ยุทธศาสตร์ที่ 2

การเตรียมตัวรับการประเมินเพื่อขอรับรองมาตรฐานจริยธรรมการวิจัยในคนระดับสากล

รางวัลชมเชย ปีการศึกษา 2566 ยุทธศาสตร์ที่ 2 : KR 2.5.2 การเตรียมตัวรับการประเมินเพื่อขอรับรองมาตรฐานจริยธรรมการวิจัยในคนระดับสากลจาก The Strategic Initiative for Developing Capacity in Ethical Review (SIDCER) และ Forum for Ethical Review Committee in Asia and Western Pacific region (FERCAP) ผู้จัดทำโครงการ​ รศ.ดร.ปานันท์ กาญจนภูมิ สำนักงานจริยธรรมการวิจัย หลักการและเหตุผล/ความสำคัญ/ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้​            ปัจจุบันจริยธรรมการวิจัยในคน เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากสำหรับงานวิจัยที่มีคนเป็นส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม เพราะการเผยแพร่งานวิจัยที่มีคนเป็นส่วนร่วม ในวารสารนานาชาติ ที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน จะมีการขอใบรับรองการพิจารณาจริยธรรมการวิจัยในคน จากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในคน ของงานวิจัยชิ้นนั้นๆ และที่สำคัญถ้างานวิจัยชิ้นนี้ ผู้วิจัยจะใช้เป็นผลงานในการยื่นขอตำแหน่งวิชาการ จำเป็นต้องแนบใบรับรองการพิจารณาจริยธรรมการวิจัยในคน จากคณะ-กรรมการจริยธรรมการวิจัยในคนมาด้วย ตามประกาศ ก.พ.อ. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ และศาสตราจารย์ พ.ศ. 2564 ข้อที่ (6) หากผลงานทางวิชาการมีการใช้ข้อมูลการทำการวิจัยในคนหรือสัตว์ ผู้ขอจะต้องยื่นหลักฐานแสดงการอนุญาตจากคณะกรรมการจริยธรรมของสถาบันที่มีการดำเนินการ            ด้วยความจำเป็นข้างต้นทางมหาวิทยาลัยรังสิต จึงได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในคน มหาวิทยาลัยรังสิต หรือ Rangsit University – Ethical Review Board (RSU-ERB) หรือ เรียกย่อๆว่า คณะกรรมการฯ ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2560 เพื่อออกใบรับรองจริยธรรมการวิจัยในคน ให้กับ อาจารย์ นักวิจัย และนักศึกษา เพื่อให้การดำเนินการของคณะกรรมการฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นที่เชื่อถือในวงการวิชาการทั้งภายใน และภายนอกมหาวิทยาลัย ตลอดจนในระดับนานาชาติ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องให้หน่วยงานอิสระที่มีหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของคณะกรรมการจริยธรรมในคนมาตรวจสอบการทำงานของคณะกรรมการฯ โดย The Strategic Initiative for Developing Capacity in Ethical Review (SIDCER) และ Forum for Ethical Review Committee in Asia and Western Pacific region (FERCAP) หรือที่เรียกสั้นๆว่า SIDCER-FERCAP เป็นหน่วยงานอิสระระดับนานาชาติ ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของคณะกรรมการจริยธรรมในคนให้กับหน่วยงานต่างๆ ทั่วโลก คณะกรรมการจริยธรรมในคนของหน่วยงานใดที่ได้รับการรับรองจาก SIDCER-FERCAP จะเป็นคณะกรรมการจริยธรรมในคนที่ได้รับความเชื่อถือระดับสากล  ดังนั้นเพื่อเป็นการยกระดับความน่าเชื่อถือ ความเป็นสากล ความเป็นที่รู้จักและยอมรับของคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในคนของมหาวิทยาลัยรังสิต คณะกรรมการฯ จึงได้เตรียมความพร้อมเพื่อให้ SIDCER-FERCAP เข้ามาประเมินการดำเนินการ           ดังนั้นเพื่อให้การดำเนินการของคณะกรรมการฯ ได้รับการรับรองการดำเนินการจาก SIDCER-FERCAP สำนักงานจริยธรรมการวิจัยจึงได้ทำการเตรียมความพร้อมเพื่อรับการประเมิน โดยมีจัดการความพร้อมทั้งทางด้าน สถานที่, คุณสมบัติของคณะกรรมการฯ, เอกสารการประเมิน, Standard Operating Procedures หรือ SOP และระบบการดำเนินการของสำนักงานจริยธรรมการวิจัยที่จะคอยสนับสนุนการปฏิบัติงานของคณะกรรมการฯ ประเภทความรู้และที่มาความรู้ ความรู้แบบชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) ความรู้จากคลัง ความรู้ของเว็บไซต์ระบบการจัดการความรู้ KM Rangsit University (https://hrd.rsu.ac.th/km/)อื่นๆ : ระเบียบวิธีดำเนินการมาตรฐาน (Standard Operating Procedures) ความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวคน (Tacit Knowledge) เจ้าของความรู้/สังกัด  รศ.ดร.ปานันท์ กาญจนภูมิ สำนักงานจริยธรรมการวิจัย วิธีการดำเนินการ 1. วิธีการดำเนินการ   ดำเนินการตามขั้นตอน plan, do, check, act ดังนี้ 1. ขั้นตอนการเตรียมความพร้อม ด้านโครงสร้าง และองค์ประกอบของคณะกรรมการฯ2. ขั้นตอนการเตรียม Standard Operating Procedures หรือ SOP3. ขั้นตอนการเตรียมความพร้อม ด้านการพิจารณาโครงการโดยคณะกรรมการฯ4. ขั้นตอนการเตรียมความพร้อม ด้านการติดตามผลหลังจากได้รับหนังสือรับรอง และการติดตามการปิดโครงการ5. ขั้นตอนการเตรียมความพร้อม ด้านเอกสารและการจัดการเอกสาร 1. ขั้นตอนการเตรียมความพร้อม ด้านโครงสร้าง และองค์ประกอบของคณะกรรมการฯ ในขั้นตอนนี้แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ     1.1 คุณสมบัติของคณะกรรมการฯ ในการคัดเลือกคณะกรรมการฯ นั้นคณะกรรมการฯ จะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้         – ทุกคนต้องมีใบประกาศนียบัตรผ่านการอบรมจริยธรรมการวิจัยในคนมาตรฐานของ GCP, SOP         – มีความรู้ความสามารถในศาสตร์ของตนเป็นอย่างดี         – มีการเซ็นต์รับรองการปกปิดความลับ และ conflict of interest     1.2 สำนักงาน และงบประมาณ         – คณะกรรมการฯ มีสำนักงานเป็นของตนเอง คือสำนักงานจริยธรรมการวิจัยในคน ห้อง 504 ชั้น 5 อาคารอาทิตย์            อุไรรัตน์ และ มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานเต็มเวลาในส่วนของงานจริยธรรมการวิจัยจำนวน 2 คน คือคุณวุฒิศักดิ์ อยู่จำนงค์            และคุณเบญจพร เกาะแก้ว ดังแสดงในรูปที่ 1         – สำนักงานจริยธรรมการวิจัย มีงบประมาณเป็นของตนเอง โดยได้ทำเรื่องขอแยกงบจากสถาบันวิจัย ตั้งแต่ปี 2566     1.3 การฝึกอบรม          สำนักงานจริยธรรมการวิจัยได้มีการจัดการอบรมในเรื่องหัวข้อจริยธรรมการวิจัยในคนในมาตรฐานของ GCP, SOP           เป็นประจำทุกปี 2. ขั้นตอนการเตรียม Standard Operating Procedures หรือ SOP        คณะกรรมการฯได้ปรับปรุง SOP ให้มีความทันสมัย และทำปฏิบัติได้จริง โดยมีการปรับปรุงเล่ม SOP version 2.0 เป็นเล่ม SOP version 2.1 ดังแสดงในรูปที่ 2 โดยเนื้อหาหลักที่แก้ไขหลัก เป็นแนวทาง และระยะเวลาในการพิจารณาโครงการ ให้สามารถทำได้จริงตามที่ได้ระบุไว้ในเล่ม SOP 3. ขั้นตอนการเตรียมความพร้อม ด้านการพิจารณาโครงการโดยคณะกรรมการฯ        ในขั้นตอนนี้สำนักจริยธรรมการวิจัยได้จัดการอบรมให้ความรู้ และเพิ่มพูนประสบการณ์กับคณะกรรมการฯ เป็น ประจำทุกปี ดังแสดงในรูปที่ 3 เพื่อให้คณะกรรมาการฯ มีความรู้เกี่ยวกับข้อกำหนดจริยธรรมการวิจัยในคนที่แม่นยำ สามารถที่จะนำเอาความรู้เกี่ยวกับข้อกำหนดต่างๆมาพิจารณาโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจารกนี้สำนักงานจริยธรรมการวิจัยยังได้ประชาสัมพันธ์การอบรมจริยธรรมการวิจัยในคนที่จัดโดยหน่วยงานภายนอกให้คณะกรรมการฯได้ทราบ เพื่อกรรรมการที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมอบรมได้ 4. ขั้นตอนการเตรียมความพร้อมด้านการติดตามผลหลังจากได้รับหนังสือรับรอง และการติดตามการปิดโครงการ        สำนักงานจริยธรรมมีการใช้ระบบสารสนเทศในการติดตามโครงการที่ได้รับหนังสือรับรองแล้ว และโครงการที่ถึงกำหนดส่งรายงานการปิดโครงการ โดยจะมีการทำหนังสือติดตามส่งไปให้หัวหน้าโครงการ 1 อาทิตย์ ก่อนจะถึงกำหนด 5. ขั้นตอนการเตรียมความพร้อม ด้านเอกสารและการจัดการเอกสาร        สำนักงานจริยธรรมการวิจัย มีระบบในการจัดการเอกสารอย่างมีระบบ และให้ความสำคัญเกี่ยวกับความลับ โดยมีการแบ่งเอกสารออกเป็น active document คือ เอกสารของโครงการที่ยังไม่ปิดโครงการ และ inactive document คือเอกสารของโครงการที่ปิดโครงการแล้ว ซึ่งเอกสารต่างๆจะถูกเก็บในตู้เก็บเอกสาร ในห้องเก็บเอกสารภายในสำนักงานจริยธรรมการวิจัย โดยที่ห้องเอกสารนั้นจะมีการติดตั้งกุญแจ digital ซึ่งมีเพียงเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเท่านั้นถึงจะทราบรหัสเปิดห้อง เพื่อป้องกันเนื้อหาในโครงการรั่วไหล ดังแสดงในรูปที่ 4 2. Prototype testing in an operational environment – DO          หลังจากที่สำนักงานจริยธรรมการวิจัยได้เตรียมตัวรับการประเมินเพื่อขอรับรองมาตรฐานจริยธรรมการวิจัย ในคนระดับสากลจาก The Strategic Initiative for Developing Capacity in Ethical Review (SIDCER) และ Forum for Ethical Review Committee in Asia and Western Pacific region (FERCAP) แล้วนั้น ในวันที่ 28– 30 สิงหาคม 2566 คณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในคน มหาวิทยาลัยรังสิต ก็ได้รับการตรวจรับรองคุณภาพการปฏิบัติงานของคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในคน ณ สำนักงานจริยธรรมการวิจัย ห้อง 1-505 และห้องประชุม 1-301 มหาวิทยาลัยรังสิต โดยมีกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิ ทั้งจากในประเทศ และต่างประเทศ ดังนี้        1. ศ. เกียรติคุณ ดร. พญ. จันทรา กาบวัง เหล่าถาวร, Survey Coordinator        2. ผศ. ดร. พญ. พรรณทิพา ว่องไว, Lead Surveyor        3. รศ. ดร. พญ. ศิริอนงค์ นามวงศ์พรหม, Local Surveyor        4. ดร. พญ. อรวรรณ ศิลปะกิจ, Local Surveyor        5. Dr. Sangeeta Desai, Foreign Surveyor From India        6. รศ.ดร. อารีวรรณ เชี่ยวชาญวัฒนา Assistance Surveyor        7. กรรมการจากหน่วยงานรัฐ และเอกชน อีกจำนวน 15 คน           3. Proven through successful mission operation, Objectives and Key Results for Knowledge Management – CHECK           หลังจากที่ จาก The Strategic Initiative for Developing Capacity in Ethical Review (SIDCER) และ Forum for Ethical Review Committee in Asia and Western Pacific region (FERCAP) ได้เข้ามาประเมินการดำเนินงานของคณะกรรมฯ ระหว่างวันที่ 28-30 สิงหาคม 2566 แล้วนั้น หลังจากการประเมินทาง SIDERFERCAP ได้ให้ระกาศนียบัตรการเข้ามาตรวจประเมินการดำเนินงานของคณะกรรมฯ ดังแสดงในรูปที่ 6 ใบ ประกาศนียบัตรนี้ไม่ได้แปลว่าคณะกรรมการฯ จะผ่านการประเมิน โดย SIDER-FERCAP จะส่งข้อแก้ไขต่างๆมาให้ ทางคณะกรรมการฯ แก้ไขเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 หลังจากแก้ไขเป็นที่เรียบร้อยแล้วคณะกรรมการฯ จะส่งข้อแก้ไข และ action planไปให้ทาง SICER-FERCAP พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ตอนนี้คณะกรรมการฯ อยู่ในขั้นตอนการแก้ไขตามข้อเสนอแนะ และจัดทำ action plan เพื่อส่งกลับไปให้ทาง SIDER-FERCAP พิจารณา คาดว่าภายในเดือนมีนาคม 2567 จะส่งเอกสาร และ action plan กลับไปให้ SIDER-FERCAP ข้อเสนอแนะในการดำเนินการในอนาคต หรือการดำเนินการเพื่อสามารถนำไปสู่การเป็น Good Practice         ถ้าคณะกรรมการฯ ได้ผ่านการรับรองจาก SIDER-FERCAP คณะกรรมการฯ จะเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งแรกของประเทศไทยที่ได้รับการรอง ซึ่งจะสร้างชื่อเสียงให้กับมหาวิทยาลัยรังสิตเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการวิชาการและการวิจัย

การเตรียมตัวรับการประเมินเพื่อขอรับรองมาตรฐานจริยธรรมการวิจัยในคนระดับสากล Read More »

กระบวนการและขั้นตอนการขอรับจดทะเบียนทรีพย์สินทางปัญญา

รางวัลชมเชย ปีการศึกษา 2566 ยุทธศาสตร์ที่ 2 : KR 2.3.1 กระบวนการและขั้นตอนการขอรับจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา ผู้จัดทำโครงการ​ คุณณัฐวรรณ วาเรืองศรี สำนักงานบ่มเพาะธุรกิจและทรัพย์สินทางปัญญา หลักการและเหตุผล/ความสำคัญ/ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้​           ในปัจจุบันเรื่องทรัพย์สินทางปัญญามีบทบาทสําคัญอย่างมากในสถาบันการศึกษา มีการตื่นตัว ในเรื่องของการบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อนํามาใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ซึ่งจะส่งผลก่อให้เกิดรายได้กลับสู่สถาบันการศึกษาและบุคลากรที่มีส่วนในการสร้างสรรค์ทรัพย์สินทางปัญญา โดยมหาวิทยาลัยรังสิตก็เป็นองค์กรหนึ่งที่ให้ความสำคัญและเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของมหาวิทยาลัย  ดังนั้นการใช้ประโยชน์ รวมถึงทั้งการให้ความคุ้มครองด้านทรัพย์สินทางปัญญานั้นๆ แก่นักวิจัยเ ซึ่งจะเป็นการป้องกันมิให้ผู้อื่นแสวงหาประโยชน์จากผลงานนั้น ๆ นอกจากนี้ยังเป็นการจูงใจและกระตุ้นให้เกิดการประดิษฐ์คิดค้นและพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีสิ่งใหม่ๆ ขึ้นอย่างต่อเนื่อง           สำนักงานบ่มเพาะธุรกิจและทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งอยู่ภายใต้กำกับดูแลของฝ่ายวิสาหกิจ เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลและรับผิดชอบในเรื่องการขอยื่นจดทรัพย์สินทางปัญญาของบุคลากร มหาวิทยาลัยรังสิต จากอดีตที่ผ่านมาจนถึง ณ.ปัจจุบัน พบว่า บุคลากรของมหาวิทยาลัย มีการขอยื่นจดทรัพย์สินทางปัญญามีปริมาณค่อนข้างน้อย ซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุกระบวนและขั้นตอนในการยื่นจดทรัพย์สินทางปัญญา มีกระบวนการที่ค่อนข้างยุ่งยาก ในเรื่องการจัดเตรียมเอกสารในการยื่น ซึ่งส่งผลให้การยื่นจดทะเบียนจนกระทั่งได้รับใบรับรองใช้เวลาค่อนข้างยาวนาน  บางครั้งอาจมีมากถึง 3-5 ปี ดังนั้นหากมีหน่วยงานที่ให้คำปรึกษา ตั้งแต่การร่างคำขอและการทำเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และมีเครื่องมือที่ทุกคนสามารถเข้ามาใช้งาน และทำงานในทุกๆ สถานที่ได้ตลอดเวลา ก็จะเป็นการอำนวยความสะดวก และช่วยให้บุคลากรทำงานง่ายขึ้น และอาจทำให้มีการตื่นตัว ในเรื่องการยื่นจดทรัพย์สินทางปัญญามากขึ้น   ประเภทความรู้และที่มาความรู้ ความรู้แบบชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) : เว็บไซต์กรมทรัพย์สินทางปัญญา (https://www.ipthailand.go.th/th/)   เว็บไซต์สำนักงานบ่มเพาะธุรกิจและทรัพย์สินทางปัญญา (https://biip.rsu.ac.th/patent/)   วิธีการดำเนินการ 1. วิธีการดำเนินการ   ดำเนินการตามขั้นตอน plan, do, check, act ดังนี้ ผู้มีความประสงค์จะยื่นจดสิทธิบัตรการประดิษฐ์/อนุสิทธิบัตร  มีขั้นตอนในการดำเนินการดังนี้      ขั้นตอนและคำแนะนำในการยื่นคำขอจดสิทธิบัตร/อนุสิทธิบัตร (สำหรับบุคลากร มรส.) 1.ยื่นคำขอจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา โดยเตรียมข้อมูลการประดิษฐ์ เนื้อหารายละเอียดตามไฟล์ข้อ 1- 6 และส่งเป็นไฟล์รูปแบบ word มายัง E-mail: bsic@rsu.ac.th ท่านสามารถศึกษา ตัวอย่างการเขียนคำขอสิทธิบัตร/อนุสิทธิบัตร หรือ คำชี้แจงในการเตรียมคำขอ ได้ดังนี้ (ส่งไฟล์ Zip ให้ทางอีเมล์) แบบฟอร์ม Invention disclosure รายละเอียดการประดิษฐ์ รูปเขียน (ถ้ามี) ข้อถือสิทธิ บทสรุปการประดิษฐ์ หนังสือยืนยันประเภทในการยื่นคำขอสิทธิบัตรการประดิษฐ์อนุสิทธิบัตร 2.สำนักงานฯ ตรวจสอบและแก้ไขความถูกต้องของคำขอ และส่งให้ผู้ประดิษฐ์ตรวจสอบ 3.หากไม่มีข้อแก้ไขเพิ่มเติม เจ้าหน้าที่สำนักงานฯ จะจัดทำเอกสารประกอบ (หนังสือโอนสิทธิ) ส่งให้ผู้ประดิษฐ์และคณะลงนาม (โดยคณะผู้ประดิษฐ์แนบสำเนาบัตรประชาชน พร้อมรับรองสำเนาถูกต้อง ท่านละ 1 ฉบับ โดยไม่ต้องลงวันที่กำกับ) 4.สำนักงานฯ รวบรวมเอกสารและส่งให้สำนักงานนิติการ รองอธิการบดีฝ่ายบริหารลงนาม5.สำนักงานฯ ส่งเอกสารไปยังสำนักงานพาณิชย์จังหวัด หรือกรมทรัพย์สินทางปัญญา6.สำนักงานฯ จะนำส่งสำเนาเอกสารการจดทะเบียนให้กับทางผู้ประดิษฐ์ทุกครั้ง และผู้ประดิษฐ์สามารถเช็คสถานะของผลงานของตนเองได้ที่เว็บไซต์ https://biip.rsu.ac.th/patent/  2. Prototype testing in an operational environment – DO ผลการดำเนินการ การนำไปใช้ หรือการลงมือปฏิบัติจริง อุปสรรคหรือปัญหาในการทำงาน สำนักงานบ่มเพาะธุรกิจและทรัพย์สินทางปัญญา ได้จัดทำเวปไซต์ของหน่วยงานขึ้นมา เพื่อให้บุคลากรมหาวิทยาลัยรังสิตได้เข้าไปอ่านรายละเอียดและการดาวน์โหลดเอกสาร รวมถึงกระบวนการในการจัดทำเอกสาร และการติดตามเอกสารในแต่ละขั้นตอน และในอนาคตทางสำนักงานฯ จะมีตัวแทนสิทธิบัตรที่จะช่วยในการของการจัดทำเอกสารให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพื่อลดระยะเวลาในการได้รับใบรับรองทรัพย์สินทางปัญญาแบบสมบูรณ์                อุปสรรคหรือปัญหาในการทำงาน ซึ่งอาจส่งผลให้มีการยื่นจดทรัพย์สินยังมีปริมาณน้อย อาทิเช่น                -บุคลากรบางท่านไม่ทราบว่าในนามมหาวิทยาลัยรังสิต จะได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนด้านทรัพย์ทางปัญญา และไม่ต้องเดินทางไปดำเนินการด้วยตนเองที่กรมทรัพย์สินทางปัญญา                  -บุคลากรส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา สามารถเบิกค่าตอบแทนของผลงานได้และนำไปกรอกในข้อมูลประกันคุณภาพประจำปีการศึกษาเพื่อเพิ่มจำนวนค่าถ่วงน้ำหนักของผลงานด้านวิชาการได้           -บุคลากรที่เป็นผู้ประดิษฐ์ส่วนใหญ่มัก ไม่เข้าใจในเรื่องระยะเวลาและขั้นตอนการทำงานของกรมทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งจะขึ้นอยู่กับปริมาณการยื่นจดของทั้งประเทศ    3. Proven through successful mission operation, Objectives and Key Results for Knowledge Management – CHECK การตรวจสอบผลการดำเนินการ การนำเสนอประสบการณ์การนำไปใช้ สรุปและอภิปรายผล บทสรุปความรู้หรือความรู้ที่ค้นพบใหม่            ปัจจุบันทางสำนักงานบ่มเพาะธุรกิจและทรัพย์สินทางปัญญาได้จัดทำเว็บไซต์ https://biip.rsu.ac.th/patent/  ที่มีขั้นตอนการดำเนินงานที่ชัดเจน มีรายละเอียดของสถานะการจดทรัพย์สินทางปัญญา แบบ Real Time ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับบุคลากร   ข้อเสนอแนะในการดำเนินการในอนาคต หรือการดำเนินการเพื่อสามารถนำไปสู่การเป็น Good Practice           ปัจจุบันทางสำนักงานบ่มเพาะธุรกิจและทรัพย์สินทางปัญญาได้จัดทำเว็บไซต์ https://biip.rsu.ac.th/patent/  ที่มีขั้นตอนการดำเนินงานที่ชัดเจน มีรายละเอียดของสถานะการจดทรัพย์สินทางปัญญา แบบ Real Time ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับบุคลากร

กระบวนการและขั้นตอนการขอรับจดทะเบียนทรีพย์สินทางปัญญา Read More »

การสร้างหลักฐานเชิงประจักษ์ทางด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย

