรมนั้นอีก เพราะสิ่งที่ประดิษฐ์แล้วได้ใช้งานก็นำไปสู่การพัฒนาปรับปรุงเป็นเครื่องมือที่ดีขึ้น และทำวิจัยกับเครื่องมือที่ปรับปรุงแล้วไปอีกทำให้ได้ชิ้นงานที่ใช้งานได้เป็นประโยชน์อย่างแท้จริง                    อีกทั้งยังทำให้อาจารย์เกิดผลงานทั้งงานนวัตกรรมและงานวิจัยในชิ้นงานเดียว พออาจารย์ลงมือทำให้จะเห็นแนวทางการต่อยอด รวมถึงข้อเสนอแนะจากผู้ใช้งานให้ต่อยอดชิ้นงานไปได้อีก สิ่งที่อาจารย์ได้คิดต่อไปอีกคือการทำผลิตภัณฑ์ที่เป็น set เครื่องมือที่ใช้ถ่ายภาพรังสี เนื่องจากในท้องตลาดมีการขายหลายรูปแบบ การใช้งานตามแต่ความถนัดของผู้ถ่ายภาพรังสี อาจารย์จึงคิดที่จะทำ set ของเครื่องมือที่รวบรวมทุกเทคนิคไว้ด้วยกัน ทั้งนี้คนในปัจจุบันชอบสิ่งที่มีความสะดวกสูง และมีความง่ายในการใช้งาน อาจารย์จึงมีแนวคิดที่จะพัฒนาเครื่องมือที่สามารถอำนวยความสะดวกให้ใช้งานง่ายขึ้นอีก ซึ่งแนวความคิดในการแก้ไขปัญหาต่างๆนี้ก็ล้วนเกิดขึ้นจากการทดสอบการใช้งานจากงานวิจัยที่พบว่าผู้ใช้งานส่วนใหญ่จะให้คำแนะนำออกมาในทิศทางเดียวกัน ข้อเสนอแนะในการดำเนินการในอนาคต หรือการดำเนินการเพื่อสามารถนำไปสู่การเป็น Good Practice               เวลาเป็นสิ่งที่เร่งรัดนักประดิษฐ์ การผลิตที่ใช้เวลานานก็อาจจะทำให้สิ่งประดิษฐ์นั้นล้าสมัย แต่ในมุมมองของนักวิชาการก็ถือเป็นการได้ประโยชน์ในการทำงานวิชาการมากกว่าการทำธุรกิจ และแน่นอนว่ายังเกิดประโยชน์อย่างสูงในส่วนของการเรียนการสอน และการใช้จริงกับผู้ป่วยในคลินิก                การทำวิจัยจากนวัตกรรมให้สำเร็จนั้น อาจารย์ได้แนะนำว่าให้สร้างนวัตกรรมแล้วส่งจดสิทธิบัตร เมื่อมีการจดสิทธิบัตรแล้วก็สามารถนำเครื่องมือไปใช้งานได้ในหลาย ๆ ด้าน รวมถึงการนำมาทำวิจัยต่อ จะพบว่าของที่ประดิษฐ์ชิ้นนั้นมีประโยชน์ และได้ค้นพบว่าเครื่องมือที่ตนเองผลิตขึ้นมามีข้อดี ข้อเสียอย่างไร จะแก้ไขอย่างไร จนมาถึงเครื่องมือชิ้นล่าสุดที่ค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจ และมีประโยชน์กับนักศึกษามาก                การทำงานวิจัยและนวัตกรรมได้รับการสนับสนุนทุนจากมหาวิทยาลัยรังสิตในการส่งเสริมให้จัดทำชิ้นงาน แต่เวลาในการทำมีไม่มากเนื่องจากมีตารางการสอนที่ค่อนข้างเต็มเวลา อาจจะต้องใช้เวลานอกในการทำผลงานบ้าง แต่ต้องทำไปเรื่อย ๆ ไม่ทอดทิ้ง ก็จะได้ผลงานที่เป็นประโยชน์ออกมา ง่ายต่อผู้ใช้งานจริง และอยากให้ผู้ใช้ได้นำไปใช้เพื่อเป็นประโยชน์ในการรักษา           อย่างไรก็ตามอาจารย์ส่วนใหญ่เป็นนักวิชาการ จะเป็นการดีถ้ามหาวิทยาลัยสามารถมีทีมที่สนับสนุนคอยชี้แนะให้ผลงานสามารถต่อยอดทางธุรกิจได้

การสร้างนวัตกรรมเครื่องมือวางองศาการถ่ายภาพรังสีเพื่อการรักษารากหันหลายคลองราก ไปสู่การทำวิจัยเพื่อปรับปรุงคุณภาพของเครื่องมือโดยการวัดผลในผู้ใช้จริง Read More »

How to get publisged in Q1 journals? (ตีพิมพ์อย่างไรให้ได้ Q1)

รางวัลชมเชย ปีการศึกษา 2566 ยุทธศาสตร์ที่ 2 : KR 2.1.1, KR 2.1.3 How to get publisged in Q1 journals? (ตีพิมพ์อย่างไรให้ได้ Q1) ผู้จัดทำโครงการ​ รศ.ดร.เฟื่องฉัตร จรินทร์ธนันต์ ผศ.ดร.อภิชัย ศรีเพียร ดร.อุทัยพร สิงห์คำอินทร์ คณะเทคนิคการแพทย์ หลักการและเหตุผล/ความสำคัญ/ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้​              เนื่องจากปัจจุบันการศึกษาและทำวิจัยเป็นอีกหนึ่งภาระงานทีมีความจำเป็นและมีประโยชน์ต่อองค์กร สำหรับทางด้านวิชาการ และการเรียนการสอน  บุคลากรบางท่านอาจจะยังไม่มีประสบการณ์ในการทำวิจัยและการตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานทางวิชาการในวารสารวิชาการต่าง ๆ การจัดการความรู้สำหรับแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในหัวข้อ ตีพิมพ์อย่างไรให้ได้ Q1 โดยวิทยากรที่มีประสบการณ์การตีพิมพ์อย่างมากมาย จะทำให้ผู้เข้าร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทั้งอาจารย์และบุคลากรฝ่ายสนับสนุนด้านอื่น ๆ จะได้รับประโยชน์ ในแง่ของการตีพิมพ์ผลงานวิชาการ ซึ่งมีหลักปฏิบัติ ดังนี้ เลือกหัวข้อวิจัยโดยหัวหน้าทีมผู้วิจัย ทีมผู้วิจัยดำเนินการประเมิน โดยการทบทวนวรรณกรรม และกรอบแนวคิดความเป็นไปได้ กำหนดสมมติฐาน หรือวัตถุประสงค์การวิจัยที่ชัดเจน ออกแบบระเบียบวิธีวิจัยที่ตรงกับวัตถุประสงค์ ทันสมัย ครอบคลุมกับวัตถุประสงค์และผลการทดลอง ขอจริยธรรมจากคณะกรรมการจริยธรรม รับรองความยินยอม และการรักษาความลับของผู้เข้าร่วมวิจัย รวบรวม และการวิเคราะห์ข้อมูลโดยมีการใช้สถิติที่ถูกต้องเหมาะสม พิจารณาเลือกลงตีพิมพ์ในวารสาร Q1 และวารสารที่มี impact factor สูง ร่างต้นฉบับโดยทำตามคำแนะนำจาก website ของวารสารที่ต้องการตีพิมพ์ การแก้ไขภาษาอังกฤษ และการทบทวนเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ ปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำของผู้ทรงคุณวุฒิ ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้ การออกแบบระเบียบวิธีวิจัย การทบทวนวรรณกรรม และกรอบแนวคิดงานวิจัย การขอจริยธรรม           การวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ การเขียน และการสื่อสารในการทำงานที่เป็นทีม กระบวนการทบทวนโดยผู้ทรงคุณวุฒิ การตรวจสอบภาษาอังกฤษ การสร้างเครือข่าย และการทำงานร่วมกัน การเรียนรู้ และการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง ประเภทความรู้และที่มาความรู้ ความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวคน (Tacit Knowledge) : เจ้าของความรู้/สังกัด  ผศ.ดร. จตุรวัฒน์ ปวีณวงศ์ชัย และ ดร.นิภาพร เทวาวงค์ วิธีการดำเนินการ 1. วิธีการดำเนินการ   ดำเนินการตามขั้นตอน plan, do, check, act ดังนี้              คัดเลือกวารสารที่มีขอบเขตงานวิจัยตรงกับงานวิจัยของตน รวมทั้งมีการตรวจสอบ quartile และ impact factor จาก website เช่น scopus งานวิจัยที่จะลงใน Q1 ควรมีการทดลองที่หลากหลาย ใช้เทคนิคที่ทันสมัย จำนวน sample มากพอสมควร ตรวจสอบและจัดทำ manuscript ตามคำแนะนำของวารสารให้ถูกต้อง เขียน cover letter ถึง editor ด้วยประเด็นที่สำคัญ น่าสนใจ หลังจาก submit คอยติดตามคำแนะนำจากผู้ทรงคุณวุฒิ ทำการแก้ไขตามคำแนะนำด้วยความรอบคอบ หากถูก reject ไม่ควรท้อ ควรปรับปรุง และส่งวารสารอื่นที่ตรงกับขอบเขตงานวิจัยของตน 2. Prototype testing in an operational environment – DO      ผลการดำเนินการ การนำไปใช้ หรือการลงมือปฏิบัติจริง อุปสรรคหรือปัญหาในการทำงาน                 1. กำหนดวัตถุประสงค์ และการสรุปผลที่ชัดเจน โดยการเขียนบทคัดย่อที่มีความถูกต้องชัดเจน มีจุดน่าสนใจ การเขียนบทคัดย่อและ manuscript สำหรับการตีพิมพ์อาจมีอุปสรรคด้านการใช้ภาษาอังกฤษ เลือกสถานที่ทำการปฏิบัติงานวิจัยที่เหมาะสม รวมถึงผู้เชี่ยวชาญ ซึ่ง สถานที่ทำการปฏิบัติงานวิจัยอาจมีไม่เพียงพอ จะต้องมีการวางแผนจัดสรรให้รอบคอบเพื่อไม่ให้กระทบกับการทำงาน ต้องมีการขอจริยธรรม Ethical Considerations และ IBC (Institutional Biosafety Committee) ให้เรียบร้อย ซึ่งการขอหนังสือรับรองดังกล่าวอาจใช้เวลานาน ดังนั้นการทำวิจัยจำเป็นต้องมีการวางแผนให้รอบคอบรัดกุม เพื่อให้การขอหนังสือดังกล่าวไม่เป็นการรบกวนเวลาปฏิบัติการวิจัย มีการรวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูล โดยเลือกใช้สถิติที่ถูกต้อง ซึ่งการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติอาจจำเป็นต้องขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านสถิติโดยเฉพาะ การวิเคราะห์ประสิทธิภาพของผลการทดลอง พร้อมบันทึกเป็น Files ให้เรียบร้อย ซึ่งจะต้องมีการสำรองข้อมูลทั้งหมดให้ครบถ้วนเพื่อป้องกันการสูญหายของาข้อมูลที่อาจเกิดขึ้นได้ การตรวจสอบความถูกต้อง และความน่าเชื่อถือของผลการทดลอง และความสามารถในการทำซ้ำได้ การจัดทำเอกสาร และการรายงาน เพื่อความโปร่งใส แบ่งสัดส่วนผู้มีส่วนร่วมในงานวิจัย ซึ่งถ้าเป็นการแบ่งสัดส่วนอย่างไม่ยุติธรรมและเท่าเทียมอาจก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งตามมาได้ การทบทวนโดยผู้ทรงคุณวุฒิ และการปรับปรุงซ้ำ การทบทวนโดยผู้ทรงคุณวุฒิมีทั้งข้อดีและข้อเสีย กล่าวคือเป็นการช่วยทบทวนให้ผลงานมีความถูกต้องมากขึ้น แต่ข้อเสียคือ ผู้ทรงคุณวุฒิควรมีจริยธรรมในการวิจัยที่ดีต่อผู้ร่วมงาน การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และทิศทางงานวิจัยในอนาคต เพื่อจะได้การตีพิมพ์ในมาตราฐานที่ดี 3. Proven through successful mission operation, Objectives and Key Results for Knowledge Management – CHECK การตรวจสอบผลการดำเนินการ การนำเสนอประสบการณ์การนำไปใช้ สรุปและอภิปรายผล บทสรุปความรู้หรือความรู้ที่ค้นพบใหม่ กำหนดวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนในการจัดการความรู้งานวิจัยแต่ละสาขา การกำหนดวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนจะทำให้ผลงานการวิจัยเป็นที่น่าเชื่อถือ และยอมรับจากวารสารทางวิชาการ และมีโอกาสได้รับการตีพิมพ์สูงขึ้น ขอบเขตงานวิจัยตรงกับวารสารที่ต้องการตีพิมพ์ การตีพิมพ์ผลงานในวารสารทางวิชาการที่ตรงสายงานจะทำให้ได้รับการแนะนำที่เป็นประโยชน์ต่อตัวผลงานและเป็นการปรับปรุงให้ผลงานนั้นมีความน่าเชื่อถือเพิ่มมากขึ้น ทดสอบโดยการทำซ้ำอย่างน้อย 3 ครั้ง และให้ผลเหมือนเดิม การทดสอบซ้ำและให้ผลการทดสอบเหมือนเดิม มีความสำคัญเป็นอย่างมาก กล่าวคือ เมื่องานวิจัยได้รับการตีพิมพ์แล้ว และการทดสอบเป็นที่ยอมรับสามารถทำซ้ำได้ แต่ในทางกลับกัน ถ้าการทดสอบไม่สามารถทำซ้ำได้ จะถูกตั้งข้อสังเกตจากนักวิจัยจากทั่วโลกถึงมาตรฐานการวิจัยของตัวนักวิจัยเอง และอาจส่งผลร้ายแรงต่อนักวิจัยถ้างานวิจัยนั้นถูกถอดถอนจากวารสารทางวิชาการ (retraction) ทบทวนผลงานวิจัยว่าเป็นที่ยอมรับในวารสารที่จะส่ง ก่อนส่ง manuscript ให้วารสารทางวิชาการพิจารณา ผู้วิจัยจะต้องแน่ใจว่าผลงานวิจัยมีความครบถ้วนครอบคลุมวัตถุประสงค์ของงานวิจัยที่เสนอในตอนแรก เพื่อให้มีโอกาสได้รับการตีพิมพ์สูงขึ้น ติดตามและแก้ไข เมื่อมีการตอบกลับจาก editor การแก้ไขตามคำแนะนำของ editor หรือ reviewer จะช่วยทำให้ความน่าเชื่อถือของงานวิจัยเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตามบางครั้ง คำแนะนำดังกล่าวอาจจะไม่ถูกต้องก็ได้ ทั้งนี้นักวิจัยจะต้องพิจารณาตามความถูกต้องและเหมาะสม ปรับรูปแบบผลงานชื่อ สถานที่ เพื่อรอการตีพิมพ์ซึ่งในแต่ละวารสารระยะเวลาการตีพิมพ์ไม่เท่ากัน เนื่องจากระยะเวลาการตีพิมพ์ของแต่ละวารสารทางวิชาการไม่เท่ากัน ดังนั้นผู้วิจัยจำเป็นต้องมีการวางแผนว่าต้องการตีพิมพ์ในวารสารใด และปัจจุบันแหล่งทุนมักจะถามถึงผลสัมฤทธิ์ของงานวิจัยว่าเป็นอย่างไร ทั้งนี้อาจจะนำเสนอในรูปแบบการตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการระดับความสำคัญต่างๆ เช่น T1 หรือ Q1 เป็นต้น ข้อเสนอแนะในการดำเนินการในอนาคต หรือการดำเนินการเพื่อสามารถนำไปสู่การเป็น Good Practice ส่งเสริมการแบ่งปันความรู้ระหว่างทีมวิจัย ส่งเสริมวัฒนธรรมการเรียนรู้ภายในองค์กร และนอกองค์กร จากประสบการณ์ในการตีพิมพ์ ควรมีการสนับสนุนทรัพยากรความรู้ หนังสือ เครื่องมือ อุปกรณ์ เพื่อให้ได้งานอย่างมีประสิทธิภาพ เสริมสร้างความร่วมมือระหว่างแผนก หรือหน่วยงานต่าง ๆ ในการทำงานร่วมกัน ส่งเสริมความเป็นผู้นำการทำงานวิจัยและการสนับสนุนการจัดการความรู้ให้ทีมวิจัย บันทึกแนวทางปฏิบัติการทดลองที่ดีที่สุด และบทเรียนที่ได้รับ ควรมีความปลอดภัย และการรักษาความลับของงานวิจัย ควรสนับสนุนให้เผยแพร่ผลการวิจัย และการมีส่วนร่วม

How to get publisged in Q1 journals? (ตีพิมพ์อย่างไรให้ได้ Q1) Read More »

บูรณาการความรู้ด้านนวัตกรรมและวิจัยสู่ชุมชนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน

รางวัลชมเชย ปีการศึกษา 2566 ยุทธศาสตร์ที่ 2 : KR 2.3.1 บูรณาการความรู้ด้านนวัตกรรมและวิจัยสู่ชุมชน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ผู้จัดทำโครงการ​ ผศ.ดร.นัฐพงษ์ มูลคำ และ อ.กัญจนพร โตชัยกุล คณะรังสีเทคนิค หลักการและเหตุผล/ความสำคัญ/ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้​           คณะรังสีเทคนิค มหาวิทยาลัยรังสิตตระหนักถึงความสำคัญของนวัตกรรมวิจัย รวมถึงผลงานทางวิชาการในรูปแบบ นวัตกรรมวิจัย ที่ถือได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะเป็นแนวทางในการพัฒนาการศึกษา รวมถึงบูรณาการกับชุมชน โดยมุ่งเน้นนำเอาความรู้ผลงานวิจัยงานสร้างสรรค์และนวัตกรรมไปใช้เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน จึงได้จัดทำรายงานการจัดการความรู้ ปีการศึกษา 2566 ในหัวข้อ “บูรณาการความรู้ด้านนวัตกรรมและวิจัยสู่ชุมชนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน” ซึ่งจะสะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่จะนำองค์ความรู้ด้านนวัตกรรมและงานวิจัยมาผสานเข้ากับบริบทของชุมชน เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยมีรายละเอียดดังนี้ หลักการและเหตุผล: โรคกระดูกพรุน เป็นภาวะที่กระดูกมีความพรุน เปราะบาง และหักง่าย เกิดขึ้นเมื่อมวลกระดูกสูญเสียไปมากกว่าปกติ ส่งผลให้กระดูกอ่อนแอลง ดังนั้นโรคกระดูกพรุนจึงเป็นภัยเงียบที่คุกคามคุณภาพชีวิตและสร้างภาระให้สังคมไทย ความสำคัญ: โรคกระดูกพรุนส่งผลต่อคุณภาพชีวิต ซึ่งผู้ป่วยอาจเผชิญกับอาการปวด กระดูกหักง่าย ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน มากไปกว่านั้นทำให้เกิดภาระทางสังคมจากการที่กระดูกหักง่ายอาจนำไปสู่ความพิการ สูญเสียความสามารถในการทำงาน รวมถึงการรักษาโรคกระดูกพรุนมีค่าใช้จ่ายสูง ประเด็นปัญหา: ประชาชนขาดความรู้เกี่ยวกับโรคกระดูกพรุน รวมถึงการคัดกรองและรักษาโรคยังไม่ครอบคลุม มากไปกว่านั้นยังขาดการบูรณาการองค์ความรู้กับชุมชน แนวทางแก้ไข: รณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการป้องกัน คัดกรอง และรักษาโรคกระดูกพรุน พัฒนาและขยายการคัดกรองและรักษาโรค รวมถึงบูรณาการองค์ความรู้กับชุมชน   ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้     ความรู้ที่นำมาใช้ในกิจกรรมนี้เป็นได้ออกเป็น 2 หัวข้อหลักๆได้แก่ องค์ความรู้จากงานวิจัยและการบูรณาการองค์ความรู้กับชุมชน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ องค์ความรู้จากงานวิจัย: งานวิจัยทางการแพทย์มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาการรักษา พัฒนายา ส่งเสริมแนวทางป้องกัน ส่งเสริมนโยบายสาธารณะ พัฒนาคุณภาพชีวิต ประหยัดค่าใช้จ่าย เพิ่มพูนความรู้ รวมถึงส่งเสริมการวิจัยและสร้างความน่าเชื่อถือ โดยคณะรังสีเทคนิคได้ตีพิมพ์บทความวิจัยในวารสารทางแพทย์ระดับ Scopus Q1 ในหัวข้อ Osteopenia and Osteoporosis Screening Detection: Calcaneal Quantitative Ultrasound with and without Calibration Factor Comparison to Gold Standard Dual X-ray Absorptiometry” ซึ่งผลงานวิจัยนี้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของเครื่อง Quantitative ultrasound (QUS) ในการตรวจหาโรคกระดูกพรุน โดยมีข้อดีคือเป็นวิธีที่ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงในการตรวจความหนาแน่นของกระดูกส้นเท้า (calcaneous) โดยไม่มีการใช้รังสีจึงปลอดภัยต่อผู้ตรวจและผู้ปฏิบัติงาน  การบูรณาการองค์ความรู้กับชุมชน: ทีมวิจัยได้นำองค์ความรู้วิจัยดังกล่าวมาบูรณาการกับชุมชน ผ่านโครงการลงพื้นที่ตรวจหาและคัดกรองผู้ป่วยที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกพรุนด้วยเครื่อง QUS โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจากโครงการ สสส ร่วมกับมหาวิทยาลัยรังสิต ในชื่อโครงการ “โครงการลงพื้นที่ตรวจหาและคัดกรองผู้ป่วยที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกพรุนด้วยเครื่อง QUS” โดยมุ่งเป้าไปที่การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในชุมชนหลักหก ผ่านการส่งเสริมสุขภาวะให้ดีขึ้น ประเภทความรู้และที่มาความรู้ ความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวคน (Tacit Knowledge) : เจ้าของความรู้/สังกัด  คณะรังสีเทคนิค วิธีการดำเนินการ 1. วิธีการดำเนินการ   ดำเนินการตามขั้นตอน plan, do, check, act ดังนี้ คณะรังสีเทคนิค: พลังแห่งองค์ความรู้ สู่การยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชน คณะรังสีเทคนิค มุ่งมั่นสร้างสรรค์องค์ความรู้ทางวิจัยควบคู่ไปกับการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของชุมชน ผ่านกลยุทธ์ “3 ขั้นตอน สู่การพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน” ดังนี้ ขับเคลื่อนงานวิจัยเพื่อตอบโจทย์ปัญหาสุขภาพ เล็งเห็นถึงความสำคัญของ “โรคกระดูกพรุน” ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาวะของประชาชน คณะรังสีเทคนิคจึงทุ่มเทสร้างองค์ความรู้ทางวิจัยเกี่ยวกับการใช้เครื่องมือและการตรวจคัดกรองโรค ผ่านผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารระดับ Scopus Q1 เกี่ยวกับ “ประสิทธิภาพของเครื่อง Quantitative ultrasound (QUS) ในการตรวจหาโรคกระดูกพรุน” (Moonkum et al., 2024) บูรณาการองค์ความรู้ สู่การยกระดับชุมชน ด้วยความมุ่งมั่นที่จะนำองค์ความรู้ไปต่อยอดสร้างประโยชน์ คณะรังสีเทคนิคจึงได้ริเริ่มโครงการ “ลงพื้นที่ตรวจหาและคัดกรองผู้ป่วยที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกพรุนด้วยเครื่อง QUS” ในชุมชนหลักหก โดยได้รับการสนับสนุนจากทุนวิจัยโครงการ สสส ร่วมกับมหาวิทยาลัยรังสิต ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง ผ่านกิจกรรมและผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม โครงการมุ่งเน้นให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับโรคกระดูกพรุน ควบคู่ไปกับการคัดกรองผู้ป่วยที่มีภาวะเสี่ยง ผ่านการตรวจด้วยเครื่อง QUS ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ จะนำไปวิเคราะห์ ประเมินผล และสรุป เพื่อนำไปพัฒนาแนวทางการป้องกันและรักษาโรคต่อไป คณะรังสีเทคนิค มุ่งมั่นสร้าง “พลังแห่งองค์ความรู้” สู่การพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน มุ่งหวังให้ชุมชนหลักหกมีสุขภาพที่ดี มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และนำไปสู่การขยายผลไปยังชุมชนอื่น ๆ ต่อไป   2. Prototype testing in an operational environment – DO ผลการดำเนินการ การนำไปใช้ หรือการลงมือปฏิบัติจริง อุปสรรคหรือปัญหาในการทำงาน               โครงการลงพื้นที่ตรวจหาและคัดกรองผู้ป่วยที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกพรุนด้วยเครื่อง QUS ของคณะรังสีเทคนิค ได้ดำเนินการในชุมชนหลักหก ผลการดำเนินการ ประชาชนได้รับความรู้เกี่ยวกับโรคกระดูกพรุน มีการคัดกรองผู้ป่วยที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกพรุน ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที สุขภาวะของประชาชนในชุมชนดีขึ้น การนำไปใช้ หรือการลงมือปฏิบัติจริง ผลการคัดกรองเพื่อติดตามผู้ป่วยที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกพรุน ผลการคัดกรองเพื่อพัฒนาแนวทางการป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุน ผลการคัดกรองเพื่อรณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคกระดูกพรุน อุปสรรคหรือปัญหาในการทำงาน การคลาดแคลนอุปกรณ์ในการตรวจวัดมวลกระดูก เนื่องจากเครื่องวัดมีเพียงเครื่องเดียว ทำให้ผู้สนใจต้องรอคิวนาน          3. Proven through successful mission operation, Objectives and Key Results for Knowledge Management – CHECK การตรวจสอบผลการดำเนินการ การนำเสนอประสบการณ์การนำไปใช้ สรุปและอภิปรายผล บทสรุปความรู้หรือความรู้ที่ค้นพบใหม่  การตรวจสอบผลการดำเนินการ ติดตามผลลัพธ์ของโครงการ เช่น จำนวนผู้เข้าร่วมโครงการ ผลลัพธ์หลังการเข้าร่วม ความพึงพอใจของผู้เข้าร่วม วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับประสิทธิภาพของโครงการ นำข้อมูลมาใช้เพื่อพัฒนาโครงการในอนาคต การนำเสนอประสบการณ์การนำไปใช้ สรุปบทเรียนเรียนรู้จากการดำเนินโครงการ เน้นประเด็นสำคัญ เช่น ปัญหา อุปสรรค แนวทางแก้ไข นำเสนอในรูปแบบที่เข้าใจง่าย น่าสนใจ สรุปและอภิปรายผล     ทำให้คณาจารย์คณะรังสีเทคนิคมีคุณภาพและสามารถพัฒนาผลงานทางวิชาการ ร่วมถึงยกระดับคุณภาพมหาวิทยาลัยรังสิตให้เป็นที่รู้จักกว้างขว้างมากขึ้น รวมถึงคณาจารย์คณะรังสีเทคนิคสามารถบูรการความรู้ด้านงานวิจัยให้สอดคล้องกับชุมชน โดยยกระดับสุขภาพวะให้ดีขึ้นจากโรคกระดูกพรุนที่เป็นปัญหาใหญ่ต่อสังคมไทย จากการรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชน การใช้องค์ความรู้จากงานวิจัย และการบูรณาการองค์ความรู้กับชุมชน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน   ข้อเสนอแนะในการดำเนินการในอนาคต หรือการดำเนินการเพื่อสามารถนำไปสู่การเป็น Good Practice จากโครงการลงพื้นที่ตรวจหาและคัดกรองผู้ป่วยที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกพรุนด้วยเครื่อง QUS ของคณะรังสีเทคนิค มีข้อเสนอแนะสำหรับการดำเนินการในอนาคต ดังนี้ 1.ขยายผลการดำเนินการ: ขยายพื้นที่การคัดกรองไปยังชุมชนอื่น ๆ เพิ่มเติม เพื่อให้ประชาชนในวงกว้างได้รับประโยชน์ ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร และภาคประชาสังคม เพื่อขยายผลการดำเนินการ พัฒนาระบบการติดตามผลผู้ป่วยที่ได้รับการคัดกรอง เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง 2.พัฒนาองค์ความรู้: ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงของโรคกระดูกพรุนในชุมชน พัฒนารูปแบบการให้ความรู้เกี่ยวกับโรคกระดูกพรุนให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย ศึกษาประสิทธิภาพของเครื่อง QUS ในการคัดกรองโรคกระดูกพรุน 3.พัฒนาระบบการคัดกรอง: พัฒนาระบบการคัดกรองให้มีประสิทธิภาพ แม่นยำ และสะดวก พัฒนาระบบการเก็บข้อมูลผู้ป่วยให้เป็นระบบ พัฒนาระบบการติดตามผลผู้ป่วย 4.สร้างเครือข่าย: สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและองค์ความรู้ พัฒนาระบบการส่งต่อผู้ป่วยให้ได้รับการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ 5.สนับสนุนการวิจัย: สนับสนุนการวิจัยเกี่ยวกับโรคกระดูกพรุน สนับสนุนการวิจัยเกี่ยวกับการคัดกรองและรักษาโรคกระดูกพรุน การดำเนินการตามข้อเสนอแนะเหล่านี้ จะช่วยให้โครงการมีประสิทธิภาพมากขึ้น ยั่งยืน และสามารถนำไปสู่การเป็น Good Practice ได้ เอกสารอ้างอิง Moonkum, N., Withayanuluck, T., Somarungsan, A., Sichai, N., Wongsiri, A., Chawkhaodin, W., . . . Tochaikul, G. (2024). Osteopenia and Osteoporosis Screening Detection: Calcaneal Quantitative Ultrasound with and without Calibration Factor Comparison to Gold Standard Dual X-ray Absorptiometry. Journal of Clinical Densitometry, 27(2), 101470.