รางวัลชมเชย ปีการศึกษา 2566 ยุทธศาสตร์ที่ 2 : KR 2.2.3 การสร้างหลักฐานเชิงประจักษ์ทางด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย ในผู้ที่มีภาวะลองโควิด (Long COVID) เพื่อต่อยอดการพัฒนาสมุนไพรไทยสู่ตลาดโลก ผู้จัดทำโครงการ​ ดร.ภญ.ธิติยา ลักคุณะประสิทธิ์ วิทยาลัยเภสัชศาสตร์ หลักการและเหตุผล/ความสำคัญ/ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้​           ในปัจจุบันด้วยสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนทั้งในระยะเฉียบพลันและในระยะยาว ในระยะเฉียบพลันการติดโรคโควิด-19 มีผลกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันหลายอย่างที่เป็นสาเหตุให้เกิดกระบวนการอักเสบและเป็นเหตุให้การทำงานของอวัยวะหลายระบบล้มเหลวได้ ทั้งนี้ที่สำคัญการได้รับเชื้อโควิด-19 เข้าสู่ร่างกายหลังจากรักษาหายแล้ว แต่ผู้ได้รับเชื้อหลายรายยังมีอาการของบางระบบที่เป็นปัญหาและอุปสรรคของสภาวะสุขภาพ เนื่องจากระหว่างการติดเชื้อ ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเพื่อไปจับกับเซลล์โปรตีนของบางอวัยวะ ทำให้เกิดการอักเสบในร่างกาย เป็นผลให้อวัยวะนั้น ๆ ได้รับความเสียหาย ส่งผลกระทบไปทั่วร่างกาย เช่น อาการปอดบวม หรือ เนื้อปอดถูกทำลาย โดยระดับความรุนแรงจะขึ้นอยู่กับความรวดเร็วในรักษา และการกำจัดเชื้อโควิดในร่างกาย หรือที่เรียกว่าภาวะลองโควิด (Long COVID) โดยกลุ่มอาการนี้สามารถพบได้ถึงร้อยละ 30-50 ทั้งที่มีสาเหตุหลักจาก เครียดสะสม หรือเป็นผลข้างเคียงของยาที่ใช้ในระหว่างการรักษา เช่น ยาในกลุ่มสเตียรอยด์ โรคแฝง หรือบางรายอาจติดเชื้อโควิดซ้ำแต่คนละสายพันธุ์ พืชสมุนไพรไทยหลายชนิด ได้แก่ มะนาว ใบหญ้านาง ข่า พริกไทย ใบกัญชา ฯลฯ มีประวัติการใช้ตามภูมิปัญญาโดยใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารตลอดจนใช้สำหรับดูแลสุขภาพตลอดจนรักษาโรค ซึ่งมีผลการศึกษาในหลอดทดลองหลายการศึกษาที่สนับสนุนว่าพืชสมุนไพรเหล่านี้มีฤทธิ์ต้านออกซิเดชัน ลดกระบวนการอักเสบได้ ในบทบาทของการเป็นอาจารย์ผู้สอนของวิทยาลัยเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิตที่จะต้องมีภาระทั้งการสอน และการทำวิจัยควบคู่ไปด้วย ได้เล็งเห็นประโยชน์และความสำคัญของภูมิปัญญาไทยต่อการใช้พืชสมุนไพรชนิดต่าง ๆ ในการบำรุง ดูแล รักษาและฟื้นฟูสุขภาพ ทั้งนี้ในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเคลียร์-บีลอง พลัส ผสมใบกัญชา โดยบริษัทนารีฟาร์มา กรุ๊ป ที่มีส่วนประกอบของสมุนไพรชนิดต่าง ๆ ที่ผลิตออกมาในรูปแคปซูลที่สะดวกต่อการรับประทาน ซึ่งในเบื้องต้นมีผลกาวิจัยในหลอดทดลองที่สนับสนุนความปลอดภัยและประสิทธิผลของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวซึ่งได้มีการเผยแพร่บทความวิจัยในวารสารวิชาการระดับนานาชาติแล้ว ดังนั้นจึงมีโครงการศึกษาวิจัยประสิทธิผลในด้านการรักษาและฟื้นฟูผู้ป่วยภาวะลองโควิด ของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวในระดับคลินิกในมนุษย์เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงประจักษ์ต่อไป ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้           เรียนรู้การต่อยอดงานวิจัยเบื้องต้นเรื่อง การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบและต้านมะเร็งในหลอดทดลองของสมุนไพรไทยสูตรผสม (In vitro antioxidant, anti-inflammatory, and anticancer activities of mixture Thai medicinal plants) ที่ได้ดำเนินการสำเร็จต่อยอดขยายไปสู่การออกแบบการศึกษาในมนุษย์ในเชิงลึกและบูรณาการมากขึ้น บริบทการดำเนินการวิจัยที่เน้นการทำงานเป็นทีม ที่ประกอบด้วยนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญหลาย ๆ สาขา เพื่อให้งานวิจัยสัมฤทธิ์ผลดีและประหยัดเวลาในการดำเนินงาน ดังนั้นการสร้างทีมวิจัยและเครือข่ายทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัยจึงเป็นสิ่งสำคัญ การวางแผนงานที่สามารถปรับให้เข้ากับบริบทของงานวิจัย ทั้งนี้ที่สำคัญคือการดำเนินงานวิจัยในปัจจุบันต้องมุ่งเน้นบูรณาการในการต่อยอดสร้างมูลค่าจากผลลัพธ์ของที่เกิดจากกระบวนการวิจัย และการวางแผนสำหรับเผยแพร่บทความวิจัยในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ ประเภทความรู้และที่มาความรู้ ความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวคน (Tacit Knowledge) : เจ้าของความรู้/สังกัด  ดร.ภญ.ธิติยา ลักคุณะประสิทธิ์ และ ผศ.ดร.ภก.อภิรุจ นาวาภัทร  วิทยาลัยเภสัชศาสตร์ วิธีการดำเนินการ 1. วิธีการดำเนินการ   ดำเนินการตามขั้นตอน plan, do, check, act ดังนี้ ตั้งคำถามวิจัยและทบทวนวรรณกรรม เขียนโครงร่างวิจัย ขอรับรองจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัย เปิดรับสมัครอาสาสมัครร่วมโครงการ ดำเนินการวิจัยจนเสร็จสิ้น บันทึกข้อมูลและตรวจสอบข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ จัดทำรายงานการวิจัย เตรียมเผยแพร่ผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ 2. Prototype testing in an operational environment – DO ผลการดำเนินการ การนำไปใช้ หรือการลงมือปฏิบัติจริง อุปสรรคหรือปัญหาในการทำงาน          มีอาสาสมัครเข้าร่วมโครงการวิจัยครบตามจำนวนที่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัย มหาวิทยาลัยรังสิต โครงการวิจัยดำเนินการศึกษาวิจัยแล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลา ตลอดจนได้ผลการศึกษานำร่องเกี่ยวกับประสิทธิผลและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์เพื่อเป็นข้อมูลสนับสนุนการใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยเพื่อดูแลสุขภาพสำหรับผู้ที่มีภาวะลองโควิด เป็นแนวทางกำหนดแผนดำเนินงานวิจัยสมุนไพรไทยในอนาคต และเป็นข้อมูลให้แก่บริษัทนารีฟาร์มา กรุ๊ปเพื่อใช้วางแผนพัฒนาการผลิตและการตลาดเพื่อให้ตอบโจทย์กลุ่มประชาชนที่จะได้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์นี้ทั้งในและต่างประเทศ  นอกจากนี้ผลการวิจัยยังอยู่ในช่วงเตรียมบทความต้นฉบับสำหรับเผยแพร่ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ          3. Proven through successful mission operation, Objectives and Key Results for Knowledge Management – CHECK การตรวจสอบผลการดำเนินการ การนำเสนอประสบการณ์การนำไปใช้ สรุปและอภิปรายผล บทสรุปความรู้หรือความรู้ที่ค้นพบใหม่            การดำเนินการวิจัยได้รับการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ ทั้งที่เป็นสื่อภายในและภายนอกมหาวิทยาลัยรังสิต ผลการศึกษาวิจัยที่ได้จะนำไปสู่การเผยแพร่บทความวิจัยให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายถึงประสิทธิผลและความปลอดภัยของสูตรตำรับยาสมุนไพรที่คิดค้นโดยนักวิจัยชาวไทย และเป็นข้อมูลที่สนับสนุนประสิทธิผลและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเคลียร์-บีลอง พลัส ผสมใบกัญชา โดยบริษัทนารีฟาร์มา กรุ๊ป ตลอดจนเป็นการส่งเสริมการผลิตและการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มาจากธรรมชาติในประเทศไทย อันจะสืบเนื่องไปถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยซึ่งเป็นแหล่งของพืชสมุนไพรที่เป็นวัตถุดิบในการเตรียมผลิตภัณฑ์ดังกล่าว และการประชาสัมพันธ์สู่สังคมภายนอกอื่น ๆ ทำให้ประชาชนที่มีปัญหาสุขภาพอันเกี่ยวเนื่องกับภาวะลองโควิด ได้มีช่องทางและทางเลือกในการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพในการดูแลและส่งเสริมสุขภาพ อีกทั้งยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักในด้านการแพทย์ทางเลือกมากขึ้นด้วย ข้อเสนอแนะในการดำเนินการในอนาคต หรือการดำเนินการเพื่อสามารถนำไปสู่การเป็น Good Practice            การวิจัยทางคลินิกโดยใช้กลุ่มประชากรศึกษาเป็นมนุษย์มีข้อจำกัดหลายด้านทั้งด้านปัจจัยที่เกี่ยวเนื่องกับโรคที่เป็นสมมติฐานในการใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์ในการดูแล รักษาสุขภาพ อายุ เพศ การดำเนินโรค ข้อจำกัดทางด้านจริยธรรมการวิจัย ตลอดจนเศรษฐานะอันจะส่งผลต่อความสะดวกในการเดินทางเพื่อให้สามารถเข้าร่วมโครงการวิจัยได้อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอจนสิ้นสุดโครงการวิจัย ดังนั้นในกระบวนการสร้างเครื่องมือและเตรียมความพร้อมสำหรับดำเนินการวิจัย นักวิจัยควรมีการคำนวณกลุ่มประชากรศึกษาให้เหมาะสมอย่างเพียงพอ ตลอดจนการสร้างเกณฑ์การคัดเข้า หรือคัดออกของกลุ่มประชากรศึกษาต้องมีความรัดกุมเพื่อให้ประชากรศึกษาที่ตรงบริบทของงานวิจัยเพื่อให้ได้ผลการศึกษาวิจัยที่ชัดเจนและเที่ยงตรง ดังนั้นการเตรียมการให้มีความพร้อมให้ครอบคลุมปัจจัยด้านต่าง ๆ จึงเป็นข้อควรคำนึงพื้นฐานสำหรับการดำเนินการวิจัยทางคลินิกในมนุษย์ให้สำเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์

การสร้างหลักฐานเชิงประจักษ์ทางด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย Read More »

ทำอย่างไรจึงจะได้ตีพิมพ์ผลงานทางวิชาการระดับนานาชาติ

รางวัลดีเด่น ปีการศึกษา 2565 ยุทธศาสตร์ที่ 2 : KR 1.2.1, KR 1.2.3, KR 1.4.3, KR 1.4.5 ทำอย่างไรจึงจะได้ตีพิมพ์ผลงานทางวิชาการระดับนานาชาติ VDO Credit : สำนักงาน Wisdom Media ผู้จัดทำโครงการ​ รศ.ดร.อาภรณ์ ดีนาน ผศ.ดร.รัชนี นามจันทรา ผศ.ดร.วารินทร์ บินโฮเซ็น ผศ.ดร.น้ำอ้อย ภักดีวงศ์ ผศ.ดร.ขนิตฐา หาญประสิทธิ์คำ คณะพยาบาลศาสตร์​ หลักการและเหตุผล/ความสำคัญ/ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้​          คณะผู้จัดทำการจัดการความรู้เป็นอาจารย์ประจำหลักสูตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต (พย.ม.) สาขาวิชาการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นหลักสูตรที่เน้นการผลิตผู้นำทางคลินิกที่สามารถพัฒนาคุณภาพการพยาบาลผู้ป่วยในวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุที่มีปัญหาสุขภาพซับซ้อนทั้งในภาวะเฉียบพลัน วิกฤต และเรื้อรัง โดยบูรณาการศาสตร์ทางการพยาบาล ศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง และการทำวิจัย อาจารย์ประจำหลักสูตรจึงจำเป็นต้องพัฒนาตนเองด้านความเชี่ยวชาญทางคลินิก การวิจัย และตำแหน่งทางวิชาการ เพื่อให้สามารถสอนและให้คำปรึกษาแก่นักศึกษาให้บรรลุตามความมุ่งหวังของหลักสูตรได้ การประกันคุณภาพการศึกษาภายในระดับหลักสูตรที่ผ่านมา อาจารย์ประจำหลักสูตรมีผลงานวิชาการตีพิมพ์เผยแพร่สูงกว่าเกณฑ์คุณภาพตลอดมา แต่เกือบทั้งหมดเป็นการเผยแพร่ในระดับชาติ จึงได้ข้อเสนอแนะให้พัฒนาการเผยแพร่ผลงานในระดับนานาชาติซึ่งแสดงถึงคุณภาพของผลงานที่เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติให้มากขึ้น        ความรู้สำคัญที่นำมาใช้ คือ กระบวนการวิจัย การเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ และความรู้/แนวปฏิบัติจากคลังความรู้ของระบบการจัดการความรู้ KM Rangsit University ปีการศึกษา 2563เรื่อง “ทำอย่างไรที่จะได้รับการเผยแพร่บทความในวารสารนานาชาติ” ของ ผศ.ดร.มนพร ชาติชำนิ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งเสนอกระบวนการปฏิบัติ 7 องค์ประกอบ ได้แก่1. มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางที่สนใจทางด้านคลินิก2. กล้าและมีแนวคิดจะเขียนสื่อองค์ความรู้ที่ได้จากการศึกษาของตนเองในรูปแบบเชิงบูรณาการระหว่าง art and science ในการใช้ภาษาอังกฤษที่จะนำความรู้ที่ได้จากการวิจัยและสื่อออกมาให้คนอื่นได้เข้าใจด้วยภาษาอังกฤษ (To be valiantly accomplished)3. มีทีมวิจัยและเครือข่ายส่วนบุคคล4. แหล่งสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเผยแพร่บทความ5. อย่ายอมแพ้และอย่าถอดใจ6. Learning by doing7. ฝึกเขียน cover letter ประเภทความรู้และที่มาความรู้ ความรู้แบบชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) : ความรู้จากคลังความรู้ของเว็บไซต์ระบบการจัดการความรู้ KM Rangsit University (https://hrd.rsu.ac.th/km/)ความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวคน (Tacit Knowledge) : เจ้าของความรู้ วิธีการดำเนินการ 1. วิธีการดำเนินการ    ในปี พ.ศ. 2565 อาจารย์ประจำหลักสูตรมีการตีพิมพ์ผลงานทางวิชาการระดับนานาชาติมากขึ้น โดยใช้องค์ประกอบ 7 ประการข้างต้น ร่วมกับการดำเนินตามกระบวนการ ดังนี้1. ดำเนินการวิจัยตามความเชี่ยวชาญของตน ต้องเป็นงานวิจัยที่มีกระบวนการวิจัยที่มีคุณภาพ ทำเป็นทีม โดยทำกับเครือข่ายนักวิจัยต่างชาติ ต่างสถาบัน หรือกับสหสาขาวิชาชีพ และควรมีแหล่งทุนสนับสนุน เพื่อสามารถใช้สนับสนุนการตีพิมพ์บทความวิจัยในวารสารที่มีคุณภาพในระดับนานาชาติ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง2. มองหาวารสารเป้าหมายระดับนานาชาติ เลือกวารสารที่มีคุณภาพ อยู่ในฐานข้อมูลที่เป็นที่ยอมรับ เข้ากับประเด็นการศึกษาของเรา และพิจารณาระยะเวลาที่ใช้ในการตีพิมพ์บทความในวารสารนั้น ๆ ซึ่งจะระบุไว้ในแต่ละบทความ การเลือกวารสารเป้าหมายสามารถดูใน website: Scimago Journal Rank และเลือก subject areas ที่ตรงกับ area ของตน เช่น Nursing, Health Profession เป็นต้น (รายละเอียดดังไฟล์แนบ) และเลือกวารสารที่มีระยะเวลาที่ใช้ในการตีพิมพ์ไม่นาน3. เตรียมต้นฉบับบทความเป็นภาษาอังกฤษ การเตรียมต้นฉบับควรทำเป็นทีม และทำตามข้อกำหนด (guidelines) ของวารสารที่เลือก4. มีผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบการใช้ภาษาอังกฤษและคุณภาพของต้นฉบับบทความ ควรมีผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษาช่วยดูความถูกต้องของการใช้ภาษาอังกฤษ และมีผู้เชี่ยวชาญช่วยพิจารณาคุณภาพของบทความเบื้องต้น ก่อนการ submit5. ติดตามแก้ไขบทความตามข้อเสนอแนะของ peer review ตามกรอบเวลาที่วารสารกำหนด ผู้วิจัยควรติดตามผลการพิจารณาบทความจากวารสารอย่างสม่ำเสมอ และจัดสรรเวลาในการปรับแก้ไขบทความตามข้อเสนอแนะของ peer review ให้เสร็จทันภายในกรอบเวลาที่วารสารกำหนด ให้มองข้อเสนอแนะและการปรับแก้ไขเป็นสิ่งท้าทาย ทำให้เกิดการเรียนรู้ และพัฒนาตนเองอย่ายอมแพ้หรือถอดใจ 2. ผลการดำเนินการ การนำไปใช้ หรือการลงมือปฏิบัติจริง อุปสรรคหรือปัญหาในการทำงาน        ปี พ.ศ. 2565 อาจารย์ประจำหลักสูตร พย.ม. มีผลงานตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารระดันานาชาติที่อยู่ในฐานข้อมูล SCOPUS มากขึ้น โดยมีจำนวน 5 เรื่อง (ดังไฟล์ที่แนบมา) ดังนี้1. Chatchumni, M., Maneesri, S., & Yongsiriwit, K. (2022). Performance of the Simple Clinical Score (SCS) and the Rapid Emergency Medicine Score (REMS) to predict severity level and mortality rate among patients with sepsis in the emergency department. Australasian Emergency Care, 25(2), 121-125. https://doi.org/10.1016/j.auec.2021.09.002i2. Sirikulchayanonta, C., Sirikulchayanonta, V., Suriyaprom, K., and Namjuntra, R. (2022). Changing trends of obesity and lipid profiles among Bangkok school children after comprehensive management of the bright and healthy Thai kid project. BMC Public Health, 22, 1-10.3. Chatchumni, M., Eriksson, H., Mazaheri, M. (2022). Core components of an effective pain management education programme for surgical nurses: A Delphi technique. Int J Qual Stud Health Well-being, 17:1, 2110672. https://doi.org/10.1080/17482631.2022.21106724. Khuntee, W., Hanprasitkam, K., & Sumdaengrit, B. (2022). Effect of music therapy on postembolization syndrome in Thai patients with hepatocellular carcinoma: A quasi-experimental crossover study. Belitung Nursing Journal, 8(5), 396-404. http://doi.org/10.33546/bnj.22105. Witheethammasak, P., Deenan, A., Masingboon, K. (2022). A Causal Model of Asthma Control in Adults. Pacific Rim Int J Nurs Res, 26(4), 613-626.    ปัญหาและอุปสรรคที่พบ ได้แก่ ข้อจำกัดทางด้านการใช้ภาษาอังกฤษ ข้อจำกัดด้านเวลา ค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์สูง และการมีเครือข่ายจำกัด 3. การตรวจสอบผลการดำเนินการ การนำเสนอประสบการณ์นำไปใช้ สรุปและอภิปรายผล บทสรุปความรู้หรือความรู้ที่ค้นพบใหม่          ได้ความรู้เชิงกระบวการในการเลือกวารสารเป้าหมายระดับนานาชาติที่จะลงตีพิมพ์ และกระบวนการในการตีพิมพ์ผลงานวิชาการในระดับนานาชาติให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งกระบวนการประกอบด้วยขั้นตอน ดังนี้1. ดำเนินการวิจัยตามความเชี่ยวชาญของตน2. มองหาวารสารเป้าหมายระดับนานาชาติ3. เตรียมต้นฉบับบทความเป็นภาษาอังกฤษ4. มีผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบการใช้ภาษาอังกฤษและคุณภาพของต้นฉบับบทความ5. ติดตามแก้ไขบทความตามข้อเสนอแนะของ peer review ตามกรอบเวลาที่วารสารกำหนด กระบวนการในการตีพิมพ์บทความ ประยุกต์องค์ประกอบที่จะช่วยให้การเผยแพร่ผลงานในระดับวิชาการประสบความสำเร็จ ได้แก่ การมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางที่สนใจทางด้านคลินิก กล้าและมีแนวคิดจะเขียนสื่อองค์ความรู้ที่ได้จากการศึกษาของตนเองด้วยภาษาอังกฤษ (To be valiantly accomplished) มีทีมวิจัยและเครือข่ายส่วนบุคคล มีแหล่งสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเผยแพร่บทความ อย่ายอมแพ้และอย่าถอดใจ และเรียนรู้พัฒนาตนเองจากการปฏิบัติ ข้อเสนอแนะในการดำเนินการในอนาคต หรือการดำเนินการเพื่อสามารถนำไปสู่การเป็น Good Practice          1. การเลือกวารสารเป้าหมายในฐานข้อมูลระดับนานาชาติ อาจพิจารณาวารสารที่อยู่ในประเทศไทย ซึ่งมีอยู่หลายฉบับ ในสาขา Nursing ได้แก่ Pacific Rim International Journal of Nursing Research วารสารเล่มนี้พยายามช่วยเหลือนักวิจัยให้ได้ตีพิมพ์ โดยช่วยพิจารณาทั้งคุณภาพของงานวิจัย และความถูกต้องของภาษา มีผู้ทรงคุณวุฒิต่างชาติที่สามารถดูความถูกต้องทั้งเนื้อหาและภาษาได้ ใช้เวลาไม่นาน และค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์ไม่สูง ควรรวบรวมรายชื่อวารสารใน area ที่เกี่ยวข้อง ที่อยู่ในฐานข้อมูลระดับนานาชาติ และตั้งอยู่ในประเทศไทย เพื่อช่วยให้นักวิจัยในสาขามองหาวารสารเป้าหมายง่ายขึ้น        2. สถาบันควรให้การสนับสนุนการเผยแพร่ผลงานในวารสารระดับนานาชาติ โดยควรจัดให้มีหน่วยงานช่วยเหลือเรื่องการใช้ภาษาและการเขียนบทความเป็นภาษาอังกฤษ เช่น มี Writing Center เพื่อดูคุณภาพของผลงาน ก่อน submit และควรมีเงินทุนสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์เผยแพร่        3. การทำวิจัยควรทำเป็นทีม โดยสร้างเครือข่ายกับนักวิจัยต่างชาติ ต่างสถาบัน หรือกับสหสาขาวิชาชีพ ผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศ ควรสร้างและคงเครือข่ายความร่วมมือในการทำวิจัยกับอาจารย์ที่ปรึกษาและเพื่อนที่เป็นนักวิจัยต่างชาติ ดูรูปภาพ/กิจกรรมเพิ่มเติมที่นี่