บูรณาการความรู้ด้านนวัตกรรมและวิจัยสู่ชุมชนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน Read More »

การสร้างตัวตนบนเวทีวิชาการแก่หลักสูตรเทคโนโลยีชีวภาพด้วยผลงานนวัตกรรมวิจัย

รางวัลชมเชย ปีการศึกษา 2566 ยุทธศาสตร์ที่ 2 : KR2.1.1, KR2.1.3, KR2.1.4, KR2.2.1, KR2.2.2, KR2.4.1, KR2.4.2, KR2.4.4, KR2.5.1, KR2.5.2, KR2.5.3 การสร้างตัวตนบนเวทีวิชาการแก่ หลักสูตรเทคโนโลยีชีวภาพ ด้วยผลงานนวัตกรรมวิจัย ผู้จัดทำโครงการ​ รศ .ยุพกนิษฐ์ พ่วงวีระกุล วิทยาลัยเภสัชศาสตร์ หลักการและเหตุผล/ความสำคัญ/ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้​             หลักสูตรเทคโนโลยีชีวภาพมี theme ของตัวเองที่เป็นจุดเด่น จุดขายคือ “นวัตกรรมเทคโนโลยีที่เข้าถึงได้” (accessible innovative biotechnology) บนหลักการที่เป็น appropriate technologyที่สามารถนำไปใช้ในการแก้ไขปัญหา เป็น ทั้ง Problem-based research การวิจัยบนฐานของปัญหาและ output-based research การ วิจัยและพัฒนาบนฐานของผลได้ เพื่อสร้าง solution provider ให้กับภาคอุตสาหกรรม ที่ให้ความสำคัญกับการผลิตน้อยแต่สร้างรายได้มาก หรือ less for more และมุ่งเป้าไปสู่การเพิ่มพูนทักษาในการเป็นผู้ประกอบการ หรือ entrepreneurial skills เป็นการบูรณาการ ฐานข้อมูล องค์ความรู้ และการประยุต์ใช้ ด้านการเกษตร เทคโนโลยีอาหาร และเทคโนโลยีชีวภาพ เข้าไว้ด้วยกันความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้1. กลุ่มวิชาเกษตร2. กลุ่มวิชาจุลินทรีย์อุตสาหกรม3. กลุ่มวิชาอาหารอนาคต4. กลุ่มวิชาทักษะการเป็นผู้ บระกอบกา ร ประเภทความรู้และที่มาความรู้ ความรู้แบบชัดแจ้ง (Explicit Knowledge)ความรู้จากคลังความรู้ของเว็บไซต์ระบบการจัดการความรู้ KM Rangsit University(http://lc.rsu.ac.th/km/Knowledgebase)เจ้าของความรู้/สังกัด รศ .ยุพกนิษฐ์ พ่วงวีระกุล และ ผศ .ดร .กฤตกร รำจวนเกียรติ /หลักสูตรวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิตเทคโนโลยีชีวภาพอื่น ๆ (โปรด ระบุ) รายวิชาต่าง ๆ ในหลักสูตรทล.บ.นวัตกรรมเกษตร รายวิชาต่าง ๆ ในหลักสูตรทล.บ.ธุรกิจอุตสาหกรรมอาหาร รายวิชาต่าง ๆ ในหลักสูตร วท.บ.เทคโนโลยีอาหาร และรายวิชาต่าง ๆในหลักสูตรวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิตเทคโนโลยีชีวภาพความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวคน ( Tacit Knowledge)เจ้าของความรู้/สังกัด รศ .ยุพกนิษฐ์ พ่วงวีระกุล /หลักสูตรวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิตเทคโนโลยีชีวภาพ วิธีการดำเนินการ 1. วิธีการดำเนินการ   ดำเนินการตามขั้นตอน plan, do, check, act ดังนี้1. การเชื่อมโยงการเรียนการ สอน ข้ามหลักสูตรโดยแลกเปลี่ยนคณาจารย์ต่างสังกัดในการสอนรายวิชานอกหลักสูตรตนเอง2. การฟอร์มทีมวิจัย และการทำวิจัยร่วม (collaboative research) ระหว่างคณาจารย์ต่างหลักสูตร3. การเปิดตัว ตอบรับการเป็นวิทยากรให้กับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน4. การฟอร์ม ทีมวิทยากรจัดประชุมกลุ่มเฉพาะเรื่องร่วมกับ วช. โดยนักวิจัยต่างหลักสูตร5. การเปิดตัวตอบรับการเป็นกรรมการตัดสินการประกวดให้กับกรมการข้าว6. การเผยแพร่ผลงานร่วมระหว่างคณาจารย์ต่างหลักสูตร7. การเผยแพร่ผลงานนวัตกรรมวิจัยใน ทุก รูปแบบของผู้อำนวยการหลักสูตรเทคโนโลยีชีวภาพ8. การผลักดันผลงานนวัตกรรมวิจัย ของนักศึกษา ป.โท และนักศึกษา ป .ตรี 4+1 ส่งประกวดนวัตกรรมในเวทีต่างๆ ทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโท9. การได้รับทุนวิจัยจากแหล่งทุนภายนอกของอาจารย์ในหลักสูตร10. การขอรับความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา และ การขอรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อาหาร เลข อย.เพื่อให้จำหน่ายเชิงพาณิชย์ ผลงานนวัตกรรมวิจัยของอาจารย์ในหลักสูตร 2. Prototype testing in an operational environment – DOผลการดำเนินการ การนำไปใช้ หรือการลงมือปฏิบัติจริง อุปสรรคหรือปัญหาในการทำงาน1. การเชื่อมโยงการเรียนการสอนข้ามหลักสูตรโดยแลกเปลี่ยนคณาจารย์ต่างสังกัดในการสอนรายวิชานอกหลักสูตรตนเอง   1.1. วิชา CAB111 เป็นรายวิชาของหลักสูตรนวัตกรรมเกษตร ที่มีคณาจารย์ของวิทยาลัยร่วมสอนทั้งหมด 10 คน ประกอบด้วยคณาจารย์จากหลักสูตรนวัตกรรมเกษตรจำนวน 2 คน และคณาจารย์ของหลักสูตรเทคโนโลยีอาหารจำนวน 4 คน และคณาจารย์ของหลักสูตรเทคโนโลยีชีวภาพจำนวน 2 คน ร่วมกับรองอธิการและอธิการวิทยาลัย             1.2. วิชา FTH101 Inter เป็นรายวิชาของหลักสูตรเทคโนโลยีอาหาร ที่เพิ่งเปิดสอนครั้งแรกสำหรับนักศึกษานานาชาติ ในปี 2566 เทอม 2 ที่มีคณาจารย์ของวิทยาลัยร่วมสอนทั้งหมด 7 คน ประกอบด้วยคณาจารย์ของหลักสูตรเทคโนโลยีอาหารจำนวน 4 คน คณาจารย์ของหลักสูตร ธุรกิจอุตสาหกรรมอาหาร 1 คน และคณาจารย์ของหลักสูตร เทคโนโลยีชีวภาพจำนวน 1 คน ร่วมกับ คณบดีเทคโนโลยีอาหาร   2. การฟอร์มทีมวิจัย และการทำวิจัยร่วม (collaborative research) ระหว่างคณาจารย์ต่างหลักสูตร2.1. โครงการวิจัยเรื่อง นวัตกรรมไข่ต้มจากพืชซอสพะโล วีแกนเก็บได้นาน ทุนสนับสนุนจาก บพข . ปี 2566 จำนวนทุน 695,849 บาท        ประกอบด้วย รศ.ยุพกนิษฐ์ พ่วงวีระกุล สังกัดหลักสูตรเทคโนโลยีชีวภาพ : หัวหน้าโครงการ        ผศ.ธฤต อภิสิทธิวงศ์ สังกัดหลักสูตร เทคโนโลยีอาหาร : นักวิจัยร่วม 2.2.โครงการวิจัยเรื่อง ผลของการใช้สารแบคเทอริโอซินรวมกับสารสกัดจากพืชที่มีศักยภาพในการยืดอายุการเก็บรักษาลูกชิ้นหมู และการเปลี่ยนแปลงจำนวนประชากร ของจุลินทรีย์ชนิดต่างๆ ในช่วงการเก็บรักษาที่อุณหภูมิต่ำโดยใช้เทคนิค Microbial Community  ทุนสนับสนุน จาก สถาบันวิจัย ม .รังสิต ปี 2565-2567จำนวนทุน 290,000 บาท        ประกอบด้วย ผศ.ดร.กฤตพร รำจวนเกียรติ สังกัดหลักสูตรเทคโนโลยีชีวภาพ : หัวหน้าโครงการ        อ. ธนัชชา เกณฑ์ขุนทด สังกัดหลักสูตรนวัตกรรมเกษตร : นักวิจัยร่วม 2.3. โครงการวิจัยเรื่องการผลิตผงมอลต์สกัดจากข้าวไทยทางการค้า ทุนสนับสนุนจาก วช . ปี 2567 โครงการวิจัยเชิงกลยุทธ์ (Strategic Fund) ประเภทโครงการนวัตกรรมจำนวนทุน 1,518,097 บาท        ประกอบด้วย รศ.ยุพกนิษฐ์ พ่วงวีระกุล สังกัดหลักสูตรเทคโนโลยีชีวภาพ : หัวหน้าโครงการ        ดร.ณกมล จันทร์สม สังกัดหลักสูตรบริหารธุรกิจ : ที่ปรึกษาโครงการ 3.การตอบรับการเป็นวิทยากรให้กับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน 3.1. หนังสือเชิญ ไปเป็นวิทยากร จากวช.วช.เชิญ รศ .ยุพกนิษฐ์ พ่วงวีระกุล เป็นวิทยากรในการอบรม “เทคนิคการเขียนและการนำเสนอบทความ ผลงานวิจัยในกิจกรรม Thailand Reserch Expo & Symposium 2024” ในวันที่ 23 มีนาคม 2567 3.2. หนังสือเชิญไปเป็นวิทยากรจากวช. วช.เชิญ รศ.ยุพกนิษฐ์ พ่วงวีระกุล เป็นวิทยากรการบรรยายในงานวันนักประดิษฐ์ ประจำปี 2566 เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และพัฒนาศักยภาพให้แก่เยาวชนและนักประดิษฐ์รุ่นใหม่ 3.3. หนังสือเชิญ ไปเป็นวิทยากร จาก วว.วว. เชิญ รศ.ยุพกนิษฐ์ พ่วงวีระกุล เป็นวิทยากรในการ เผยแพร่ผลงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์เชงพาณิชย์ เพื่อพัฒนาและยกระดับความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหาร 3.4. หนังสือเชิญจากมหาวิทยาลัยเกษตรเสฉวน ประเทศจีน ในการนำเสนอผลงานวิจัย เทคโนโลยีชีวภาพอาหาร 3.5. หนังสือเชิญจากมหาวิทยาลัยโซกะ ประเทศญี่ปุ่น ในการนำเสนอผลงานวิจัย การฉายรังสีอาหารจากพืช 3.6. หนังสือเชิญจาก TMATMA เชิญ นำเสนอผลงานนวัตกรรมในงาน TECHNOMART 2023 ครั้งที่ 1 วันที่ 31/5/66 และ ครั้งที่ 2วันที่ 29/6/2566 3.7. หนังสือเชิญจาก วช . เชิ ญให้นำผลงานไข่ต้มพืชสะดวกเก็บสะดวกกิน ร่วมงานแถลงข่าว Thailand Research Expo 2023 ในงานจัดแถลงข่าวของ วช . วันที่ 24/7/25663.8. หนังสือเชิญจากกรรมการผู้จัดการ SME Thailand ขอนำผลงาน Plantbase รศ .