ทำอย่างไรจึงจะได้ตีพิมพ์ผลงานทางวิชาการระดับนานาชาติ Read More »

การเพิ่ม citation หรือ h index ของนักวิจัย

รางวัลดีเด่น ปีการศึกษา 2565 ยุทธศาสตร์ที่ 2 : KR 2.1.2 การเพิ่ม citation หรือ h index ของนักวิจัย VDO Credit : สำนักงาน Wisdom Media ผู้จัดทำโครงการ​ ศ.ดร.สื่อจิตต์ เพ็ชร์ประสาน วิทยาลัยวิศวกรรมชีวการแพทย์ ​ หลักการและเหตุผล/ความสำคัญ/ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้​          1) ตีกรอบวิจัยที่สามารถสร้างผลงานที่มีคุณภาพและน่าสนใจ การสร้างผลงานวิจัยที่มีคุณภาพและน่าสนใจจะช่วยเพิ่มโอกาสให้ผลงานของนักวิจัยได้รับการอ้างอิงมากขึ้น โดยในการตีกรอบวิจัยนั้น ควรเลือกหัวข้อวิจัยที่เป็นปัญหาที่สำคัญ หรือปัญหาใหญ่ซึ่งมีนักวิจัยสนใจเป็นจำนวนมาก เนื่องจากหากเลือกทำงานวิจัยที่เป็นปัญหาเฉพาะขนาดเล็กจำนวน Citation ก็น้อยตาม และงานวิจัยที่เลือกทำนั้นได้มีการศึกษาหรือวิจัยมาบ้างแล้ว ตามความเชี่ยวชาญและยังมีช่องว่างในการวิจัยอยู่ ทั้งนี้ควรตระหนักว่าการสร้างผลงานที่น่าสนใจและมีคุณภาพสูงสามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการถูกอ้างอิงได้มากขึ้น         2) ส่งผลงานไปตีพิมพ์ในวารสารที่มี Impact Factor สูง การเลือกตีพิมพ์ผลงานในวารสารที่มี Impact Factor (IF) สูงจะช่วยเพิ่มโอกาสให้ผลงานวิจัยนั้น ๆ ได้รับการอ้างอิงมากขึ้น โดย Impact Factor เป็นตัวชี้วัดคุณภาพของวารสารว่ามีผู้อ่านและผู้ใช้งานมากน้อยเพียงใด การส่งผลงานไปตีพิมพ์ในวารสารที่มี Impact Factor สูงจะช่วยเพิ่มโอกาสให้ผลงานนั้นได้รับการอ้างอิงมากขึ้น เนื่องจากค่า Impact Factor ของวารสารวิชาการนั้นคำนวณมากจากจำนวนครั้งของการ Citation ใน 1 ปี หารด้วยจำนวนบทความที่ตีพิมพ์ทั้งหมดในปีนั้น ๆ         3) แชร์ผลงานของคุณ การแชร์ผลงานวิจัยในสื่อสังคมออนไลน์หรือเว็บไซต์ช่วยเพิ่มโอกาสในการถูกอ้างอิงได้มากขึ้น เช่น ResearchGate, LinkedIn, Twitter หรือ Facebook เป็นต้น ซึ่งทางคณะ วิทยาลัย มหาวิทยาลัย ควรเข้ามามีส่วนสำคัญในการจัดการเรื่องนี้อย่างจริงจัง ข้อควรระวัง คือ ระวังเรื่อง License ของงานวิจัยที่จะแชร์ ควรจะแชร์แค่ link และรายละเอียดของงานวิจัย แต่ไม่ควรแชร์รูป หรือแนบบทความทั้งฉบับ เนื่องด้วยอาจติดลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์        4) การนำเสนอในงานประชุมวิชาการ การนำเสนอในงานประชุมวิชาการช่วยเพิ่มโอกาสในการถูกอ้างอิงได้มากขึ้น โดยช่วยให้ผู้ที่เข้าร่วมงานประชุมวิชาการเห็นความสำคัญและคุณค่าของผลงานวิจัยที่ทำ และการนำไปสู่การอ้างอิงผลงานเมื่อเกิดการเผยแพร่ในภายหลัง        5) เข้าร่วมกลุ่มวิจัยและโครงการวิจัย การเข้าร่วมกลุ่มวิจัยและโครงการวิจัยช่วยเพิ่มโอกาสในการถูกอ้างอิงได้มากขึ้น โดยการเข้าร่วมกลุ่มวิจัยและโครงการวิจัยนั้นจะช่วยให้ผู้วิจัยได้รับความรู้และประสบการณ์ในการทำงานวิจัยร่วมกับผู้อื่น และมีโอกาสเข้าถึงผลงานวิจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการถูกอ้างอิงของผลงานของผู้วิจัยได้        6) ใช้คำสำคัญ (Keywords) และชื่อบทความที่ถูกต้องในผลงาน การใช้คำสำคัญและชื่อบทความที่ถูกต้องในผลงานวิจัย จะช่วยให้ผู้ค้นหาสามารถหาผลงานของผู้วิจัยง่ายขึ้น นอกจากนี้การใช้คำสำคัญที่เหมาะสมในผลงานของผู้วิจัยยังสามารถช่วยให้ผลงานของผู้วิจัยเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการถูกอ้างอิงของผลงานของผู้วิจัยได้        7) สร้างเครือข่าย (Networking) กับนักวิจัยอื่น การสร้างเครือข่ายกับนักวิจัยอื่นช่วยเพิ่มโอกาสในการถูกอ้างอิงได้มากขึ้น โดยในการสร้างเครือข่ายนั้น ผู้วิจัยสามารถแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กับผู้อื่น และมีโอกาสเข้าถึงผลงานวิจัย เช่น การเชิญ speaker จากสถาบันอื่น มาแลกเปลี่ยนความรู้        8) การเขียนบทความปริทัศน์ การเขียนบทความปริทัศน์จึงเป็นวิธีหนึ่งที่นักวิจัยสามารถใช้เพื่อเพิ่มโอกาสในการถูกอ้างอิงและเพิ่ม h index ของตนเองได้ โดยควรทำการเลือกหัวข้อที่น่าสนใจและเป็นที่ต้องการในวงการวิชาการ เพื่อให้มีผู้อ่านและผู้ใช้งานมากขึ้น นอกจากนี้ ยังควรเลือกวิธีการสร้างโครงสร้างบทความปริทัศน์เหมาะสมและช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจและได้รับประโยชน์จากผลงานวิจัยของผู้วิจัยอย่างเต็มที่ แต่ข้อจำกัดของการเขียนบทความปริทัศน์ คือ ผู้วิจัยจะต้องมีชื่อเสียงในวงการวิจัยในระดับหนึ่งจึงจะถูกเชิญให้เขียนบทความปริทัศน์ และบทความปริทัศน์ยังไม่สามารถนำไปใช้ในการขอตำแหน่งวิชาการในสายวิทยาศาสตร์อีกด้วย        9) การอ้างอิงบทความของตนเอง (Self-citation) การอ้างอิงผลงานตนเองหรือ Self-citation เป็นเรื่องที่มีข้อดีและข้อเสียเหมือนกับการอ้างอิงผลงานของผู้อื่น โดยข้อดีของ Self-citation คือช่วยเพิ่ม Citation และ h-index ของนักวิจัยเอง และช่วยสร้างความรู้สึกว่าผลงานของผู้วิจัยมีความสำคัญและมีผลกระทบในงานวิจัยที่ผู้วิจัยทำ อย่างไรก็ตามการ Self-citation นั้นไม่ควรเกิน 20% โดยอ้างอิงจาก https://clarivate.com/webofsciencegroup/essays/journal-self-citation-jcr/ อีกทั้งต้องเป็นการอ้างอิงที่ถูกต้องและมีความเหมาะสมโดยควรใช้ Self-citation เพียงแต่ในกรณีที่จำเป็น เช่น เป็นผลงานที่สอดคล้องกับผลงานที่ผู้วิจัยต้องการตีพิมพ์ หรือเป็นผลงานที่มีความสัมพันธ์กับงานวิจัยเก่าของผู้วิจัย โดยการ Self-citation นั้นต้องมีเหตุผลและเป็นไปตามแนวทางวิชาการของวงการนั้น ๆ โดยเป็นงานวิจัยที่ทำต่อเนื่องกันมาเป็นชุด ๆ ห้ามอ้างอิงผลงานตนเองในบทความวิชาการที่ไม่เกี่ยวข้องเป็นอันขาด ประเภทความรู้และที่มาความรู้ ความรู้แบบชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) : ความรู้จากการสั่งสมประสบการณ์ความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวคน (Tacit Knowledge) : เจ้าของความรู้ วิธีการดำเนินการ 1. วิธีการดำเนินการ   การดำเนินการโดยนำองค์ความรู้ตามที่กล่าวข้างต้นมาใช้โดยได้เลือกตีพิมพ์เฉพาะกับ Publisher ที่มีความน่าเชื่อถือและมีค่า Impact Factor สูง หลังจากตีพิมพ์ได้ลงรายละเอียดใน Social Media Platform ต่าง ๆ ของผู้วิจัย พบว่าได้ผลค่อนข้างดี มีผู้ตามไปอ่านบทความที่ตีพิมพ์มากขึ้น จำนวน citation มากขึ้น ได้รับคำเชิญให้เขียนบทความปริทัศน์จากสำนักพิพม์ต่าง ๆ และไปร่วมงานประชุมวิชาการในระดับนานาชาติที่เป็นการประชุมสำคัญของวงการวิจัยหลายครั้ง ได้รับเชิญให้ไปบรรยายในหลายงานประชุมวิชาการ โดยทุกครั้งที่ตีพิมพ์ระมัดระวังไม่ให้ Self-citation เกิน 20% และตรวจเช็คบ่อยๆใน Scopus, Google Scholar ว่างานวิจัยด้านที่ผู้วิจัยทำนั้นยังเป็นงานวิจัยหลักที่มีผู้สนใจอยู่หรือไม่ มีการนำองค์ความรู้ข้ามสาขามาใช้เพิ่มเติมเพื่อให้องค์ความรู้ใหม่และน่าสนใจอยู่เสมอ 2. ผลการดำเนินการ การนำไปใช้ หรือการลงมือปฏิบัติจริง อุปสรรคหรือปัญหาในการทำงาน        จำนวน Citation 893 ครั้ง และ h-index เท่ากับ 15 โดยในปี 2565 มีจำนวน Citation 176 ครั้ง ซึ่งเพิ่มขึ้นตามที่ต้องการทุกปีเมื่อดำเนินงานตามขั้นตอนที่ชี้แจงไว้โดยละเอียด  3. การตรวจสอบผลการดำเนินการ การนำเสนอประสบการณ์นำไปใช้ สรุปและอภิปรายผล บทสรุปความรู้หรือความรู้ที่ค้นพบใหม่          ได้ตรวจสอบผลของการดำเนินการตามขั้นตอนมาเป็นเวลา 5 ปี พบว่าการเพิ่มขึ้นของ citation เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ ข้อเสนอแนะในการดำเนินการในอนาคต หรือการดำเนินการเพื่อสามารถนำไปสู่การเป็น Good Practice         แม้ว่าการดำเนินการตามแผนที่กล่าวมานี้ทำให้จำนวน Citation และ h-index เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่แนวโน้มของงานวิจัยที่เลือกทำอาจจะต้องปรับเปลี่ยนอยู่เสมอให้ทันต่อประเด็นที่เป็นที่สนใจในปัจจุบัน กล่าวคือต้องตามกระแสของโลกให้ทัน โดยดูจากจำนวน Citation ต่อปีของตนว่าเพิ่มขึ้นหรือลดลงในอัตราอย่างไร ดูรูปภาพ/กิจกรรมเพิ่มเติมที่นี่

การเพิ่ม citation หรือ h index ของนักวิจัย Read More »

ขั้นตอนการขอรับรองจริยธรรมการวิจัยในคน

รางวัลชมเชย ปีการศึกษา 2565 ยุทธศาสตร์ที่ 2 : KR 2.5.2 ขั้นตอนการขอรับรองจริยธรรมการวิจัยในคน ผู้จัดทำโครงการ​ นายวุฒิศักดิ์ อยู่จำนงค์ สำนักงานจริยธรรมการวิจัย หลักการและเหตุผล/ความสำคัญ/ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้​         จริยธรรมการวิจัยในคน ตามหลักการที่บัญญัติไว้ในรายงานเบลมองต์ (Belmont Report) ประกอบไปด้วยหลักสำคัญ 3 ประการ คือ1. หลักความเคารพในบุคคล (Respect for person) เป็นการเคารพในศักดิ์ศรีความคนของผู้เข้าร่วมโครงการวิจัย2. หลักคุณประโยชน์ (Benefit) ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการวิจัยกับผู้เข้าร่วมโครงการวิจัย ชุมชนหรือสังคมในภาพรวม3. หลักความยุติธรรม (Justice) การพิจารณาคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการวิจัยด้วยวิธีการที่เป็นธรรมไม่อคติรวมทั้งการกระจายผลประโยชน์และความเสี่ยงจากการดำเนินโครงการวิจัยอย่างเท่าเทียมกัน จากหลักการและเหตุผลดังที่กล่าวนั้นงานวิจัย งานสร้างสรรค์ และ/หรือนวัตกรรม จึงจำเป็นต้องขอรับรองจริยธรรมการวิจัยในคน ในด้านศิลธรรม เพื่อเป็นการป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดได้ในกลุ่มตัวอย่างที่เป็นคน ไม่ว่าจะเป็นอันตรายทางกาย จิตใจ สถานะทางสังคม ฐานะทางการเงิน และอันตราจากกฎหมาย ทางด้านวิชาการ เป็นหลักฐานแนบ ในการส่งบทความตีพิมพ์ในวารสารชั้นนำ (สำหรับงานวิจัยที่เกี่ยวกับคน) เป็นหลักฐานแนบในการขอตำแหน่งวิชาการ (สำหรับงานวิจัยที่เกี่ยวกับคน) ตามประกาศ ก.พ.อ. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ และศาสตราจารย์ พ.ศ. 2564 ข้อที่ (6) หากผลงานทางวิชาการมีการใช้ข้อมูลการทำการวิจัยในคนหรือสัตว์ ผู้ขอจะต้องยื่นหลักฐานแสดงการอนุญาตจากคณะกรรมการจริยธรรมของสถาบันที่มีการดำเนินการ       ดังนั้นเพื่อการดำเนินการขอรับรองจริยธรรมการวิจัยในคน เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพช่วยให้ผลงานวิจัย งานสร้างสรรค์ และ/หรือนวัตกรรม ได้รับการรับรองจริยธรรมการวิจัยในคนอย่างถูกต้อง รวดเร็วทำให้ผลงานคุณภาพ สามารถเผยแพร่ผ่านช่องทางต่างๆ สำนักงานจริยธรรมการวิจัยจึงได้จัดทำ การจัดการความรู้ (KM) เพื่อให้ทุกคนในองค์กรสามารถเข้าถึงความรู้ และพัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้ รวมทั้งปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในเรื่อง  “ขั้นตอนการขอรับรองจริยธรรมการวิจัยในคน มหาวิทยาลัยรังสิต”  ประเภทความรู้และที่มาความรู้ ความรู้แบบชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) :ความรู้จากคลังความรู้ของเว็บไซต์ระบบการจัดการความรู้ KM Rangsit University (https://hrd.rsu.ac.th/km/), ระเบียบวิธีดำเนินการมาตรฐาน (Standard Operating Procedures) มหาวิทยาลัยรังสิตความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวคน (Tacit Knowledge) : เจ้าของความรู้  วิธีการดำเนินการ 1. วิธีการดำเนินการ   ขั้นตอนการขอรับรองจริยธรรมการวิจัยในคน มหาวิทยาลัยรังสิต มีขั้นตอนในการดำเนินการ ดังนี้             1. ขั้นเตรียมเอกสารเพื่อขอรับรอง และส่งเอกสารของรับรองจริยธรรมการวิจัยในคน 2. ขั้นตอนการพิจารณาประเภทของโครงการ และส่งกรรมการประเมินโครงการ 3. ขั้อตอนการพิจารณาโดยกรรมการจริยธรรมการวิจัยในคน 4. ขั้นตอนการส่งผลการพิจารณาให้นักวิจัย และแก้ไขตามผลการพิจารณาจากผู้ประเมิน 5. ขั้นตอนการออกหนังสือรับรอง และติดตามผลหลังจากการได้รับหนังสือรับรอง    1. ขั้นเตรียมเอกสารเพื่อขอรับรอง และส่งเอกสารของรับรองจริยธรรมการวิจัยในคน       ขั้นตอนเตรียมเอกสารเพื่อขอรับรองจริยธรรมการวิจัยในคน โดยจัดเตรียมเอกสาร ดังต่อไปนี้ จัดส่งเอกสารต้นฉบับ (Hard copy) จำนวน 1 ชุด และสำเนา 1 ชุด มาที่สำนักงานจริยธรรมการวิจัย มหาวิทยาลัยรังสิต และแนบไฟล์ Word & PDF ทั้งหมดส่ง Email: rsuethics@rsu.ac.th โดยระบุชื่อโครงการวิจัย และรายละเอียดขอให้ส่งทั้งเอกสารและรายละเอียดของผู้จัดส่ง (ชื่อ-นามสกุล , ที่อยู่, เบอร์โทรศัพท์ที่สามารถติดต่อได้, E-Mail สำหรับติดต่อกลับ)สำนักงานจริยธรรมการวิจัย มหาวิทยาลัยรังสิต ห้อง 504 ชั้น 5 อาคารอาทิตย์อุไรรัตน์ติดต่อประสานงาน :  นายวุฒิศักดิ์ อยู่จำนงค์ รองผู้อำนวยการสำนักงานจริยธรรมการวิจัย                                    เลขานุการคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในคนT. 02 791 5728 / 086 890 6621E-mail: rsuethics@rsu.ac.th   2. ขั้นตอนการพิจารณาประเภทของโครงการ และส่งกรรมการประเมินโครงการ       การขอรับรองจริยธรรมการวิจัยในคน และส่งกรรมการประเมินโครงการ มหาวิทยาลัยรังสิต แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้       2.1 Exemption process โครงการวิจัยในคนที่มีความเสี่ยงทางด้านจริยธรรมการวิจัยในคนอยู่ในระดับที่ไม่มีความเสี่ยงถึงความเสี่ยงต่ำมาก ประธานฯ/รองประธานฯ พิจารณาส่งโครงการวิจัยให้กรรมการ 1 คน ระยะเวลาในการพิจารณา 7 วันทำการ      2.2 Expedited process โครงการวิจัยในคนที่มีความเสี่ยงทางด้านจริยธรรมการวิจัยในคนอยู่ในระดับที่มีความเสี่ยงต่ำถึงความเสี่ยงปานกลาง ประธานฯ/รองประธานฯ พิจารณาส่งโครงการวิจัยให้กรรมการ จำนวน 2 คน ระยะเวลาในการพิจารณา 10 วันทำการ      2.3 Full board process โครงการวิจัยในคนที่มีความเสี่ยงทางด้านจริยธรรมการวิจัยในคนอยู่ในระดับที่มีความเสี่ยงค่อนข้างสูงถึงความเสี่ยงสูง ประธานฯ/รองประธานฯ พิจารณาส่งโครงการวิจัยให้กรรม 2 คน ระยะเวลาในการพิจารณา 14 วันทำการจัดประชุมพิจารณาเดือนละ 1 ครั้ง โดยต้องมีกรรมการภายนอก อย่างน้อย 1 คน และ Lay person อย่างน้อย 1 คน   3. ขั้นตอนการพิจารณาโดยกรรมการจริยธรรมการวิจัยในคน       กรรมการผู้ประเมินต้องเขียนอธิบายรายละเอียดการประเมินตามหัวข้อต่างให้ครบถ้วน โดยต้องเขียนอธิบายการประเมินในแต่ละหัวข้ออย่างละเอียด (ไม่ควรเขียนเพียง ดี ดีมาก เพียงพอ เป็นต้น) และต้องลงนามกำกับการประเมิน โดยมีประเด็นที่พิจารณา ดังนี้       1. ผู้วิจัยมีคุณสมบัติเหมาะสมกับการทำโครงการวิจัย       2. ผู้วิจัยชี้แจงเกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest; COI) ชัดเจน       3. ผู้เข้าร่วมวิจัย (Participants) ว่าอยู่ในกลุ่มใด และนักวิจัยปกป้องสิทธิของผู้เข้าร่วมวิจัยชัดเจน       4. การออกแบบการทดลอง ระเบียบวิธีวิจัยที่ถูกต้อง เหมาะสม       5. โครงงานวิจัยมีความเสี่ยงอย่างไร และมีประโยชน์อย่างไร เหมาะสมที่จะทำวิจัยหรือไม่อย่างไร กรณีที่มีความเสี่ยงมีการระบุการรักษา ดูแล กรณีเกิดเหตุสุดวิสัยหรือไม่       6. Inform Consent มีความถูกต้องหรือไม่ อย่างไร       7. การปกปิดความลับให้ผู้เข้าร่วมวิจัย เหมาะสม หรือไม่อย่างไร       8. เนื้อความและภาษาที่ใช้ใน Inform Consent เหมาะสมหรือไม่อย่างไร       9. ผู้เข้าร่วมงานวิจัยมีอิสระ เพียงพอในการเข้าร่วมโครงการ หรือไม่อย่างไร      10. มีการแนบ Consent/Assent forms       11. มีการชดเชยการเสียเวลาของผู้เข้าร่วมวิจัยอย่างเหมาะสม หรือไม่       12. มีการระบุวิธีการเข้าถึงผู้เข้าร่วมวิจัยและวิธีการได้รับ Inform Consent forms    4. ขั้นตอนการส่งผลการพิจารณาให้นักวิจัย และแก้ไขตามผลการพิจารณาจากผู้ประเมิน       เมื่อกรรมการประเมินผลส่งกลับมาที่สำนักฯ แล้ว เลขานุกรรมกรรมการจะเป็นผู้รวบรวมข้อมูล และสรุปส่งให้นักวิจัยทาง Email โดยให้นักวิจัยมีเวลาการแก้ไข ประมาณ 14 วันมีผลการประเมิน 4 ประเภทดังนี้    รับรอง    รับรองหลังจากปรับปรุงแก้ไขเรียบร้อยแล้ว    ปรับปรุงแก้ไข และนำเข้าพิจารณาใหม่    ไม่รับรอง        เมื่อนักวิจัยได้รับผลการประเมินแล้ว จะต้องดำเนินการแก้ไขให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดเวลาโดยนักวิจัยต้องแก้ไขทุกประเด็นที่ผู้ประเมินเสนอแนะมา โดยปรับแก้ไขโครงการวิจัยตามรูปแบบ ดังนี้       1. ขอให้ท่านจัดทำบันทึกข้อความซึ่งมีการระบุรหัสโครงการวิจัยและชื่อเรื่องพร้อมระบุรายละเอียดการปรับแก้ไขโครงการวิจัยลงในตารางข้างล่างนี้ และขอให้หัวหน้าโครงการวิจัยลงนามทั้งในบันทึกข้อความและในแบบเสนอโครงการวิจัยฯ หน้าสุดท้าย       2. ขอให้ท่านทำ highlight หรือขีดเส้นใต้ในเอกสารที่ปรับแก้ไขแล้วมาด้วย จำนวน 1 ชุด พร้อมแนบสำเนาเอกสารอีก จำนวน 1 ชุด ซึ่งไม่มีการ highlight เพื่อจะได้ประทับตราสำนักงานคณะกรรมการจริยธรรมฯ ให้ท่านนำไปดำเนินการวิจัยต่อไป (รวมทั้งหมด 2 ชุด)   5. ขั้นตอนการออกหนังสือรับรอง และติดตามผลหลังจากการได้รับหนังสือรับรอง       เมื่อแก้ไขตามผลการประเมิน และประธานฯ / รองประธานฯ พิจารณาความถูกต้อง และออกหนังสือรับรอง 2 แบบ ดังนี้       1. เอกสารรับรองโครงการวิจัย (Certificate of Approval) สำหรับโครงการวิจัยประเภท Expedited Review หรือ Full Board Review       2. เอกสารยืนยันการยกเว้นการรับรอง (Documentary Proof of Exemption) สำหรับโครงการวิจัยประเภท Exemption Review       การติดตามผลหลังจากได้รับหนังสือรับรองแล้ว หรือ การรายงานความก้าวหน้าของโครงการวิจัย (Progress Report) ผู้วิจัยจะต้องรายงานความก้าวหน้าของโครงการวิจัยเกี่ยวกับจำนวนผู้เข้าร่วมวิจัยและการถอนตัวออกจากโครงการวิจัยปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการวิจัยและเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่กำหนดอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือมากกว่าขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของโครงการวิจัยเพื่อเป็นข้อมูลในการติดตามโครงการวิจัยและต่ออายุการรับรอง (หากจำเป็น) เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดใน ICH-GCP ข้อ3.1.4 ที่ระบุว่า ERB/IEC ควรพิจารณาทบทวนการวิจัยที่ดำเนินการอยู่อย่างต่อเนื่องเป็นระยะตามความเหมาะสมกับระดับความเสี่ยงต่ออาสาสมัครอย่างน้อยปีละครั้ง       เพื่อให้ขั้นตอนการขอรับรองจริยธรรมการวิจัยในคน มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในแต่ละปีจะมีการจัดฝึกอบรมให้นักวิจัย เพื่อให้ดำเนินการตามขั้นตอนได้ถูกต้องตามหลักการขอรับรอง โดยจัดฝึกอบรม หัวข้อ “เทคนิคการกรอกแบบฟอร์มเพื่อยื่นขอรับรองจริยธรรมการวิจัยในคน”   2. ผลการดำเนินการ การนำไปใช้ หรือการลงมือปฏิบัติจริง อุปสรรคหรือปัญหาในการทำงาน    ผลการดำเนินการ โดยนำไปใช้ และการลงมือปฏิบัติจริง ทั้ง 5 ขั้นตอน 1. ขั้นเตรียมเอกสารเพื่อขอรับรอง และส่งเอกสารของรับรองจริยธรรมการวิจัยในคน 2. ขั้นตอนการพิจารณาประเภทของโครงการ และส่งกรรมการประเมินโครงการ 3. ขั้อตอนการพิจารณาโดยกรรมการจริยธรรมการวิจัยในคน 4. ขั้นตอนการส่งผลการพิจารณาให้นักวิจัย และแก้ไขตามผลการพิจารณาจากผู้ประเมิน และ 5. ขั้นตอนการออกหนังสือรับรอง และติดตามผลหลังจากการได้รับหนังสือรับรอง     ส่งผลให้เกิดอุปสรรค และปัญหาในการทำงานอยู่บ้าง เช่น ขั้นเตรียมเอกสารเพื่อขอรับรอง และส่งเอกสารของรับรองจริยธรรมการวิจัยในคน เนื่องจากเอกสารแบบฟอร์มต่างๆ มีเยอะทำให้เกิดความล่าช้าในการจัดทำเอกสาร และการจัดส่งเอกสารจะต้องส่งทั้งไฟล์เอกสาร และเอกสารต้นฉบับตัวจริง จึงจะสามารถดำเนินการขอรับรองจริยธรรมการวิจัยในคนต่อไปได้ และการติดต่อสื่อสารกันระหว่างคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในคน กับนักวิจัย ซึ่งเวลาอาจจะไม่ตรงกันจึงทำให้การติดต่อสื่อสารต้องติดต่อกันหลายๆ ช่องทางทั้งท่าง Email / Line / โทรศัพท์ ในเวลานอกราชการ เป็นต้น      เพื่อให้การดำเนินการตามขั้นตอนการขอรับรองจริยธรรมการวิจัยในคนมีประสิทธิภาพ และเป็นการกำจัดอุปสรรคหรือปัญหาในการดำเนินงานขอรับรองจริยธรรมการวิจัยในค คณะกรรมการจริยธรรมการวิจัย ในคนจึงมีการจัดฝึกอบรมให้นักวิจัย หัวข้อ “เทคนิคการกรอกแบบฟอร์มเพื่อยื่นขอรับรองจริยธรรมการวิจัยในคน” เพื่อให้ดำเนินการตามขั้นตอนได้ถูกต้องตามหลักการขอรับรองและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น 3. การตรวจสอบผลการดำเนินการ การนำเสนอประสบการณ์นำไปใช้ สรุปและอภิปรายผล บทสรุปความรู้หรือความรู้ที่ค้นพบใหม่    จากผลการดำเนินการ สรุปได้ว่า ขั้นตอนการขอรับรองจริยธรรมการวิจัยในคน มหาวิทยาลัยรังสิต 5 ขั้นตอน และการจัดฝึกอบรมให้นักวิจัย ดังเสนอมานั้น ส่งผลให้นักวิจัยขอรับรองจริยธรรมการวิจัยในคน ได้อย่างมีความเข้าใจในการขอรับรองและเกิดรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ทั้งคณะกรรมการฯ และนักวิจัย สามารถดำเนินการตามหน้าที่ของต้นเองได้อย่างสมบูรณ์ ส่งผลให้งานวิจัยที่เกียวข้องกับคนมีประสิทธิภาพ สามารถเผยแพร่ได้ทั้งในระดับชาติ และนานาชาติได้     การจัดทำการจัดการความรู้ (KM) ในหัวข้อ “ขั้นตอนการขอรับรองจริยธรรมการวิจัยในคน มหาวิทยาลัยรังสิต” ทำให้ทุกคนในองค์กรสามารถเข้าถึงความรู้ รวมทั้งปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยนำประสบการณ์จากการปฏิบัติจริง จากข้อเสนอแนะจากนักวิจัย กรรมการฯ มาจัดทำเป็นขั้นตอนในการขอรับรองจริยธรรมการวิจัยในคนที่เข้าใจง่าย ปฏิบัติได้จริงถูกต้องตามหลักการของรับรองจริยธรรมการวิจัยในคนทุกประการ  ข้อเสนอแนะในการดำเนินการในอนาคต หรือการดำเนินการเพื่อสามารถนำไปสู่การเป็น Good Practice          การขอรับรองจริยธรรมการวิจัยในคน เป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นสำหรับการผลงานวิจัย งานสร้างสรรค์ และ/หรือนวัตกรรม จึงจำเป็นต้องจัดอบรมขั้นตอนการขอรับรองจริยธรรมการวิจัยในคน มหาวิทยาลัยรังสิต โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ 1 . อาจารย์ นักวิจัย 2. นักศึกษา ที่ทำงานวิจัยเกี่ยวกันคน อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อให้สามารถขอรับรองจริยธรรมการวิจัยในคนได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และผลงานดังกล่าวสามารถเผยแพร่ได้ทั้งในระดับชาติและนานาชาติ