ยุพกนิษฐ์ ไปแสดงในตลาดนัดนวัตกรรม ในงาน Plant Based, Superfood และนวัตกรรมผลิตภัณฑ์อาหาร วันที่ 1-3/9/25663.9. หนังสือเชิญจาก Foodism Show 2023 เชิญ โดยบจก . อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น เชิญศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อผู้ประกอบการออกบูธ โชว์ผลงาน นวัตกรรมวิจัยอาหารแพลนต์เบส วันที่ 7-10 ธันวาคม 2566 4. การ ฟอร์ม ทีมวิทยากรจัดประชุมกลุ่มเฉพาะเรื่องร่วมกับ วช . โดยนักวิจัยต่างหลักสูตร นำโดยรศ .ยุพกนิษฐ์ พ่วงวีระกุล4.1 งานมหกรรมวิจัยแห่งชาติปี 2566 หัวข้ออาหารอนาคตและกลุ่มงานวิจัยพร้อมใช้ ม.รังสิต 4.2 งานมหกรรมวิจัยแห่งชาติปี 2567หัวข้อมุ่งสู่ BCG ด้วยงานวิจัยวิทยาลัยนวัตกรรมเกษตรและเทคโนโลยี อาหาร ม .รังสิต 5. การเป็นกรรมการตัดสินการประกวด ให้กับกรมการข้าว 6. การ เผยแพร่ ผลงานร่วมระหว่างคณาจารย์ต่างหลักสูตร6.1 การตีพิมพ์บทความวิจัยร่วมกันระหว่างคณาจารย์ต่างหลักสูตร6.1 Puangwerakul,Y, Soithongsuk, S.., Sajjabut, S. and Pewlong, W 2024 Effect of electron beam irradiation doses on quality and shelf life extension of non allergenic ready to eat plant based meat and egg JCST, 14January April 2024 Article19 https doi or 10 59796 jcst V14N1 2024 196.2 Puangwerakul,Y, Soithongsuk, S.., Sajjabut, S. and Pewlong, W.., Loikaeo, T and Chaisakdanukul, C 2023.Electron beam irradiation for shelf life extension of non allergen ready to eat plant based meat and egg.Conference Handbook of Educational Internationalization Promotion Conference Inaugural Conference of the Food Security Education and Technology Innovation Alliance November 16 17, Chengdu, China6.3 Loikaeo T.., Puangwerakul,Y.., Soithongsuk,S.., andApisittiwong,T 2024. Allergen free plant based fermented milk fortified with rice protein. Conference Handbook of Educational Internationalization Promotion Conference Inaugural Conference of the Food Security Education and Technology Innovation AllianceNovember 16 17, Chengdu, China6.4 Somsri, A.., Thongsen, N..,Saelao,P..,Lodthonglang, K..,Kenkhunthot, T.., Pilasomput, K.., Urairong, H and Rumjuankiat, K 2023). In vitro biocontrol potential of natural substance combination against microbial plant diseases. International Journal of AgriculturalTechnology. X X): XX XX6.5 Sonhom, N.., Rumjuankiat, K.., Visessanguan, W.., Techo, S.., Vilaichone, R.., Janyaphisan, T.., Roytrakul, S.., Jaresitthikunchai, J and Woraprayote, W Antimicrobialpotency of a putatively novel bacteriocin from Lactiplantibacillus pentosus MRK2 3 against Helicobacter pylori.. Microbial Pathogenesis In submission196.2 กการเผยแพร่ผลงานของทีมนักวิจัยารเผยแพร่ผลงานของทีมนักวิจัยแพลนต์เบสแพลนต์เบสของวิทยาลัยนวัตกรรมเกษตรในเวทีวิชาการของวิทยาลัยนวัตกรรมเกษตรในเวทีวิชาการร่วมกันร่วมกันระหว่างคณาจารย์ต่างหลักสูตรระหว่างคณาจารย์ต่างหลักสูตร6.2.1 เผยแพร่ผลเผยแพร่ผลงานภายนอก งานภายนอก :6.2.1.1 การเสวนาผลงานวิจัยนวัตกรรมอาหารแพลนต์เบสพร้อมใช้ จัดโดย วชการเสวนาผลงานวิจัยนวัตกรรมอาหารแพลนต์เบสพร้อมใช้ จัดโดย วช. ณ เวที ณ เวที High light Stage งานมหกรรมวิจัยแห่งชาติวันที่ งานมหกรรมวิจัยแห่งชาติวันที่ 7/8/25666.2.1.2 การ เข้าร่วมนำเสนอผลงานวิจัย ของ คณา จารย์ วิทยาลัยนวัตกรรมเกษตรและเทคโนโลยีอาหาร นำโดยท่านอธิการวิทยาลัยฯ ศ .ดร .พงษ์ศักดิ์ อังก สิ ทธิ์ เพื่อเผยแพร่ผลงานของอาจารย์ หลักสูตรเทคโนโลยีชีวภาพและหลักสูตรเทคโนโลยีอาหาร ผ่านระบบออนไลน์ จัดโดย The Organizing Committee of China-ASEAN Education Cooperation Week ประเทศจีน วันที่ Aug28-Sep2,20236.2.2 เผยแพร่ผล งานภายใน6.2.2.1 การนำเสนอผลงานวิจัยภาคบ่าย ในงานวันเกษตร ครั้งที่ 8 จัดโดยวิทยาลัย ฯ วันที่ 25/1/25676.2.2.1 การนำเสนอผลงานวิจัยภาคบ่าย ในงานวันเกษตร ครั้งที่ 7 จัดโดยวิทยาลัย ฯ วันที่ 27/1/2566 7. การเผยแพร่ผลงานนวัตกรรมวิจัย ใน ทุก รูปแบบ ของผู้อำนวยการหลักสูตรเทคโนโลยีชีวภาพ7.1 การ เผยแพร่ผลงานนวัตกรรมวิจัย ผ่านช่องทาง OFF LINE นอกจากนี้ผู้อำนวยการ หลักสูตรเทคโนโลยีชีวภาพยัง ได้รับเชิญจากรายการ SME มีดีให้ดู ทาง ช่อง 5 เพื่อร่วม ประชุม ถึงแนวทางการผลักดันสินค้า SME ในวันที่ 14 มีนาคม 2567 และ ได้รับเชิญจาก วช . เพื่อ ออกบูธจัดแสดงสินค้านวัตกรรมวิจัยเพื่อการทดสอบตลาดเพิ่มเติมอีกสองงานคือ THAIFEX-ANUGA ASIA 2024 (28 พ .ค .-1มิ .ย .67) และ ได้รับเชิญจาก FOODISM SHOW 2024 (30 สค .-1 ก .ย .67) โดยตอบรับพื้นที่บูธเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 7.2 การ เผยแพร่ผลงานนวัตกรรมวิจัย ผ่านช่องทาง ON LINE7.2.1 บทสัมภาษณ์ลงเวปไซต์และเฟสบุคเทคโนโลยีชาวบ้านและเส้นทางเศรษฐี7.2.2 YouTube UpSkill Thailand 2023 จักรวาลสร้างอาชีพ7.2.3 You Tube สร้างแบรนด์แพลนต์เบสแบบไม่ต้องเริ่มจากศูนย์7.2.4 YouTube ช่อง 7 ไข่ต้มพืช7.2.5 You tube ผลงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต7.2.6 สัมภาษณ์สดรายการวิทยุ FM 92.5วิทยาศาสตร์น่ารู้สุดสัปดาห์ วันที่ 11 ตุลมคม 2566 เวลา 10.30-12.00 น.7.2.7 กรุงเทพธุรกิจ https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/food/1052805 ผลงานวิจัย อาหารแพลนต์เบส ม .รังสิต7.2.8 TIKTOK ผลงานวิจัย อาหารแพลนต์เบส ม .รังสิต7.2.9 รายการ 168 Hours ช่อง 3 ผลงานวิจัย อาหารแพลนต์เบส ม .รังสิต ในงานมหกรรมวิจัยแห่งชาติปี 25667.2.10 https://www.bangkokbiznews.com/tech/innovation/1111557 8. การผลักดันผลงานนวัตกรรมวิจัยส่งประกวดนวัตกรรม วิจัย ในเวทีต่างๆ ระดับปริญญาตรีและปริญญาโททั้งระดับนานาชาติและระดับชาติ8.1 การประกวดระดับนานานาชาติ การแข่งขัน VITAFOOD ASIA 2024 จัดโดย Informa market วันที่ 19-21/9/25678.1.1 ชื่อผลงาน ผง มอลต์สกัดจากข้าว ไทย ไร้สารก่อภูมิแพ้ โดยนักศึกษาป .โท นส .เหมือนฝัน เชียงกาผลการแข่งขัน เข้ารอบชิงชนะเลิศ จัดแสดงผลงานในงาน VITAFOOD ASIA2024 ศูนย์ประชุมไบเทค8.1.2 ชื่อผลงาน โปรตีนข้าวไทยไร้สารก่อภูมิแพ้ โดยนศ .4+1 นาย ตฤน และ คณะผลการแข่งขัน โล่รางวัลชมเชย ประกาศนียบัตรและเงินรางวัล 5,000 บาท8.2 การประกวดระดับชาติ การแข่งขัน I-NEW GEN AWARD ASIA 2024 จัดโดย วช . วันที่ 2-6/2/25678.2.1 ชื่อผลงาน ผง มอลต์สกัดจากข้าวไทย โดยนักศึกษา ป .โท น .ส .เหมือนฝัน เชียงกาและคณะ ผลการแข่งขัน รางวัลเหรียญทอง พร้อมประกาศนียบัตร8.2.2 ชื่อผลงาน เพนนีโอโปร :โปรตีนข้าวไทยไร้สารก่อภูมิแพ้ โดยนศ .4+1 นาย ตฤน และคณะผลการแข่งขัน รางวัลเหรียญทอง พร้อมประกาศนียบัตร 9. การได้รับทุนวิจัยจากแหล่งทุนภายนอก9.1 การได้รับทุนวิจัยจากแหล่งทุนภายนอก ของอาจารย์หลักสูตรเทคโนโลยีชีวภาพ ปีงบประมาณ พ .ศ .2566   9.2 การได้รับทุนวิจัยจากแหล่งทุนภายนอก ของอาจารย์หลักสูตรเทคโนโลยีชีวภาพ ปีงบประมาณ พ .ศ .2567 10. การ ขอ การ รับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อาหาร เลข อย เพื่อให้จำหน่ายเชิงพาณิชย์10.1 ผลิตภัณฑ์ ไข่ผงจากพืช จากโครงการ ทุนวิจัย สวก @วว . เลขที่สัญญา CRP660503210010.2 ผลิตภัณฑ์ไข่ต้มจากพืชจากโครงการ ทุนวิจัย สวก @มก . เลขที่สัญญา CRP660503199010.3 ผลิตภัณฑ์ผงโปรตีนข้าวชนิดใสจากโครงการ ทุนวิจัย สวก @มก . เลขที่สัญญา CRP6505031990 ไข่ผงจากพืช อย 13-2-03144-6-0023 ไข่ต้มจากพืช อย 13-2-03144-6-0011 เพนนีโอโปร: โปรตีนข้าวชนิดใส อย 13-2-03144-6-0021 3. Proven through successful mission operation, Objectives and Key Results for Knowledge Management – CHECKการตรวจสอบผลการดำเนินการการ นำเสนอประสบการณ์การนำไปใช้ สรุปและ อภิปราย ผล บทสรุปความรู้หรือความรู้ที่ค้นพบใหม่         

การสร้างตัวตนบนเวทีวิชาการแก่หลักสูตรเทคโนโลยีชีวภาพด้วยผลงานนวัตกรรมวิจัย Read More »

“CreativeYoung Designers Season 3” โครงการผ้าขาวม้าท้องถิ่นหัตศิลป์ไทย

รางวัลชมเชย ปีการศึกษา 2566 ยุทธศาสตร์ที่ 2 : KR 2.3.1 “Creative Young Designers Season 3” โครงการผ้าขาวม้าท้องถิ่นหัตถศิลป์ไทย ผู้จัดทำโครงการ​ อาจารย์ลัดดาวัลย์ สารพัฒน์ อาจารย์พชร รัตนคุปต์ และอาจารย์ลลิตา สีมันตร วิทยาลัยการออกแบบ หลักการและเหตุผล/ความสำคัญ/ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้​            ตามที่สาขาวิชาแฟชั่นดีไซน์ ได้ดำเนินกิจกรรมในการส่งเสริมการผลิตผลงานสร้างสรรค์ให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในด้านองค์ความรู้  นวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ ส่งผลให้คณาจารย์และนักศึกษาของสาขาวิชาแฟชั่นดีไซน์ มีผลงานอย่างสรรค์อย่างต่อเนื่องนั้น และเพื่อเป็นการต่อยอดให้กับอาจารย์และนักศึกษาสามารถนำผลงานสร้างสรรค์ รวมถึงงานวิจัย นวัตกรรมทางด้านแฟชั่น  ที่ได้รับการพัฒนาศักยภาพในโครงการจัดการความรู้ด้านทางด้านการวิจัยหรืองานสร้างสรรค์ หัวข้อโครงการความร่วมมือพัฒนาผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์เพื่อชุมชน ในปีงบประมาณ 2566 เป็นการดำเนินงานด้านการออกแบบและพัฒนาผ้าขาวม้าทอมือ กลุ่มทอผ้าภูริษาผ้าไทย ตำบลเมืองใหม่ อำเภอเมืองหนองบัวลำภู จังหวัดหนองบัวลำภู โดยบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ผสานความร่วมมือกับบริษัท ประชารัฐสามัคคี วิสาหกิจเพื่อสังคม (ประเทศไทย) จำกัด  สนับสนุนการดำเนินการดำเนินโครงการความร่วมมือพัฒนาผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์เพื่อชุมชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566  ของสาขาวิชาแฟชั่นดีไซน์ วิทยาลัยการออกแบบ มหาวิทยาลัยรังสิต มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มความหลากหลายให้แก่ผลิตภัณฑ์ของชุมชน  รวมถึงการขยายช่องทางการตลาดเพื่อก่อให้เกิดรายได้ที่ยั่งยืน อีกทั้งยังเป็นโครงการที่ส่งเสริมให้เกิดกิจกรรมการเรียนรู้ทั้งในและนอกห้องเรียนให้แก่นักศึกษาแฟชั่นในระดับอุดมศึกษา ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้            การออกแบบเครื่องแต่งกาย และเครื่องประกอบการแต่งกาย (Accessories) และการตัดเย็บ การตลาดด้านแฟชั่นการออกแบบที่มุ่งเน้นให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายที่มีอยู่แล้วและเพิ่มกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ รวมถึงการนำผ้าขาวม้ามาออกแบบและตัดเย็บให้เป็นเสื้อผ้าแฟชั่นไม่อยู่ในกรอบของเสื้อผ้าแบบเดิม ๆ ประเภทความรู้และที่มาความรู้ ความรู้แบบชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) อื่น ๆ (โปรดระบุ) ความรู้ในชั้นเรียน และปราชญ์ชาวบ้าน ความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวคน (Tacit Knowledge) : เจ้าของความรู้/สังกัด สาขาวิชาแฟชั่นดีไชน์ และ กลุ่มทอผ้าภูริษาผ้าไทย  วิธีการดำเนินการ 1. วิธีการดำเนินการ   ดำเนินการตามขั้นตอน plan, do, check, act ดังนี้ 1) กิจกรรมเกี่ยวกับการทำนุบำรุงศิลปะและวัฒนธรรม 2)  กิจกรรมมีการบูรณาการกับ  R การเรียนการสอน รายวิชาดังนี้ รายวิชาFAS490การกออกแบบแฟชั่นโดยร่วมมือกับผู้ประกอบการ FAS377 การตกแต่งพื้นผิวผ้า 3)  อื่นๆระบุ พัฒนาศักยภาพนักศึกษา – ประชุมออนไลน์กับผู้ประกอบการในเบื้องต้นถึงความต้องการของผู้ประกอบการ ในด้าน รูปแบบ กลุ่มลูกค้า   อัตลักษณ์ท้องถิ่น ลักษณะรูปแบบของผ้าว่ามีผ้าอะไรบ้าง โดยผ้าที่เป็นอัตลักษณ์ของกลุ่มก็คือผ้าสามฤดูที่ได้    แรงบันดาลใจจากเทือกเขาภูพานที่มีความอุดมสมบูรณ์ – นำข้อมูลประชุมและแบ่งงานนักศึกษาเป็นกลุ่มเลือกแรงบันดาลใจเป็นเทือเขาภูพานที่มีน้ำไหลผ่านสามฤดูความอุดมสบูรณ์– ลงพื้นที่พบผู้ประกอบการนักศึกษาทดลองทอผ้าศึกษาฝ้ายที่นำมาทอชนิดต่างๆ ความพิเศษของฝ้ายในจังหวัดหนองบัวลำภูที่แตกต่างจากที่อื่นคือสี ที่มีสีน้ำตาลที่เกิดจากแร่ธาตุจากดินภูเขาที่ปลูก–   ศึกษาการย้อมสีธรรมชาติซึ่งได้จากพืชในท้องถิ่น เช่นคราม เป็นต้น–   พูดคุยและเลือกแบบที่นักศึกษาได้ออกแบบมาหลังจากที่ประชุมกันในรอบแรก และนำไปปรับปรุงอีกครั้ง–   ขึ้นต้นแบบ จำนวน 10 ชุด ปรับแก้เพื่อให้ได้ตามรูปแบบที่ดีไซน์–   ตัดเย็บชุดจริง จำนวน 10 ชุด–   ถ่าย LOOK BOOK–   จัดแสดงแฟชั่นโชว์ส่งมอบผลงานให้กับผู้ประกอบการ ณ พัฒนาแกลลอรี่ อาคารคุณหญิงพัฒนา–   จัดแสดงแฟชั่นโชว์ ณ งาน Sx Expo (Sustainability Expo) ในวันที่ 3 ต.ค 2566 2. Prototype testing in an operational environment – DO ผลการดำเนินการ การนำไปใช้ หรือการลงมือปฏิบัติจริง อุปสรรคหรือปัญหาในการทำงาน นักศึกษาได้ลงพื้นที่พูดคุย ศึกษากระบวนการทอผ้าจากผู้ประกอบการ และพูดคุยความต้องการของผู้ประกอบการ รวมถึงการศึกษากลุ่มลูกค้าของมือ กลุ่มทอผ้าภูริษาผ้าไทย ตำบลเมืองใหม่ อำเภอเมืองหนองบัวลำภู จังหวัดหนองบัวลำภู โดยนำผ้าทอมือ ผ้าขาวม้ามาออกแบบและตัดเย็บ จัดแสดงผลงานผ่านการเดินแฟชั่นโชว์ และผู้ประกอบการนำไปวางโชว์เพื่อจัดจำหน่ายโดยได้รับเป็นพรีออเดอร์จากผลงานที่นำไปโชว์ อุปสรรคและปัญหาในการทำงาน เนื่องจากผ้าทอมือความกว้างของหน้าผ้าจะไม่กว้างเหมือนผ้าที่ขายในท้องตลาดทั่วไปทำให้ต้องมีการดีไซน์การวางแบบตัดผ้าให้ได้ตามรูปแบบที่ออกแบบไว้นอกจากนี้ยังสามารถจัดวางลวดลายในการตัดต่อเพื่อให้เกิดความงามได้จากปัญหาหน้ากว้างไม่พอในการวางแพทเทิร์น          3. Proven through successful mission operation, Objectives and Key Results for Knowledge Management – CHECK การตรวจสอบผลการดำเนินการ การนำเสนอประสบการณ์การนำไปใช้ สรุปและอภิปรายผล บทสรุปความรู้หรือความรู้ที่ค้นพบใหม่ หลังการดำเนินการเสร้จสิ้นลงสามารถติดตามผลได้จากสื่อออนไลน์ของกลุ่มภูริษาผ้าไทยกลุ่มทอผ้าสามารถนำต้นแบบไปต่อยอดจากรูปแบบเดิมที่โครงการได้ออกแบบไว้ไปต่อยอดโดยใช้ผ้าสีอื่นมาตัดเย็บ หรือนำเสื้อ กระโปรง กางเกง กระเป๋า นำไป mix & match กับเสื้อผ้าของทางร้านที่มีอยู่เดิม เพิ่มช่องทางการตลาดและขยายกลุ่มลุกค้าที่มีอยู่เดิม   หรือการนำเศษเหลือผ้ามาใช้ให้เกิดประโยชน์สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศษผ้า ข้อเสนอแนะในการดำเนินการในอนาคต หรือการดำเนินการเพื่อสามารถนำไปสู่การเป็น Good Practice ในการทำงานโครงการระยะยาวจำเป็นต้องมีการวางแผนในเรื่องวัสดุผ้าที่นำมาใช้เนื่องจากการทอผ้าแต่ละครั้งมีจำนวนจำกัด สีเป็นการย้อมแบบธรรมชาติย้อมมือหากต้องการผ้าชนิดนั้นหรือสีนั้นต้องซื้อเพื่อไว้เลย และการคำนวณผ้าต้องดูตามหน้าผ้าของร้านเป็นหลักเพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหาในการตัดเย็บ รวมถึงการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมการใช้วัสดุให้เหลือเศษน้อย หรือนำเศษวัสดุมาออกแบบต่อยอดให้เกิดเป็นชิ้นงานใหม่ขึ้นมา

“CreativeYoung Designers Season 3” โครงการผ้าขาวม้าท้องถิ่นหัตศิลป์ไทย Read More »