ขั้นตอนการขอรับรองจริยธรรมการวิจัยในคน Read More »

ทุนวิจัยภายนอกสายศิลปะ

รางวัลชมเชย ปีการศึกษา 2565 ยุทธศาสตร์ที่ 2 : KR 2.1.3, KR 2.2.1, KR 2.2.2, KR 2.3.1 ทุนวิจัยภายนอกสายศิลปะ ผู้จัดทำโครงการ​ ผศ.ธรรมศักดิ์ เอื้อรักสกุล คณะดิจิทัลอาร์ต หลักการและเหตุผล/ความสำคัญ/ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้​          การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วไปตามเทคโนโลยี ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีการติดต่อเชื่อมโยงกันมากขึ้น เรียกได้ว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างรวดเร็วชนิดทวีคูณจนยากจะคาดการณ์ได้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น การศึกษาในยุคนี้จำเป็นต้องมีการปรับตัวให้ทันต่อสถานการณ์ ไม่ใช่เพียงแค่ชั่วคราวหากแต่ต้องมีการดำเนินการให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่องอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ดังเช่น วิกฤตการณ์โรคระบาดโควิด-19 อันส่งผลกระทบต่อการเรียนการสอนของทุกสถาบันการศึกษาทั่วโลกจนต้องทำให้มีการปรับตัวคือ ได้มีการนำการเรียนการสอนแบบออนไลน์เข้ามาใช้อย่างจริงจัง สถานศึกษาหลายแห่งแม้ยังไม่เคยใช้ต่างพยามดำเนินการจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบทั้งห้องเรียนการศึกษาทั่วไปและห้องเรียนการศึกษาพิเศษ สื่อการสอนด้านศิลปะส่วนใหญ่ส่งเสริมเป็นการสอนสำหรับเด็กปกติ ขณะที่เด็กพิการและผู้ด้อยโอกาสจำนวนมากยังขาดสื่อการเรียนรู้ด้านศิลปะ จากปัญหาและความสำคัญดังกล่าว การออกแบบสื่อการสอนออนไลน์และการผลิตสื่อการสอนแอนิเมชันเพื่อพัฒนาทักษะสำหรับเด็กพิการและด้อยโอกาส จึงนับเป็นการส่งเสริมให้ประชากรทุกคนควรได้รับการสนับสนุนทางการศึกษา “การศึกษาไทย ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” (ครูกัลยา. ๒๕๖๓)        ที่ผ่านมาประเทศไทยได้มีการปฏิรูปการศึกษาเพื่อปรับปรุงคุณภาพหลายครั้ง แต่ยังมีสิ่งที่จำเป็นต้องดำเนินการพัฒนาต่อไปคือ การเสริมสร้างพัฒนาทักษะพื้นฐานที่จำเป็นให้ได้ผลดังที่ควรจะเป็น เพราะทุกความสำเร็จจะเกิดผลได้หากมีพื้นฐานที่ชำนาญมั่นคง การศึกษาในยุคนี้ได้มีนักวิชาการหลายท่านให้ความเห็นร่วมกันว่า ต้องสามารถสร้างและพัฒนาคนให้มีทักษะหลายด้าน มีความพร้อมที่จะเผชิญต่อการเปลี่ยนแปลงเพื่อสามารถดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างมีปกติสุข        “เป้าหมายการศึกษาควรกว้างกว่าเพื่อการทำมาหากิน” การศึกษามักจะเน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีความรู้ทักษะทำงานหาเงินมาบริโภค การจัดการศึกษาซึ่งเป็นการลงทุนพัฒนาคนที่สำคัญที่สุด ควรมีเป้าพัฒนาพลเมืองให้ฉลาดทางปัญญา ทางอารมณ์ และสังคม เป็นทั้งคนมีความสุข ความพอใจ และเป็นพลเมืองที่ดีมีความรับผิดชอบต่อสังคม ไม่ใช่มีเป้าแคบๆ แค่ให้เก่งในแง่ทำงานที่ประสบความสำเร็จมาก มีรายได้สูง แต่อาจเป็นคนเห็นแก่ตัวมากกว่าส่วนรวม ไม่มีความสุข ความพอใจอย่างแท้จริง และไม่ได้ช่วยสร้างให้สังคมดีขึ้นด้วย (รศ.วิทยากร เชียงกูร. ๒๕๖๒. กรุงเทพธุรกิจ.)  ประเภทความรู้และที่มาความรู้ ความรู้แบบชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) : โครงการวิจัยความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวคน (Tacit Knowledge) : เจ้าของความรู้  วิธีการดำเนินการ 1. วิธีการดำเนินการ   1. เสนอรับทุนสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสำหรับคนพิการ สำนักงานบริหารงานการศึกษาพิเศษ กระทรวงศึกษาธิการ   2. เสนอแผน/กิจกรรมการทำงาน ส่วนงานผลิตสื่อการสอนศิลปะ สื่อเเอนิเมชันเสริมทักษะศิลปะ สื่อเสมือนจริง    3. จัดกิจกรรมภาคสนามด้วยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล/สื่อเสมือนจริงในรูปชุดแบบเรียนวาดระบายสี AR Painting กลุ่มเป้าหมายโรงเรียนที่มีห้องเรียนการศึกษาพิเศษจำนวน 10 แห่ง   4. เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ทางศูนย์นวัตกรรมการเรียนรู้ RSU Cyber    5. ดำเนินงานผ่านสถาบันวิจัย มรส.   2. ผลการดำเนินการ การนำไปใช้ หรือการลงมือปฏิบัติจริง อุปสรรคหรือปัญหาในการทำงาน    การดำเนินการ / การนำไปใช้– จัดทำสื่อการสอนศิลปะ สื่อแอนิเมชัน ชุดแบบเรียนวาดระบายสีสื่อเสมือนจริง พร้อมแอปพลิเคชัน– จัดส่งมอบครุภัณฑ์และวัสดุอุปกรณ์ให้สถานศึกษาจำนวน 10 แห่ง– จัดกิจกรรมภาคสนาม การสอนศิลปะสำหรับเด็กพิเศษ อุปสรรตและปัญหาในการทำงาน    1. ระยะเวลาในการดำเนินงานยังคงเป็นช่วงที่สถานการณ์ระบาดโควิด-19 ยังมีความรุนแรง หน่วยงานในมรส.ส่วนใหญ่ปิดทำการ ทำให้การติดต่อ เกี่ยวกับเอกสาร การเบิกจ่ายมีความล่าช้า    2. คณะทำงานบางท่านตรวจพบการติดเชื้อโควิด-19 ต้องเข้ารับการรักษาตัวทำให้การดำเนินงานส่วนผลิตสื่อแอนิเมชันเกิดความล่าช้า และต้องแก้ไขหลายครั้ง    3. เนื่องจากเป็นช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 การติดต่อโรงเรียนในกลุ่มเป้าหมายเป็นไปด้วยความลำบาก และไม่สามารถจัดกิจกรรมภาคสนามตามกรอบระยะเวลาเดิมได้ ทำให้ต้องเลื่อนระยะเวลาใหม่    4. เนื่องจากเป็นทุนวิจัยแรกของมรส. ที่ได้รับจากแหล่งทุนนี้ ซึ่งมีข้อระเบียบปฏิบัติไม่เหมือนกับหน่วยงานอื่นๆ เช่น การเบิกจ่าย แหล่งทุนโอนเงินเข้าบัญชีโครงการ และต้องการให้ มรส.ออกใบเสร็จรับเงิน ซึ่งมรส.ไม่สามารถออกใบเสร็จได้เนื่องจากเงินไม่ได้โอนเข้าบัญชีของมรส. ซึ่งได้รับการช่วยเหลือจากสถาบันวิจัยและสำนักงานฝ่ายการเงิน ให้เจ้าของโครงการโอนเงินเข้าบัญชีมรส.เพื่อให้มรส.ออกใบเสร็จ และมรส.จะดำเนินการเบิกจ่ายเงินให้ทางโครงการ (ซึ่งมีความล่าช้ามาก และตรงกับช่วงที่มรส.ปิดทำการ) 3. การตรวจสอบผลการดำเนินการ การนำเสนอประสบการณ์นำไปใช้ สรุปและอภิปรายผล บทสรุปความรู้หรือความรู้ที่ค้นพบใหม่    1. การจัดการเรียนการสอนศิลปะโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอาร์ต สื่อเสมือนจริงไปช่วยจัดการเรียนการสอนสำหรับเด็กพิเศษในระดับชั้นประถมศึกษา    2. ผลงานสื่อการสอนของโครงการได้รับการตอบรับในระดับดีมากจากกลุ่มเป้าหมาย     3. ประสบการณ์การดำเนินการติดต่อ/การนำเสนองานด้านการศึกษาพิเศษ ข้อเสนอแนะในการดำเนินการในอนาคต หรือการดำเนินการเพื่อสามารถนำไปสู่การเป็น Good Practice            1. งานวิจัยที่สนับสนุนด้านการศึกษาพิเศษยังมีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับการศึกษาทั่วไป         2. จุดเด่นของโครงการคือเน้นไปใช้จริงในห้องเรียนการศึกษาพิเศษ          3. ได้รับผลสัมฤทธิ์เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้          4. ได้รับคำชมเชยจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากแหล่งทุน ดูรูปภาพ/กิจกรรมเพิ่มเติมที่นี่