การสร้างสรรค์ผลงานดนตรีแจ๊สด้วยแนวคิดสหวิชา สู่การสร้างนวัตกรรมงานวิจัย

รางวัลชมเชย ปีการศึกษา 2566 ยุทธศาสตร์ที่ 2 : KR 2.3.1 การสร้างสรรค์ผลงานดนตรีแจ๊สด้วยแนวคิดสหวิชา สู่การสร้างนวัตกรรมงานวิจัย กรณีศึกษา “บทประพันธ์เพลงหัตถยุทธ ลีลา” และ “บทประพันธ์เพลงเดวิสฟินอมินอน” ประพันธ์โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เจตนิพิฐ สังข์วิจิตร ผู้จัดทำโครงการ​ ผศ.ดร.เจตนิพิฐ สังข์วิจิตร วิทยาลัยดนตรี หลักการและเหตุผล/ความสำคัญ/ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้​ แนวคิดสำหรับการประพันธ์เพลงไม่ได้มีข้อกำหนดว่า ต้องเกิดจากการศึกษาศาสตร์ดนตรีเพียงเท่านั้น แรงบันดาลใจจากการศึกษาศาสตร์ด้านอื่น ก็สามารถนำมาเชื่อมโยงเข้ากับเทคนิคการประพันธ์หรือแนวคิดหลักการทางดนตรีหรือทฤษฎีดนตรีเพื่อสร้างสรรค์ผลงาน การศึกษาศาสตร์อื่นเพื่อขยายกรอบแห่งการสร้างสรรค์ทางดนตรีของผู้ประพันธ์ ก็เป็นสิ่งท้าทายสำหรับการสร้างบทประพันธ์ที่ผสมผสานขึ้นจากการศึกษาศาสตร์ต่าง ๆ เพื่อนำองค์ความรู้ หลักการ หรือเทคนิค นำมาสร้างคุณค่าให้กับบทประพันธ์ สำหรับประเด็นความรู้การสร้างสรรค์ผลงานดนตรีแจ๊สด้วยแนวคิดสหวิชาสู่การสร้างนวัตกรรมงานวิจัย กรณีศึกษา “บทประพันธ์เพลงหัตถยุทธ ลีลา” และ “บทประพันธ์เพลงเดวิสฟินอมินอน” ประพันธ์โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เจตนิพิฐ สังข์วิจิตร เป็นการศึกษาศาสตร์ด้านศิลปะและบุคคลสำคัญเชิงประวัติศาสตร์ นำมาเชื่อมโยงเข้ากับแนวคิดทางดนตรีเพื่อสร้างนวัตกรรมการวิจัยที่เกิดจากแนวคิดสหวิชาการ สามารถอธิบายสาระได้ดังนี้ สำหรับกรณีวิจัยสร้างสรรค์บทประพันธ์เพลงหัตยุทธ ลีลา (Hattayut Leela) ประพันธ์โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เจตนิพิฐ สังข์วิจิตร ได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างชุดบทประพันธ์เพลงแจ๊สรูปแบบวงดนตรีแจ๊สขนาดใหญ่ จำนวน 1 ชุด ประกอบด้วย 4 Episode สะท้อนศาสตร์และศิลป์ในมิติดนตรีแจ๊สที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการศึกษาผลงานภาพวาดศิลปิน 4 คน จำนวน 4 ภาพ ซึ่งมีที่มาและความสำคัญดังนี้           เป็นที่ทราบกันดีว่าศาสตร์ด้านศิลปะสามารถช่วยกล่อมเกลาหรือบ่มเพาะจิตใจมนุษย์ให้สัมผัสกับอารมณ์ ความรู้สึก สะท้อนความเป็นตัวตนของมนุษย์ อีกทั้งศิลปะยังเป็นสื่อกลางเพื่อถ่ายทอดสาระสุนทรียภาพไปถึงบุคคลอื่นตามแต่เจตนารมณ์ของผู้ส่งสาระนั้น สุนทรียภาพข้างต้นก็มีความงดงามต่างกันออกไป โดยตัวแปรสำคัญด้านสุนทรียภาพก็ขึ้นอยู่กับอัจฉริยภาพของแต่ละบุคคลเช่นกัน ในปัจจุบันศาสตร์ด้านศิลปะก็แตกแขนงออกไปมากมาย ทั้งด้านวิจิตรศิลป์และด้านประยุกต์ศิลป์ ผลงานด้านทัศนศิลป์และดนตรีก็เป็นศาสตร์ด้านศิลปะแขนงหนึ่งอยู่คู่กับวิถีของมนุษย์มาช้านานให้มนุษย์ได้สัมผัสกับอารมณ์ ความรู้สึก ที่เอื้ออำนวยประโยชน์ทางจิตใจในหลากหลายมิติ ทัศนศิลป์ แหล่งสุนทรียภาพแฝงไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ ทักษะและประสบการณ์จะถูกถ่ายทอดจิตวิญญาณผ่านไปยังมือของศิลปิน บรรจงสร้างสรรค์ผลงานผ่านฝีแปรงไปบนผืนผ้าใบแฝง ไว้ด้วยนัยคุณค่าศาสตร์และศิลป์ ภาพอันที่ทรงคุณค่าก็จะสะท้อนตัวตนของศิลปินให้มีความเด่นชัด เช่นเดียวกับดนตรีแจ๊ส แหล่งสุนทรียภาพแบบหนึ่ง สามารถสื่อถึงศาสตร์และศิลป์ในวิถีแบบนามธรรม ทั้งยังให้คุณลักษณะอันเป็นเอกลักษณ์ด้านการอิมโพรไวส์ เพื่อเปิดโอกาสให้ศิลปินสะท้อนถึงอารมณ์ ความรู้สึกของตนเอง ที่มีต่อบทเพลงถ่ายทอดผ่านมือของศิลปินไปยังเครื่องดนตรีก่อเกิดสำเนียงมิติเสียงต่าง ๆ การอิมโพรไวส์เป็นองค์ประกอบสำคัญในดนตรีแจ๊สสามารถแสดงถึงทักษะ ประสบการณ์ และจิตวิญญาณของผู้บรรเลงได้เฉกเช่นเดียวกับภาพวาด รูปแบบการจัดวงแจ๊สขนาดใหญ่หรือเรียกว่าวงบิกแบนด์ ผสมผสานด้วยกลุ่มเครื่องเป่าและกลุ่มจังหวะที่เชื่อมโยงกันทำหน้าที่สร้างมิติเสียงและขับเคลื่อนบทเพลงด้วยรูปแบบวงแจ๊สขนาดใหญ่ สามารถสร้างมิติเสียงได้หลากหลายและมีผลโดยตรงต่อการสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อิมโพรไวส์ในบทเพลง นักดนตรีที่ร่วมกันบรรเลงตลอดจนผู้อิมโพรไวส์จะร่วมกันสร้างสรรค์บทเพลง ให้ดำเนินไปตามแนวทางของผู้ประพันธ์กำหนดไว้   ทั้งสุนทรียภาพของภาพและดนตรีแจ๊ส มีสื่อกลางในการถ่ายทอดจินตนาการที่เหมือนกันนั่น คือ ผลงานถูกสร้างสรรค์ผ่านมือของศิลปิน ด้วยความเชื่อมโยงนี้ผู้ประพันธ์จึงมีความสนใจในประเด็นดังกล่าว โดยนำแรงบันดาลใจจากภาพมาสะท้อนเป็นการประพันธ์ในรูปแบบวงแจ๊สขนาดใหญ่หรือบิกแบนด์ ผ่านบทประพันธ์เพลง หัตถยุทธ ลีลา เพื่อสื่อถึงสุนทรียภาพทั้งในมิติภาพและดนตรีแจ๊สที่ต้องสร้างสรรค์ผ่านมือของศิลปิน ซึ่งผู้ประพันธ์กำหนดชื่อบทประพันธ์ “หัตถยุทธ ลีลา” ให้มีนัยแฝงด้วยแนวคิดผลงานถูกสร้างสรรค์ผ่านมือของศิลปิน   ส่วนกรณีวิจัยสร้างสรรค์บทประพันธ์เพลงเดวิสฟินอมินอน (Davis Phenomenon) ประพันธ์โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เจตนิพิฐ สังข์วิจิตร ได้รับทุนสนับสนุนจากสถาบันวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยรังสิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างบทเพลงระลึกถึงไมล์ส เดวิส ในวาระครบรอบ 30 ปีการเสียชีวิต เพื่อตระหนักถึงความสำคัญของไมล์ส เดวิสเชิงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ดนตรีแจ๊ส ซึ่งมีที่มาและความสำคัญดังนี้ ไมล์ส เดวิส (Miles Davis, 1926-1991) นักเล่นทรัมเป็ต นักประพันธ์เพลง บุคคลสำคัญต่อวงการดนตรีแจ๊สและมีบทบาทเป็นอย่างมากต่อการพัฒนาดนตรีแจ๊สในหลายวิถีตั้งแต่ ดนตรีบีบ็อป ดนตรีคลูแจ๊ส ดนตรีฮาร์ดบ็อป ดนตรีโมดัลแจ๊ส และดนตรีฟิวชันแจ๊ส เขานำดนตรีแจ๊สพัฒนาเข้ากับยุคสมัย ผสมผสานกับทดลองนำแนวคิดต่างๆ มาขยายขอบเขตให้มิติเสียงดนตรีแจ๊สมีความหลากหลายขึ้น แม้เขาเสียชีวิตจะครบ 30 ปี ในปี ค.ศ. 2021 นี้ แต่แนวคิดที่เขาสร้างปรากฏการณ์ไว้ในดนตรีแจ๊สวิถีต่าง ๆ ได้กลายเป็นมรดกทางความคิดที่ถูกถ่ายทอดมาถึงดนตรีแจ๊สในปัจจุบัน ช่วงทศวรรษ 1940 ดนตรีบีบ็อปได้ก่อกำเนิดจากนักดนตรีแจ๊สชั้นแนวหน้า เช่น ชาร์ลี ปาร์คเกอร์ (Charlie Parker, 1920-1955) นักเล่นอัลโตแซกโซโฟน ดิซซี กิลเลสพี (Dizzy Gillespie, 1917-1993) นักเล่นทรัมเป็ต ได้ร่วมกันบรรเลงดนตรีแจ๊ส ณ สถานบันเทิง มินตันส์เพลย์เฮาส์มีเอกลักษณ์ด้านการแสดงด้วยรูปแบบวงขนาดเล็กและเน้นการอิมโพรไวส์เป็นสำคัญ ลีลาการบรรเลงแสดงถึงทักษะความเชี่ยวชาญของนักดนตรีที่บรรเลงร่วมกัน ไมล์ส เดวิสได้ร่วมงานกับชาร์ลี ปาร์คเกอร์ ในลีลาดนตรีบีบ็อป และสร้างความแตกต่างจากปาร์คเกอร์ด้วยแนวทำนองที่มีความหนาแน่นลักษณะจังหวะเบาบางกว่า แนวทางการบรรเลงของเดวิสเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจไปสู่วิถีแห่งดนตรีคลูแจ๊ส  ปี ค.ศ. 1957 เดวิสได้ออกผลงานชื่อ Birth of The Cool ด้วยรูปแบบวงเก้าชิ้น (Nonet) สังกัดค่าย Capital Records ผลงานชิ้นนี้ได้ผสมผสานเฟร็นช์ฮอร์น หรือทูบา เครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่า มักพบในวงออร์เคสตรานำมาร่วมสร้างสรรค์ และได้ สร้างกระแสแห่งวิถีดนตรีคลูแจ๊สให้ได้รับความนิยม ผลงานชิ้นนี้บันทึกเสียงตั้งแต่ปี ค.ศ. 1949-1950 โดยเดวิสได้ร่วมงานกับนักดนตรีที่สำคัญอย่าง กิล อีแวนส์ (Gill Evans,1912-1988) นักเรียบเรียงเสียงประสาน เจอร์รี มัลลีแกน (Gerry Mulligan, 1927-1966) นักเล่นบาริโทนแซกโซโฟน ลี โคนิตซ์ (Lee Konitz, 1927-2020) นักเล่นอัลโตแซกโซโฟน กันเธอร์ ชูลเลอร์ (Gunther Schuller, 1925-2015) นักเล่นเฟร็นช์ฮอร์น นักดนตรีเหล่านี้ยังนำแนวคิดของเดวิสไปสร้างสรรค์การประพันธ์เพลงในทิศทางตนเอง ทำให้ดนตรีคลูแจ๊สมีความหลากหลายยิ่งขึ้น ต่อมาช่วงทศวรรษ 1960 เดวิสได้กลับมาสร้างสรรค์วงแจ๊สขนาดเล็ก ด้วยการนำแนวทางการบรรเลงจากดนตรีบีบ็อปที่เขาเคยร่วมบรรเลงกับชาร์ลี ปาร์คเกอร์ในช่วงทศวรรษ 1940 มาพัฒนาให้มีความแตกต่างออกไปจากเดิมในวิถีแห่งดนตรีฮาร์ดบ็อป ที่มีกลิ่นอายดนตรีแอฟริกัน เช่น ริทึมแอนด์บลูส์ กอสเปล หรือบลูส์ และเน้นด้านการเรียบเรียงมากขึ้นกว่าดนตรีบีบ็อป เช่น วงห้าชิ้นที่ดีที่สุดของเขา (First Great Quintet) นักดนตรีร่วมบรรเลงประกอบด้วย จอห์น โคลเทรน (John Coltrane, 1926-1967) นักเล่นเทเนอร์แซกโซโฟน เรด การ์แลนด์ (Red Garland, 1923-1984)  นักเล่นเปียโน พอล แชมเบอส์ (Paul Chambers, 1935-1969) นักเล่นเบส และฟิลลี โจ โจนส์ (Philly Joe Jones, 1923-1985) นักเล่นกลอง   ปี ค.ศ. 1959 เดวิส ได้ร่วมสร้างสรรค์ดนตรีแจ๊สในวิถีดนตรีโมดัลแจ๊สในผลงานชื่อ Kind of Blues สังกัดค่าย Columbia ผลงานนี้มีเสียงประสานอันเป็นเอกลักษณ์ บทเพลง So What ได้สร้างกระแสดนตรีโมดัลแจ๊สด้วยเสียงประสานที่ต่างออกไป การดำเนินคอร์ดในบทเพลงนี้มีเพียง 2 คอร์ดและมีการเคลื่อนที่ช้าไม่เหมือนกับการดำเนินคอร์ดดนตรีบีบ๊อพ การอิมโพรไวส์มีแนวคิดต่างออกไปด้วยการเน้นการสร้างสรรค์จากโมดที่มีความสัมพันธ์กับเสียงประสานในบทเพลง กระทั่งทศวรรษ 1970 เดวิสได้นำดนตรีร็อกเข้ามาผสมผสานกับดนตรีแจ๊ส ส่งผลให้ดนตรีฟิวชันแจ๊สได้ก่อกำเนิดขึ้น ผลงานสำคัญที่เดวิสได้สร้างสรรค์ไว้ คือ ผลงานชื่อ Bitches Brew บันทึกเสียงปี ค.ศ. 1970 สังกัดค่าย Columbia เดวิสได้นำเครื่องดนตรีไฟฟ้า เช่นเปียโนไฟฟ้าและออร์แกนตลอดจนคีย์บอร์ดเข้ามาแทนที่เปียโน รวมถึงการนำกีตาร์ไฟฟ้าที่อาจกล่าวว่าเป็นสัญลักษณ์ของดนตรีร็อกเข้ามาร่วมบรรเลงด้วย ทำให้มิติเสียงดนตรีแจ๊สกับดนตรีร็อกได้ถูกผสมผสานกันอย่างชัดเจน       จากที่กล่าวมาข้างต้นจะพบได้ว่า เดวิสได้ขยายขอบเขตดนตรีแจ๊สให้หลากหลายขึ้น ด้วยการทดลองแนวคิดหรือผสมผสานเครื่องดนตรีนำมาสร้างสรรค์ในทิศทางของตนเอง ส่งผลให้เกิดกระแสในดนตรีแจ๊สและเกิดเป็นวิถีทางต่างออกไป ผลงานของเดวิสเปรียบเสมือนโรงเรียนทางดนตรีแจ๊ส เหล่านักดนตรีแจ๊สที่เคยร่วมงานกับเขาได้กลายเป็นนักดนตรีแจ๊สสำคัญมากมาย เช่น จอห์น โคลเทรน นักเล่นเทเนอร์แซกโซโฟน บิล อีแวนส์ (Bill Evans, 1929-1980) เฮอร์บี แฮนคอก (Herbie Hancock, 1940-) ชิค คอเรีย (Chick Corea, 1941-) คีธ จาร์เร็ตต์ (Keith Jarrett, 1945-) นักเล่นเปียโน ไมค์ สเติร์น (Mike Stern, 1953-) จอห์น สโคฟิลด์ (John Scofield, 1951-) นักเล่นกีตาร์ เป็นต้น ไมล์ส เดวิส เสียชีวิตเมื่อวันที่ 28 กันยายน ค.ศ. 1991 และสำหรับในปี ค.