ทุนวิจัยภายนอกสายศิลปะ Read More »

สร้างนวัตกรรมงานวิจัย (Innovative Research and Development)

รางวัลชมเชย ปีการศึกษา 2565 ยุทธศาสตร์ที่ 2 : KR 2.2.1 สร้างนวัตกรรมงานวิจัย (Innovative Research and Development) ผู้จัดทำโครงการ​ อ.กัญจนพร โตชัยกุล ผศ.ดร นัฐพงษ์ มูลคำ คณะรังสีเทคนิค หลักการและเหตุผล/ความสำคัญ/ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้​ แนวทางการสร้างนวัตกรรมวิจัยและขออนุสิทธิบัตร (นวัตกรรมทางด้านวัสดุป้องกันรังสี)         อุปกรณ์กันรังสีที่มีจำหน่ายในท้องตลาด เป็นวัสดุที่ผลิตจากตะกั่วและมี Density ที่สูง ทำให้มีคุณสมบัติในการป้องกันรังสี มักใช้ในห้อง General X-ray, CT Scan, Cath Lab, X-ray C-arm, Operation Room หรือใช้ประกอบกับประตูกันรังสี ฉากกันรังสีภายในห้อง ตลอดจนฉากเลื่อนกันรังสีต่างๆ แต่เนื่องจากด้วยราคาที่ค่อนข้างสูงและตะกั่วมีความเป็นพิษ จึงต้องการศึกษาคุณสมบัติของส่วนผสมสารทึบรังสีที่มีไอโอดีนเป็นองค์ประกอบ (Iodine contrast media) และ epoxy resin ที่สามารถขึ้นรูปได้อย่างอิสระ รวมถึงศึกษาคุณสมบัติการในการดูดกลืนรังสีและพัฒนาไปสู่วัสดุที่ช่วยป้องกันรังสี          โดยสารทึบรังสีหมายถึงสารที่ใช้ในการตรวจทางรังสีวิทยาเพื่อให้เกิดความแตกต่างในการดูดกลืนรังสีระหว่างอวัยวะที่ต้องการตรวจกับอวัยวะหรือโครงสร้างอื่นที่อยู่ใกล้เคียง และสารทึบรังสีที่ใช้กันทางรังสีวินิจฉัยเป็นสารทึบรังสีที่มีไอโอดีนเป็นส่วนประกอบ มีคุณสมบัติในการดูดกลืนรังสี ซึ่งสามารถนำไปผสมในส่วนประกอบต่างๆ เพื่อขึ้นรูปสำหรับเป็นอุปกรณ์ป้องกันรังสี โดยเฉพาะผสมกับ epoxy resin ที่มีคุณสมบัติขึ้นรูปง่ายและส่วนผสมเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนั้นวัสดุกันรังสีดังกล่าวจะสามารถป้องกันรังสีในระดับพลังงานต่ำได้ และมีข้อดีในการลดค่าใช้จ่ายในการผลิต น้ำหนักเบา ไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงสามารถประยุกต์ขึ้นรูปในการสร้างเป็นอุปกรณ์ป้องกันรังสีในส่วนต่างๆของร่างกายได้ และผลลัพธ์สุดท้ายจะสามารถนำไปจดขออนุสิทธิบัตรที่ว่าด้วย เป็นความคิดสร้างสรรค์ที่มีระดับการพัฒนาเทคโนโลยีไม่สูงมาก หรือเป็นการประดิษฐ์คิดค้นเพียงเล็กน้อยและมีประโยชน์ใช้สอยมากขึ้น ประเภทความรู้และที่มาความรู้ ความรู้แบบชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) : –ความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวคน (Tacit Knowledge) : เจ้าของความรู้  วิธีการดำเนินการ 1. วิธีการดำเนินการ   1) อาจารย์ภายในคณะร่วมกันวางแผนดำเนินการต่างๆ สำหรับการแนวทางการเขียนขอทุนนวัตกรรมและสร้างผลงานนวัตกรรมที่สอดคล้องกับวิชาชีพรังสีเทคนิค   2) อาจารย์ที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน เตรียมสร้างผลงานนวัตกรรมรวมถึงขออนุสิทธิบัตร   3) เริ่มเตรียมบทความฉบับสมบูรณ์ (manuscripts) สำหรับส่งตีพิมพ์บทความ   4) อาจารย์ที่ได้รับการตีพิมพ์บทความและได้เลขอนุสิทธิบัติ จะมีการเปิดโอกาสให้อาจารย์ภายในคณะสามารถอภิปราย แลกเปลี่ยน ซักถาม ได้ 2. ผลการดำเนินการ การนำไปใช้ หรือการลงมือปฏิบัติจริง อุปสรรคหรือปัญหาในการทำงานประโยชน์ต่อบุคลากร    1) เพื่อให้เป็นแนวทางการสร้างนวัตกรรมวิจัยและขออนุสิทธิบัตร    2) เพื่อส่งเสริมการพัฒนาผลงานทางวิชาการในรูปแบบต่างที่หลากหลายประโยชน์ต่อมหาวิทยาลัย    1) คณาจารย์คณะรังสีเทคนิคมีคุณภาพและสามารถพัฒนาผลงานทางวิชาการในรูปแบบนวัตกรรมวิจัย ร่วมถึงยกระดับคุณภาพมหาวิทยาลัยรังสิตให้เป็นที่รู้จักกว้างขว้างมากขึ้น    2) คณาจารย์คณะรังสีเทคนิคมีความรู้ด้านงานวิจัย และสอดคล้องกับแนวคิดงานวิจัยของมหาวิทยาลัย  3. การตรวจสอบผลการดำเนินการ การนำเสนอประสบการณ์นำไปใช้ สรุปและอภิปรายผล บทสรุปความรู้หรือความรู้ที่ค้นพบใหม่    การพาณิชย์: องค์ความรู้และเทคโนโลยีนี้ก่อให้เกิดการสร้างนวัตกรรมทางอุปกรณ์การแพทย์ที่เกี่ยวกับการป้องกันอันตรายจากรังสี ทำให้เกิดต้นแบบผลิตภัณฑ์ (Prototype) ในทางพาณิชย์ รวมถึงความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนหรือหน่วยงานร่วมดำเนินการวิจัย    ภายในมหาวิทยาลัย: ความรู้เกี่ยวกับวัสดุป้องกันรังสีชนิดที่ปราศจากตะกั่ว ทำให้ได้วัสดุที่ผลิตจากสารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถป้องกันรังสีได้เทียบเท่าตะกั่ว ซึ่งนำไปสู่นวัตกรรมการสร้างวัสดุกันรังสีภายในประเทศและองค์ความรู้สามารถต่อยอดในงานวิจัยได้หลายด้านและสามารถตีพิมพ์ผลงานวิจัยในวารสารระดับนานาชาติที่เกี่ยวข้องกับ ความรู้ทาง radiation protection ข้อเสนอแนะในการดำเนินการในอนาคต หรือการดำเนินการเพื่อสามารถนำไปสู่การเป็น Good Practice          ประโยชน์ต่อมหาวิทยาลัยและคณะรังสีเทคนิคในทางด้านวิชาการ: ความรู้เกี่ยวกับวัสดุป้องกันรังสีชนิดที่ปราศจากตะกั่ว ผลการศึกษาจะทำได้ได้วัสดุที่ผลิตจากสารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถป้องกันรังสีได้เทียบเท่าตะกั่ว ซึ่งนำไปสู่นวัตกรรมการสร้างวัสดุกันรังสีภายในประเทศและองค์ความรู้สามารถต่อยอดในงานวิจัยได้หลายด้าน และสามารถตีพิมพ์ผลงานวิจัยในวารสารที่เกี่ยวข้องกับ ความรู้ทาง radiation protection         ประโยชน์ในนวัตกรรมและสิ่งแวดล้อม: วัสดุป้องกันรังสีดังกล่าวเป็นชนิดที่ปราศจากตะกั่ว ทำให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมรวมถึงการสร้างแนวคิดทางนวัตกรรม เพื่อพัฒนาไปใช้ในระดับคลินิกและเพิ่มประสิทธิภาพของนวัตกรรมของไทย โดยกลุ่มผู้ใช้ประโยชน์ได้แก่ ทีมผู้วิจัย, ภาคเอกชน, สหวิชาชีพที่อยู่ในสาขารังสีวิทยา รวมถึงสถานที่มีการใช้อุปกรณ์กันรังสี ดูรูปภาพ/กิจกรรมเพิ่มเติมที่นี่

สร้างนวัตกรรมงานวิจัย (Innovative Research and Development) Read More »