ศ. 2021 จะเป็นวาระการครบรอบ 30 ปีของการเสียชีวิต ผู้ประพันธ์ (ผู้วิจัย) จึงมีความสนใจนำแนวคิดหรือแนวทางการสร้างสรรค์ของเขามาประพันธ์เพลงในรูปแบบดนตรีแจ๊สขนาดใหญ่ เพื่อเป็นการระลึกถึงนักดนตรีที่มีบทบาทสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ดนตรีแจ๊ส ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้ สำหรับกรณีวิจัยสร้างสรรค์บทประพันธ์เพลงหัตถยุทธ ลีลา มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างชุดบทประพันธ์เพลงแจ๊สรูปแบบวงดนตรีแจ๊สขนาดใหญ่ จำนวน 1 ชุด ประกอบด้วย 4 Episode สะท้อนศาสตร์และศิลป์ในมิติดนตรีแจ๊สที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการศึกษาผลงานภาพวาดศิลปิน 4 คน จำนวน 4 ภาพ ได้แก่ 1. ชื่อผลงาน The Scream ผลงานจากศิลปิน เอ็ดวาร์ด มูงค์ (Edvard Munch, 1863-1944) สีสันในภาพแสดงอารมณ์และความรู้สึกภาพกระแสเอกซ์เปรชัน ศิลปะที่สำแดงพลังด้วยการใช้สีสันแสดงออกทางอารมณ์อย่างชัดเจน ไม่ซ้อนเร้น นอกจากนี้ผู้ประพันธ์นำสาระจากสมุดบันทึกของมูงค์มาเป็นแนวทางการประพันธ์เชื่อมโยงกับแนวคิดโมด กลุ่มเสียงกัด สะท้อนสีสันมิติเสียงจากเหตุการณ์หรืออารมณ์ความรู้สึกที่เกิดเรื่องราวขึ้นในภาพ 2. ชื่อผลงาน The Guitar Player ผลงานจากศิลปิน ปาโบล ปิกัสโซ (Pablo Picasso, 1881-1973) ภาพกระแสคิวบิสม์ รูปทรงที่เกิดขึ้นในภาพเหล่านี้ถูกนำมาประติดประต่อประกอบเข้าด้วยกัน บางรูปอาจซ้อนทับกันหรือเหลื่อมซึ่งกันและกัน เส้นรูปทรงเหล่านี้แสดงถึงทิศทางการเคลื่อนไหว สะท้อนอารมณ์ต่าง ๆ ในช่วงเวลาต่างกันออกไป ด้วยเหตุนี้ผู้ประพันธ์จึงนำมาเป็นแรงบันดาลใจเชื่อมโยงกับแนวคิดเชิงเทคนิคของดนตรีมินิมัลลิซึม ชื่อผลงาน Improvisation 28 ผลงานจากศิลปิน วาสซิลี คันดินสกี (Wassily Kandinsky, 1866-1944) แนวคิดภาพนี้เป็นการวาดโดยไม่ได้มีการเตรียมตัวมาก่อนตามแนวคิดการสร้างสรรค์ผลงาน Improvisation เฉกเช่นเดียวกับการอิมโพรไวส์ของนักดนตรีแจ๊สถูกนำมาสะท้อนแรงบันดาลใจแนวคิดดนตรีฟรีแจ๊ส ที่มักกำหนดกรอบแนวทางการบรรเลงไว้อย่างหลวม ๆ เพื่อให้สาระทางดนตรีฟรีแจ๊สเกิดขึ้นขณะบรรเลง นอกจากนี้ผู้ประพันธ์ได้นำแรงบันดาลใจจากรูปร่างลายเส้น มิติสีสัน และมิติช่องว่าง ที่ปรากฏในภาพมาเชื่อมโยงกับกรอบแนวคิดการประพันธ์ในแต่ละท่อน 4. ชื่อผลงาน Michael Jackson ผลงานจากศิลปิน แอนดี วอร์ฮอล (Andy Warhol, 1928-1987) แนวคิดป็อปอาร์ตสะท้อนให้เห็นกระแสจากประชานิยมที่เกิดขึ้นในสังคม ผู้ประพันธ์นำมาเป็นแรงบันดาลใจด้วยแนวคิดการคัดทำนองจากบทเพลงของไมเคิล แจ็กสัน ศิลปินนักร้องที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งในกระแสดนตรีป็อปร็อก นำมาผสมผสานในการประพันธ์เพื่อเชื่อมโยงแนวคิดดนตรีแจ๊สและดนตรีป็อปร็อก สำหรับกรณีวิจัยสร้างสรรค์บทประพันธ์เพลงเดวิสฟินอมินอน บทประพันธ์สะท้อนแรงบันดาลใจเพื่อระลึกถึงไมล์ส เดวิส ทั้งยังเป็นการตระหนักถึงบทบาทสำคัญเชิงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ดนตรีแจ๊สในหลายมิติทั้งด้านแนวคิดการสร้างสรรค์ผลงาน การสร้างบุคลากรทางดนตรีแจ๊สตลอดจนเป็นผู้นำดนตรีแจ๊สพัฒนาไปตามยุคสมัย กระทั่งก่อเกิดเป็นดนตรีแจ๊สลีลาต่าง ๆ มากมาย กล่าวได้ว่าเป็นมรดกอันมีค่าให้กับวงการดนตรีแจ๊สเป็นอย่างมาก แนวคิดทางดนตรีของเดวิสที่ผู้ประพันธ์ได้กำหนดแนวทางไว้ถูกนำมาเป็นวัตถุดิบสำหรับการสร้างสรรค์เพื่อสะท้อนแรงบันดาลใจดังกล่าว แนวคิดการประพันธ์ ผู้ประพันธ์นำแนวคิดทางดนตรีของเดวิสมาเป็นวัตถุดิบให้กับบทประพันธ์ด้วยแนวคิด สำคัญ 3 ประเด็นหลักคือ 1) แนวคิดดนตรีบีบ็อป 2) แนวคิดดนตรีโมดัลแจ๊ส และ 3) แนวคิดดนตรีฟิวชันแจ๊ส แต่ละประเด็นถูกนำมาสร้างสรรค์เพื่อให้บทประพันธ์ดำเนินไปตามแนวทางที่กำหนดทิศทางไว้ แนวคิดการประพันธ์ด้วยแนวคิดข้างต้นมีรายละเอียดเป็นดังนี้ แนวคิดดนตรีบีบ็อป ไมล์ส เดวิส ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ทางดนตรีกับชาร์ลี ปาร์คเกอร์ (Charlie Parker, 1920-1955) นักเล่นแซ็กโซโฟนคนสำคัญในวิถีดนตรีบีบ็อปช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1944-1948 อาจกล่าวได้ว่า ช่วงแรกของเดวิสนั้นได้รับอิทธิพลจากปาร์คเกอร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก่อนที่เขาได้เริ่มก่อตั้งวงดนตรีของตนเองขึ้น กระทั่งนำดนตรีแจ๊สพัฒนาไปตามยุคสมัยต่าง ๆ ในช่วงเวลาต่อมา แนวคิดดนตรีบีบ็อปถูกนำมาสะท้อนลงในท่อน A เพื่อเป็นการสื่อถึงช่วงเวลาแห่งการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ดนตรีบีบ็อปจากปาร์คเกอร์ โดยผู้ประพันธ์นำแนวคิดดนตรีบีบ็อปมาสร้างสรรค์ซึ่งกำหนดให้การบรรเลงประกอบกลุ่มเครื่องจังหวะบรรเลงด้วยแนวคิดจังหวะสวิง (Swing) ที่มักพบได้บ่อยครั้งในดนตรีบีบ็อป ผู้เล่นกลองบรรเลงด้วยจังหวะสวิงผสมผสานกับผู้เล่นเบสบรรเลงด้วยแนวคิดวอล์กกิงเบสไลน์ (Walking Bass Line) ที่มีความโดดเด่นจากการบรรเลงด้วยโน้ตตัวดำเป็นส่วนใหญ่ แนวคิดดนตรีโมดัลแจ๊ส กล่าวได้ว่าผลงาน Kind of Blue บันทึกเสียงปี ค.ศ. 1959 สังกัดค่าย Columbiaนำไปสู่วิถีแห่งดนตรีโมดัลแจ๊สมีความโดดเด่นด้านการเคลื่อนที่ของคอร์ดช้า สามารถเปิดโอกาสให้นักดนตรีมีความอิสระยิ่งขึ้นทั้งด้านการอิมโพรไวส์และด้านการบรรเลงประกอบ แนวคิดการดำเนินคอร์ดบทเพลง So What ในผลงานชิ้นนี้ของเดวิสมีการเคลื่อนที่ช้าประกอบด้วยคอร์ดเพียงเล็กน้อย ด้านการเคลื่อนที่มีลักษณะการดำเนินคอร์ดเคลื่อนที่สูงขึ้นครึ่งเสียงจากช่วงแรก จากนั้นจะกลับมายังการดำเนินคอร์ดเหมือนช่วงแรกอีกครั้งในช่วงท้าย แนวคิดดังกล่าวผู้ประพันธ์นำมาสะท้อนลงไปในการดำเนินคอร์ดช่วงการอิมโพรไวส์ของผู้เล่นทรัมเป็ตและผู้เล่นกีตาร์ไฟฟ้า เพื่อสื่อถึงแนวคิดการดำเนินคอร์ดที่ได้รับอิทธิพลทางแนวคิดของเดวิสที่เขาสร้างสรรค์ไว้ในบทเพลง So What ที่มีความโดดเด่นในวิถีดนตรีโมดัลแจ๊ส แนวคิดดนตรีฟิวชันแจ๊ส ผลงานชื่อ Bitches Brew บันทึกเสียงปี ค.ศ. 1970 สังกัดค่าย Columbia ผลงานชิ้นนี้ของเดวิสมีทิศทางไปในวิถีแห่งดนตรีฟิวชันแจ๊ส มีการนำเครื่องดนตรีไฟฟ้าเข้ามามีบทบาทอย่างชัดเจน ทั้งกีตาร์ไฟฟ้าหรือเปียโนไฟฟ้าได้เข้ามาร่วมกันสร้างมิติเสียง โดยเฉพาะบทบาทจากกีตาร์ไฟฟ้ากล่าวได้ว่าเป็นเครื่องดนตรีที่โดดเด่นสำหรับดนตรีร็อก ถูกนำมาสร้างบทบาทสำคัญให้กับดนตรีฟิวชันแจ๊สของเดวิส การบรรเลงกีตาร์ไฟฟ้ามีการใช้อุปกรณ์แปลงเสียงกีตาร์ประเภทให้เสียงแตกพร่า เช่น โอเวอร์ไดรฟ์ (Overdrive) หรือดิสทอร์ชัน (Distortion) ช่วยสนับสนุนให้ผลงานมีความเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่น นอกจากนี้ยังมีแนวคิดสำคัญอีกประการคือ การนำแนวคิดแวมป์ (Vamp) เข้ามาสอดแทรกในบทเพลงอยู่บ่อยครั้ง แวมป์เป็นแนวคิดการบรรเลงวนซ้ำ ๆ โดยมากมักมีบทบาทจากกลุ่มเครื่องจังหวะ จากแนวคิดข้างต้นของเดวิสผู้ประพันธ์นำมาสะท้อนลงในบทเพลงด้วยบทบาทจากกลุ่มเครื่องจังหวะผสมผสานกับกลุ่มเครื่องลม    การสร้างสรรค์แนวทำนอง ด้านการสร้างแนวทำนองและการดำเนินคอร์ด ปรากฏแนวคิดการใช้ตัวเลขเดือนเกิด- วันเกิด-ปีเกิดของเดวิสมาเป็นพื้นฐานเชื่อมโยงเข้ากับตัวโน้ต เพื่อสร้างเป็นวัตถุดิบให้กับกลุ่มโน้ตหลัก และกลุ่มโน้ตหลักนี้ถูกนำมาสร้างสรรค์ให้กับแนวทำนองและการดำเนินคอร์ด บทบาทกลุ่มโน้ตหลักสำหรับการสร้างสรรค์แนวทำนองปรากฏแนวคิดการไล่เรียงตามลำดับ ซึ่งการใช้แนวทางนี้มิติเสียงที่เกิดขึ้นนั้นถูกกำหนดไว้ด้วยตัวโน้ตจากกลุ่มโน้ตหลัก F-DF#-C#ADF# จึงจำเป็นต้องผสมผสานเข้ากับการใช้ช่วงเสียงควบคู่ไปกับลักษณะจังหวะหลากหลาย เช่น จังหวะขัด เพื่อสร้างสำเนียงแบบแจ๊ส การสร้างสรรค์แนวทำนองยังปรากฏแนวคิดเลียนแบบมิติเสียงสะท้อน โดยนำแนวคิดมาจากบทเพลง Bitches Brew ดังปรากฏในท่อน C แนวคิดนี้สร้างมิติเสียงซ้ำ ๆ และสนับสนุนให้มิติเสียงช่วงแนวทำนองท่อน C มีความแปลกใหม่ เนื่องจากการบรรเลงด้วยแนวคิดแวมป์มีเอกลักษณ์ด้านการบรรเลงวนซ้ำ ๆ ของกลุ่มเครื่องจังหวะมิติเสียงที่เกิดขึ้นจึงมีทิศทางคล้ายกัน การสร้างมิติเสียงแปลกใหม่เป็นสิ่งสำคัญสามารถสร้างความน่าสนใจ ตลอดจนช่วยให้บทบาทการบรรเลงแวมป์มีความหลากหลายยิ่งขึ้น นอกจากนี้การใช้ขั้นคู่เสียงต่าง ๆ ถูกนำมาผสมผสานไปกับแนวทำนองทั้งขั้นคู่เสียงกลมกลืนและกระด้าง การพิจารณาบทบาทขั้นคู่เสียงเหล่านี้นอกจากช่วยสนับสนุนแนวทำนองแล้ว ยังสามารถสร้างมิติเสียง อารมณ์ หรือบรรยากาศบทเพลง ให้มีความหลากหลาย เช่น บทบาทแนวทำนองกลุ่มเครื่องลม เป็นต้น                   การสร้างสรรค์การดำเนินคอร์ด ส่วนการสร้างสรรค์การดำเนินคอร์ด เป็นการนำกลุ่มโน้ตหลัก F-DF#-C#ADF# นำมาเชื่อมโยงเข้ากับคอร์ดต่าง ๆ แบ่งเป็น 2 ประเด็นสำคัญคือ 1) การบรรเลงไล่เรียงตามลำดับของกลุ่มโน้ตหลัก แนวคิดนี้จำเป็นต้องกำหนดชนิดคอร์ดให้ชัดเจน เพื่อสร้างมิติเสียงให้กับการดำเนินคอร์ด เช่น กรณีการดำเนินคอร์ดที่ปรากฏดังท่อน A นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องกำหนดทิศทางการบรรเลงให้สอดคล้องกับลีลาดนตรีแจ๊สต่าง ๆ ควบคู่ไปกับการจัดวางแนวเสียงเพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงและสอดคล้องกับการดำเนินคอร์ดเหล่านี้ 2) นำกลุ่มโน้ตหลัก F-DF#-C#ADF# แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ ส่วนที่ 1 FDF# ส่วนที่ 2 C#AD และส่วนที่ 3 F# เพื่อสร้างวัตถุดิบให้กับการดำเนินคอร์ดท่อน B และท่อน C ผสมผสานไปกับแนวคิดทางดนตรีโมดัลแจ๊สและดนตรี        ฟิวชันแจ๊สตลอดจนถึงแนวคิดแวมป์ หากพิจารณาภาพรวมแนวคิดการดำเนินคอร์ดทั้งหมด กล่าวได้ว่าเป็นการนำผลลัพธ์กลุ่มโน้ตหลักที่เชื่อมโยงกับตัวเลขเดือนเกิด-วันเกิด-ปีเกิดของเดวิส นำมาเป็นตัวกำหนดทิศทางให้กับการดำเนินคอร์ด จากนั้นจึงถูกนำมาพิจารณาเข้ากับขนิดคอร์ด    ต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับลีลาทางดนตรี    แนวคิดแวมป์ การบรรเลงด้วยแนวคิดแวมป์ กล่าวได้ว่าเป็นเทคนิคสำคัญที่ผู้ประพันธ์นำมาใช้อย่างเด่นชัด ผู้ประพันธ์นำแนวคิดการบรรเลงแวมป์มาจากแนวคิดทางดนตรีของเดวิส ซึ่งพบว่าแนวคิดการบรรเลงแวมป์ถูกสอดแทรกอยู่ในหลากหลายบทเพลงของเดวิส เช่น บทเพลง Milestones บันทึกเสียงปี ค.ศ. 1958  สังกัดค่าย Columbia หรือบทเพลง Bitches Brew บันทึกเสียงปี ค.ศ. 1969 สังกัดค่าย Columbia เป็นต้น แนวคิดการบรรเลงแวมป์ได้สร้างเอกลักษณ์ให้กับบทเพลงเหล่านี้ อีกทั้งยังมีส่วนช่วยให้ผู้ฟังจดจำบทเพลงเหล่านี้ได้สะดวกขึ้นจากการบรรเลงวนซ้ำ ๆ การพิจารณานำแนวคิดแวมป์มาใช้ในบทประพันธ์เพลง เดวิสฟินอมินอนพบว่าท่อน B และท่อน C มีการบรรเลงวนซ้ำจากกลุ่มเครื่องจังหวะสามารถสร้างความเป็นเอกลักษณ์ให้กับท่อนเพลงต่าง ๆ การบรรเลงวนซ้ำเสมือนเป็นการย้ำมิติเสียงที่ปรากฏขึ้นส่งผ่านไปยังผู้ฟังซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่กระนั้นการบรรเลงด้วยเทคนิคนี้จำเป็นต้องสร้างความแปลกใหม่หรือสร้างมิติเสียงให้มีความน่าสนใจ เนื่องจากเป็นการบรรเลงวนซ้ำจากกลุ่มเครื่องจังหวะเป็นสำคัญ โดยมากบทบาทกลุ่มเครื่องจังหวะมักมีความโดดเด่นสำหรับการขับเคลื่อนมิติเสียงให้ดำเนินไปตามแนวทางที่กำหนดไว้ หากบรรเลงวนซ้ำมากเกินไปอาจทำให้ผู้ฟังต้องการมิติเสียงที่มีความแปลกใหม่สอดแทรกเข้ามาผสมผสาน เพื่อสร้างความหลากหลายและไม่ทำให้แนวทางการบรรเลงด้วยเทคนิคแวมป์มีคุณค่าลดน้อยลงไป ประเภทความรู้และที่มาความรู้ ความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวคน (Tacit Knowledge) : เจ้าของความรู้/สังกัด  ผศ.ดร.เจตนิพิฐ สังข์วิจิตร วิธีการดำเนินการ 1. วิธีการดำเนินการ   ดำเนินการตามขั้นตอน plan, do, check, act ดังนี้ สำหรับกรณีวิจัยสร้างสรรค์บทประพันธ์เพลงหัตยุทธ ลีลา การศึกษาค้นคว้าข้อมูลประเด็นต่าง ๆ สำหรับการประพันธ์กำหนดประเด็นวิธีการดำเนินงานวิจัยและการประพันธ์เพลง แบ่งออกเป็น 4 ประเด็นสำคัญ คือ พิจารณาคัดเลือกผลงานภาพ วิเคราะห์ข้อมูล สังเคราะห์ข้อมูล กระบวนการสร้างสรรค์บทประพันธ์ ทั้ง 4 ประเด็นมีความสอดคล้องกันเพื่อให้ดำเนินไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้รายละเอียดดังนี้ พิจารณาคัดเลือกผลงานจำนวน 4 ภาพ จากศิลปิน 4 คน โดยมีประเด็นแนวคิดการสร้างสรรค์หรือแรงบันดาลใจที่ผู้ประพันธ์ให้ความสนใจ สามารถเชื่อมโยงเข้ากับแนวคิดทางดนตรี ได้อย่างมีสาระ ผลงานที่ผู้ประพันธ์ให้ความสนใจได้แก่ 1) ผลงาน The Scream ของเอ็ดวาร์ด มูงค์ 2) ผลงาน The Guitar Player ของปาโบล ปิกัสโซ 3) ผลงาน Improvisation 28 ของวาซิลี คันดินสกี และ 4) ผลงาน Michael Jackson ของแอนดี วอร์ฮอล วิเคราะห์ข้อมูล ศึกษาแนวคิดการสร้างสรรค์ ปรัชญาที่แฝงไว้ในภาพวาด ตลอดจนแรงบันดาลใจรวมถึงองค์ประกอบอื่น ๆ ที่สำคัญ แนวทางการวิเคราะห์ข้อมูลผู้ประพันธ์รวบรวมมาจากผู้ทรงคุณวุฒิหลายคนมาเป็นแนวทางการศึกษา ทั้งนี้ผู้ประพันธ์นำแหล่งข้อมูลมาจากหนังสือ งานวิจัย บทความ โน้ตเพลง ข้อมูลจากเวบไซด์ เป็นต้น สังเคราะห์ข้อมูล ผลจากการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลส่งผลให้สังเคราะห์ประเด็นต่าง ๆ ออกมาเป็นวัตถุดิบหลากหลาย ข้อมูลที่ได้จากการสังเคราะห์เหล่านี้จะถูกนำมาเชื่อมโยงเพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานนำไปเป็นแนวทางสู่การสร้างวัตถุดิบสำหรับการประพันธ์ต่อไป กระบวนการสร้างสรรค์บทประพันธ์ ผู้ประพันธ์กำหนดแนวทางไว้ดังนี้ 4.1 กำหนดกรอบแนวคิดการประพันธ์ และเทคนิคการประพันธ์ที่เหมาะสม4.2 สร้างสรรค์บทประพันธ์ตามกรอบแนวคิดที่กำหนดไว้4.3 จัดเตรียมนักดนตรีให้เหมาะสมกับบทประพันธ์4.4. ฝึกซ้อมบทประพันธ์กับวงดนตรี ตลอดจนปรับแต่งบทประพันธ์ให้เหมาะสม4.5 บันทึกเสียงบทประพันธ์ทั้งหมด และผลิตเป็นแผ่น CD4.6 จัดพิมพ์โน้ตเพลงพร้อมอรรถาธิบายชุดบทประพันธ์เป็นรูปเล่ม4.7 เผยแพร่บทประพันธ์ด้วยการแสดงดนตรี และผลิตเป็นแผ่น DVD4.8 สรุปผลการดำเนินงาน และส่งรายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ ส่วนกรณีวิจัยสร้างสรรค์บทประพันธ์เพลงเดวิสฟินอมินอน การศึกษาประเด็นต่าง ๆ ผู้ประพันธ์กำหนดประเด็นวิธีการดำเนินงานวิจัยและการประพันธ์เพลง แบ่งออกเป็น 4 ประเด็นสำคัญ คือ รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล สังเคราะห์ข้อมูล และกระบวนการสร้างสรรค์บทประพันธ์ โดยมีรายละเอียดดังนี้ รวบรวมข้อมูล ดนตรีบีบ็อป ดนตรีคูลแจ๊ส ดนตรีฮาร์ดบ็อป ดนตรีโมดัลแจ๊ส และดนตรี ฟิวชันแจ๊ส ตลอดจนผลงานการประพันธ์ที่เกี่ยวข้องจากแหล่งข้อมูลหลากหลาย เช่น หนังสือ งานวิจัย บทความ โน้ตเพลง เว็บไซต์ เป็นต้น วิเคราะห์ข้อมูล ผู้ประพันธ์นำแนวคิดข้อมูลของผู้ทรงคุณวุฒิหลายคนมาเป็นแนวทางการศึกษา เพื่อให้ทราบถึงบริบทพื้นฐานสำคัญที่เกี่ยวเนื่องกับไมล์ส เดวิส ตลอดจนศึกษาวิเคราะห์แนวคิดผลงานการประพันธ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุนให้ทราบถึงแนวทาง แนวคิด เทคนิค การประพันธ์ที่หลากหลายมิติ สังเคราะห์ข้อมูล ข้อมูลที่ได้จากการสังเคราะห์เหล่านี้จะถูกนำมาเชื่อมโยงเพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับการนำเสนอประเด็นต่าง ๆ ผลจากการสังเคราะห์ข้อมูลดังกล่าวจะนำไปสู่แนวทางการสร้างสรรค์การประพันธ์ต่อไป กระบวนการสร้างสรรค์บทประพันธ์ ผู้ประพันธ์กำหนดแนวทางไว้ดังนี้ 4.1 กำหนดกรอบแนวคิดการประพันธ์ และเทคนิคการประพันธ์ที่เหมาะสม4.2 สร้างสรรค์บทประพันธ์ตามกรอบแนวคิดที่กำหนดไว้4.3 จัดเตรียมนักดนตรีให้เหมาะสมกับบทประพันธ์4.4. ฝึกซ้อมบทประพันธ์กับวงดนตรี ตลอดจนปรับแต่งบทประพันธ์ให้เหมาะสม4.5 เผยแพร่บทประพันธ์ด้วยการแสดงดนตรี4.6 สรุปผลการดำเนินงาน และส่งรายงานการวิจัยสร้างสรรค์ฉบับสมบูรณ์4.7 เผยแพร่งานวิจัยสร้างสรรค์ในรูปแบบบทความวิจัย 2. Prototype testing in an operational environment – DO ผลการดำเนินการ การนำไปใช้ หรือการลงมือปฏิบัติจริง อุปสรรคหรือปัญหาในการทำงาน           สำหรับกรณีวิจัยสร้างสรรค์บทประพันธ์เพลงหัตยุทธ ลีลา ด้านปัญหาและอุปสรรคหลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับขั้นตอนกระบวนการต่าง ๆ ที่วางแผนไว้ต้องได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ปัญหาสำคัญประการหนึ่งที่ได้รับผลกระทบคือการแสดงมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนให้เป็นรูปแบบออนไลน์แทนการแสดงสดต่อสาธารณชน การรวมกลุ่มเพื่อการฝึกซ้อมร่วมกันทั้งหมดมีอุปสรรคเป็นอย่างมาก จำเป็นต้องรอช่วงผ่อนปรนจากสถานการณ์โควิด-19 ทั้งนี้การฝึกซ้อมก็ได้แบ่งออกเป็นกลุ่มเล็กเพื่อให้สามารถดำเนินไปตามเป้าหมายได้ตามลำดับ                     การใช้โปรแกรมเขียนโน้ตดนตรีเข้ามามีบทบาทสำคัญในการส่งต่อมิติเสียง จากจินตนาการของผู้ประพันธ์ส่งไปยังเหล่านักดนตรี ด้วยเหตุนี้ทำให้เกิดข้อจำกัดบางประการด้านมิติเสียงโปรแกรมเขียนโน้ตดนตรี ผู้ประพันธ์จึงมีความจำเป็นต้องใช้เสียงสังเคราะห์ที่มีความเสมือนจริงมาสื่อถึงมิติเสียงเครื่องดนตรีต่าง ๆ ให้นักดนตรีสามารถเข้าใจแนวทางการบรรเลง ด้วยขั้นตอนนี้หากอยู่ในสถานการณ์ปรกติสามารถรวมกลุ่มฝึกซ้อมได้จะช่วยประหยัดเวลาเพื่อให้นักดนตรีทราบถึงมิติเสียงหรือการบรรเลงได้                     ปัญหาด้านการบรรเลงด้วยแนวคิดหรือลีลาดนตรีต่าง ๆ เช่น กรณีการบรรเลงแนวคิดคอลเลคทีฟอิมโพรไวส์เซชัน ซึ่งผู้ประพันธ์กำหนดให้ท่อน A ของ Episode III: Improvisation 28 บรรเลงด้วยลีลาดนตรีฟรีแจ๊ส ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นแล้วว่าผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ยังส่งผลถึงช่วงเวลาในการบันทึกเสียงที่ไม่สามารถรวมกลุ่มได้ จำเป็นต้องใช้วิธีบันทึกเสียงแยกเครื่องดนตรีต่าง ๆ ออกมา การบรรเลงด้วยแนวคิดคอลเลคทีฟอิมโพรไวส์เซชันมีพื้นฐานจากแนวคิดอิมโพรไวส์ ไปพร้อมกัน การรับฟังกันและกันตลอดจนรับฟังมิติเสียงที่เกิดขึ้นพร้อมกับร่วมกันขับเคลื่อนมิติเสียงต่าง ๆ จากแนวคิดนี้สำหรับขั้นตอนการบันทึกเสียง ผู้ประพันธ์จำเป็นต้องสร้างความเข้าใจร่วมกับนักดนตรีเนื่องจากไม่สามารถบันทึกเสียงแบบรวมกลุ่มได้ ส่งผลให้ต้องปรับเปลี่ยนวิธีแต่ยังสามารถสร้างมิติเสียงให้มีทิศทางเดียวกันกับแนวคิดคอลเลคทีฟอิมโพรไวส์เซชัน ด้วยการสร้างแนวทำนองอิมโพรไวส์ขึ้นมาเป็นต้นแบบและให้นักดนตรีบรรเลงให้สอดคล้องกับแนวคิดนี้ เช่น กรณีการบรรเลงคอลเลคทีฟอิมโพรไวส์เซชันร่วมกันระหว่างเทเนอร์แซ็กโซโฟนและทรอมโบน             ส่วนกรณีงานวิจัยสร้างสรรค์บทประพันธ์เพลงเดวิสฟินอมินอน ในส่วนของการปฏิบัติจริงด้านบทบาทเครื่องดนตรีผู้ประพันธ์พิจารณาบทบาทเครื่องดนตรีแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มสอดคล้องกับการจัดรูปแบบวงดนตรีแจ๊สขนาดใหญ่หรือบิกแบนด์คือ กลุ่มเครื่องลมและกลุ่มเครื่องจังหวะ กลุ่มเครื่องลม มีบทบาทหน้าที่สำคัญด้านการบรรเลงแนวทำนอง สนับสนุนแนวทำนอง ตลอดจนสร้างสีสัน อารมณ์ หรือบรรยากาศ ขณะที่กลุ่มเครื่องจังหวะมีบทบาทสำคัญกับการบรรเลงด้วยแนวคิดแวมป์ เนื้อดนตรีที่ปรากฏมีลักษณะเนื้อดนตรีโฮโมโฟนีร่วมไปกับบทบาทเครื่องดนตรี หากพิจารณาภาพรวมทั้งหมดพบว่า ช่วงนำเข้าบทประพันธ์เสมือนเป็นการเชื้อเชิญผู้ฟัง ด้วยบทบาทจากเครื่องดนตรี 2 ชิ้นคือทรัมเป็ตและเปียโน จากนั้นจึงตามด้วยกลุ่มเครื่องลมและดำเนินเข้าสู่ท่อนต่าง ๆ โดยท่อน A ถึงท่อน C บทบาทกลุ่มเครื่องลมและกลุ่มเครื่องจังหวะทำหน้าที่บรรเลงร่วมกัน และบทประพันธ์เพลง เดวิสฟินอมินอน จบลงด้วยบทบาทจากกลุ่มทรัมเป็ต ด้านบทบาทเครื่องดนตรีบทประพันธ์เพลง เดวิสฟินอมินอน ผู้ประพันธ์พิจารณาบทบาทเครื่องดนตรีแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มสอดคล้องกับการจัดรูปแบบวงดนตรีแจ๊สขนาดใหญ่หรือบิกแบนด์คือ กลุ่มเครื่องลมและกลุ่มเครื่องจังหวะ กลุ่มเครื่องลม มีบทบาทหน้าที่สำคัญด้านการบรรเลงแนวทำนอง สนับสนุนแนวทำนอง ตลอดจนสร้างสีสัน อารมณ์ หรือบรรยากาศ ขณะที่กลุ่มเครื่องจังหวะมีบทบาทสำคัญกับการบรรเลงด้วยแนวคิดแวมป์ เนื้อดนตรีที่ปรากฏมีลักษณะเนื้อดนตรีโฮโมโฟนีร่วมไปกับบทบาทเครื่องดนตรี หากพิจารณาภาพรวมทั้งหมดพบว่า ช่วงนำเข้าบทประพันธ์เสมือนเป็นการเชื้อเชิญผู้ฟัง ด้วยบทบาทจากเครื่องดนตรี 2 ชิ้นคือทรัมเป็ตและเปียโน จากนั้นจึงตามด้วยกลุ่มเครื่องลมและดำเนินเข้าสู่ท่อนต่าง ๆ โดยท่อน A ถึงท่อน C บทบาทกลุ่มเครื่องลมและกลุ่มเครื่องจังหวะทำหน้าที่บรรเลงร่วมกัน และบทประพันธ์เพลง เดวิสฟินอมินอน จบลงด้วยบทบาทจากกลุ่มทรัมเป็ต ปัญหาและอุปสรรค หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่กระบวนการสำหรับการจัดทำงานวิจัยสร้างสรรค์นี้ ล้วนได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด 19 การรวมกลุ่มเพื่อฝึกซ้อมร่วมกันจำเป็นต้องดำเนินไปภายใต้มาตรการต่าง ๆ การแบ่งเป็นกลุ่มย่อยเป็นทางเลือกสำหรับการแก้ปัญหาการรวมกลุ่มขนาดใหญ่ ผสมผสานไปกับการใช้ช่องทางออนไลน์สำหรับการติดต่อสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจกับเหล่านักดนตรี ซึ่งจากประสบการณ์ของผู้ประพันธ์พบว่า การรวมกลุ่มสำหรับการฝึกซ้อมร่วมกันของนักดนตรีทั้งหมดเป็นสิ่งสำคัญ การสื่อสารกับเหล่านักดนตรีขณะฝึกซ้อมร่วมกันทั้งหมดสามารถช่วยสร้างความเข้าใจและแก้ปัญหาได้เป็นอย่างดี แต่ด้วยสถานการณ์โควิด

การสร้างสรรค์ผลงานดนตรีแจ๊สด้วยแนวคิดสหวิชา สู่การสร้างนวัตกรรมงานวิจัย Read More »

Scroll to Top