“คนต่างรุ่นในสังคมสูงวัย” สู่งานวิจัยกระดาษสาผักตบชวา

รางวัลชมเชย ปีการศึกษา 2565 ยุทธศาสตร์ที่ 2 : KR 2.3.2 “คนต่างรุ่นในสังคมสูงวัย” สู่งานวิจัยกระดาษสาผักตบชวา ผู้จัดทำโครงการ​ ดร.เริงศักดิ์ แก้วเพ็ชร นางสาวกัญญ์กานต์ กุญโคจร นางสาวชวัลรัศมิ์ จตุเทน นายกิตติธัช ช้างทอง สถาบันศิลปวัฒนธรรมและพัฒนาสังคม ฝ่ายพัฒนาสังคมศิลปวัฒนธรรมและสิทธิประโยชน์ หลักการและเหตุผล/ความสำคัญ/ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้​          มหาวิทยาลัยรังสิตจัดตั้งรายวิชาเรียน RSU184 คนต่างรุ่นในสังคมสูงวัย ทางสถาบันศิลปวัฒนธรรม และพัฒนาสังคม ร่วมกับสถาบัน GEN.ED. มหาวิทยาลัยรังสิต เป็นผู้รับผิดชอบในการจัดการเรียนการสอนให้กับนักศึกษาระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยรังสิต โดยมุ่งเน้นให้นักศึกษาเรียนรู้การเตรียมตัวสำหรับคนต่างรุ่น ในการเข้าสู่วัยสูงอายุ และสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ของประเทศไทย และสังคมโลก เข้าใจแนวคิดสูงวัยเชิงรุก (Active Aging) ซึ่งเป็นกรอบแนวนโยบายที่สร้างโดยองค์การอนามัยโลก ที่มุ่งเน้นในด้านสุขภาพกายและจิตที่ดี การมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจและครอบครัว และการมีส่วนร่วมในสังคมเพื่อให้ผู้สูงอายุและคนต่างรุ่นได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขในสังคมสูงวัยและสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ในอนาคต พร้อมมีพื้นฐานในการเตรียมตัวทำธุรกิจ การเป็นผู้ประกอบการ มุ่งเน้นให้เกิดความรู้ ความเข้าใจด้านกระบวนการคิด วิเคราะห์ การออกแบบธุรกิจด้วยความคิดสร้างสรรค์ สามารถเชื่อมโยงประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสม นำไปประกอบการใช้งานได้จริง และมีเข้าใจในปรับตัวให้เข้ากับทุกสภาวะการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจและสามารถมีการจัดการการวางแผนอย่างเป็นระบบได้ดี แม้ท่ามกลางกระแสขอความเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองอย่างรวดเร็ว เศรษฐกิจของประเทศไทยโดยรวมแย่ลง รวมทั้งปัญหาโรคระบาดโควิค 19 โดยภาครัฐบาล มีมาตรการควบคุมการระบาดทั้งมาตรการปิดเมือง มาตรการรักษาระยะห่าง และภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซายาวนาน ผู้ประกอบการธุรกิจรายย่อยรวมไปถึงพ่อค้ารายเล็กรายน้อยประเภทหาบเร่แผงลอยต้องเลิกขาย เนื่องจากขายไม่ได้เหตุเพราะกำลังซื้อไม่มี และส่วนหนึ่งต้องเลิกกิจการไปส่งผลกระทบหนักต่อกลุ่มคนเปราะบาง โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานที่ขาดทักษะและผู้มีรายได้น้อย ขาดเงินออม มีภาระหนี้สูง จึงทำให้คนกลุ่มนี้ซึ่งโดยปกติมีรายได้น้อยอยู่แล้วก็ขาดรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีข้อจำกัดในการเข้าถึงวิธีการรับมือกับวิกฤติและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงมากกว่ากลุ่มอื่นๆ และไม่มีความพร้อมในด้านเทคโนโลยี         ผลการสำรวจจำนวนคนจนในปทุมธานี “คนจนเป้าหมาย” ในปทุมธานี คือ คนจนที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน เนื่องจากเป็นคนที่ได้รับการสำรวจว่าจน (survey-based) จาก ข้อมูลความจำเป็นพื้นฐาน (จปฐ.) กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย และยังมาลงทะเบียนว่าจนอีกด้วย (register-based) จากข้อมูลผู้ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ กระทรวงการคลัง สำหรับข้อมูลปี 2565 เป็นการบูรณาการข้อมูลระหว่าง จปฐ 2564 และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 จะพบว่า ความยากจนสามารถวัดได้ 5 มิติ ความยากจนสามารถวัดได้จากดัชนีความยากจนหลายมิติ หรือ ดัชนี MPI (Multidimensional Poverty Index) ที่พิจารณาจาก 5 มิติ ได้แก่ ด้านสุขภาพ ด้านความเป็นอยู่ ด้านการศึกษา ด้านรายได้ และด้านการเข้าถึงบริการรัฐ ซึ่งจะพบว่า ปัญหาของชุมชนตำบลหลักหก ยังคงเป็นเรื่องสุขภาพ และรายได้ คณะทำงานเร่งเห็นในการสร้างเสริม อาชีพ รายได้ ให้แก่ชุมชน โดยเริ่มจากชุมชนหลักหก จากการสำรวจปัญหา และวัตถุดิบรอบๆ ชุมชน คณะทำงานนักศึกษา มีความสนใจในกลุ่มชุมชนหลักหก จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นชุมชนที่อยู่รอบมหาวิทยาลัยรังสิต ปัญหาส่วนหนึ่งที่ค้นพบคือ ผักตบชวาในลำคลองของชุมชนตำบลหลักหกมีเป็นจำนวนมาก จนทำให้น้ำเกิดปัญหา น้ำเน่าเสีย มลภาวะทางอากาศ ชาวบ้านสูดดมเข้าไปทุก ๆ วัน ทำให้มีปัญหาในระบบการหายใจได้ คณะทำงานนักศึกษาจึงมุ่งเน้นในการแก้ไขปัญหา เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์วิกฤติครั้งนี้ ฟื้นฟูคุณภาพชีวิต ส่งเสริม อาชีพ รายได้ การกระจายโอกาสให้กับชุมชนหลักหก ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและลดความเสี่ยงด้านอาชญากรรมต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งการทำกระดาษสาจากผักตบชวาปลอดสารเคมี สีธรรมชาติ เพื่อใช้ในงานประดิษฐ์ ตกแต่งและงานฝีมือ จากการทำกระดาษสาผักตบชวาปลอดสารเคมีที่มีคุณภาพต่องานประดิษฐ์ มีความเหนียว ขนาดไม่บางหรือหนามาก เนื่องจากการขึ้นรูปเป็นดอกไม้ในการประดิษฐ์ จะต้องมีความเหนียว และขนาดพอดี ต่อยอดมาเป็นผลงานสร้างสรรค์ที่สามารถสร้างรายได้ และสร้างแนวคิดเศรษฐกิจฐานรากเพื่อสร้างสุขภาวะ สามารถดำเนินธุรกิจเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์วิกฤติครั้งนี้ โดยมุ่งเน้นทิศทางของการพัฒนาตัวผลิตภัณฑ์ของแต่ละท้องถิ่นให้มีคุณภาพและสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ประเภทความรู้และที่มาความรู้ ความรู้แบบชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) : รายวิชา RSU184 คนต่างรุ่นในสังคมสูงวัยความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวคน (Tacit Knowledge) : เจ้าของความรู้  วิธีการดำเนินการ 1. วิธีการดำเนินการ   1. ทีมอาจารย์ผู้สอนและนักศึกษาร่วมระดมความคิดดำเนินโครงการที่สอดคล้องกับเป้าประสงค์ของรายวิชาเรียนและให้สามารถเป็นโครงการที่ใช้งานได้จริง เกิดผลสัมฤทธิ์ระยะยาว จึงเริ่มต้นศึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นจากรอบข้าง จึงได้เล็งเห็นปัญหาของชุมชนที่อยู่โดยรอบมหาวิทยาลัยรังสิต คือ ชุมชนหลักหก ได้เกิดปัญหา ผักตบชวาล้นคลอง ตามบทนำที่กล่าวไว้ข้างต้น การดำเนินงานของกลุ่มนักศึกษาได้เริ่มปรึกษาหารือเรื่องการจัดหาแกนนำชุมชนหลักหก โดยแกนนำนักศึกษาต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง แกนนำชุมชนหลักหกมีคุณสมบัติเบื้องต้นอย่างไรบ้าง คณะทำงานนักศึกษาได้กำหนดคุณสมบัติดังนี้ แกนนำนักศึกษาและแกนนำชุมชนหลักหก ต้องมีคุณสมบัติพร้อมที่จะทำงานร่วมกันเป็นทีมได้ดี และสามารถทำงานกับแกนนำของชุมชนได้ และต้องพร้อมที่จะเสืยสละเวลาทำเพื่อสังคมส่วนร่วมให้เกิดผลดีต่อชุมชนเป้าหมายได้อย่างสำเร็จ    2. จัดตั้งกลุ่มแกนนำ นำทีมนักศึกษา และกลุ่มแกนนำชุมชนหลักหกคณะทำงานนักศึกษาปรึกษาหารือเรื่องการคัดเลือกแกนนำนักศึกษา และแกนนำชุมชนหลักหก เพื่อที่จะดำเนินโครงการต่อเนื่อง    3. ลงพื้นที่ศึกษาปัญหาจากผักตบชวาร่วมกันระหว่างคณะทำงานกับชุมชน จากนั้นอาจารย์ผู้สอนและนักศึกษานำปัญหามาวิเคราะห์ว่าอยากจะทำอะไร แก้ไขปัญหานี้อย่างไร จึงได้เกิดเป็นแนวคิด “กระดาษสาจากผักตบชวา” เนื่องจากกระดาษสาเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้ง่าย และมีต้นทุนวัตถุดิบที่ต่ำ หาได้ง่าย และยังสามารถต่อยอดจากกระดาษสาได้หลากหลาย    4. เริ่มประชาสัมพันธ์โครงการเพื่อสร้างการรับรู้ให้กับนักศึกษาและชุมชนหลักหกให้เป็นวงกว้างในมหาวิทยาลัยรังสิต คณะทำงานลงมติในการจัดทำโปสเตอร์ เพื่อเป็นสื่อในการประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ให้กับนักศึกษาและชุมชนหลักหก โดยการจัดหาคนในวิชาเรียนออกแบบโปสเตอร์เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับแกนนำนักศึกษาและแกนนำชุมชนหลักหก    5. คณะทำงานกลุ่มนักศึกษากำหนดบทบาทหน้าที่ของกลุ่มแกนนำนักศึกษาและแกนนำชุมชนหลักหก มีการพูดคุยถึงความถนัดของแต่ละแกนนำนักศึกษาและแกนนำชุมชนหลักหก ความพร้อม ความสนใจในการดำเนินโครงการ และตอบข้อซักถามและทำการทดสอบในการทำกระดาษสาผักตบชวาของกลุ่มแกนนำทั้ง 2 กลุ่ม เพื่อวางกรอบการทำงาน ออกแบบกิจกรรมร่วมกับ    6. คณะทำงานกลุ่มนักศึกษาและแกนนำชุมชนหลักหก ร่วมศึกษาดูงานขั้นตอนการจัดทำกระดาษสาผักตบชวา พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างแกนนำนักศึกษา แกนนำชุมชน ณ ศูนย์ฝึกอาชีพมีชีวิต กศน. ต.หนองน้ำใจ อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อนำมาทดลองทำกระดาษสาผักตบชวา และทำการถ่ายทอดองค์ความรู้สู่ชุมชนหลักหกต่อไป    7. คณะทำงานกลุ่มนักศึกษา เข้ารับการการอบรมการให้องค์ความรู้ในด้านที่เกี่ยวข้องกับโครงการ ระหว่างนักศึกษาและแกนนำชุมชนเบื้องต้น เพื่อนำมาปฏิบัติและถ่ายทอดต่อให้แก่ชุมชน โดยการอบรมการต่อยอดงานประดิษฐ์จากกระดาษสาผักตบชวา ให้เป็นดอกไม้ที่สวยงาม และมีความเป็นธรรมชาติปลอดสารพิษ พร้อมทั้งอบรมการจัดทำแผนธุรกิจเบื้องต้น ในการคำนวนหาต้นทุนของวัตถุดิบ อาทิ อุปกรณ์ที่จัดทำกระดาษสาผักตบชวา ค่าแรงต่างๆ จากการอบรม เรื่องการประดิษฐ์ดอกไม้จากกระดาษสาผักตบชวา กลุ่มแกนนำนักศึกษาและแกนนำชุมชนหลักหก    8. จัดทำกระดาษสาผักตบชวา หัวหน้าโครงการทำการชี้แจงการจัดทำกระดาษสาผักตบชวา โดยอธิบายถึงขั้นตอนการทำกระดาษสาผักตบชวา รวมถึงการแบ่งหน้าที่การดำเนินงานตามขั้นตอนการจัดทำกระดาษสาผักตบชวาร่วมกัน คณะทำงานนักศึกษา แกนนำชุมชน ชี้แจงขั้นตอนการทำกระดาษสาผักตบชวาให้ทุกคนได้รับทราบขบวนการแล้วนั้น ได้ทำการแบ่งหน้าที่ และลงมือทำ   9. การขึ้นรูปกระดาษสาจากผักตบชวาสำเร็จไปได้ด้วยดี ผลเป็นที่นักศึกษาและแกนนำชุมชนตั้งเป้าหมายไว้ เมื่อได้รูปร่างของกระดาษสาจากผักตบชวาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อาจารย์ผู้สอนและนักศึกษาหารือร่วมกันถึงข้อเสนอแนะ ข้อบกพร่องต่างๆ ในขั้นตอนการทำ รวมถึงวัตถุดิบที่ใช้ผสมในการขึ้นเป็นรูปกระดาษสาจากผักตบชวา ผลสรุปว่าทุกคนพอใจกับกระบวนการขั้นตอนการทำ รวมถึงวัตถุดิบที่ใช้ ทำให้การทดลองครั้งนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลง    10. กลุ่มนักศึกษาร่วมกันประสานงานกับแกนนำชุมชนหลักหก ทำการประสานงานร่วมกับภาคท้องถิ่นในการจัดอบรมวิธีการทำกระดาษสาผักตบชวา การหารือร่วมกับตัวแทนชุมชนท้องถิ่นในการจัดอบรม ตามแผนการดำเนินงาน เพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาต่างๆ การใช้อุปกรณ์ สถานที่ และสร้างอาชีพ รายได้ให้กับท้องถิ่นจากการอบรม การหาภาคีเครือข่าย ประสานงานร่วมกับวัดบริเวณพื้นที่โดยรอบมหาวิทยาลัยรังสิต โดยมีหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก    11. อาจารย์ผู้สอน กลุ่มนักศึกษา แกนนำชุมชน สรุปผลสัมฤทธิ์ที่ได้จากการดำเนินโครงการ พร้อมส่งมอบโมเดลต้นแบบ กระดาษสาจากผักตบชวา พร้อมอุปกรณ์การขึ้นรูปกระดาษให้แก่ชุมชนได้ดำเนินงานต่อเป็นการสร้างสรรค์งานทางด้านงานวิจัยอีกทั้งสร้างสุขภาวะที่ดีแก่ชุมชนให้มีความยั่งยืนต่อไป 2. ผลการดำเนินการ การนำไปใช้ หรือการลงมือปฏิบัติจริง อุปสรรคหรือปัญหาในการทำงาน    จากการดำเนินงานโครงการการแก้ปัญหา ร่วมสร้างรายได้ แก่ชุมชนหลักหก ขับเคลื่อนโดยกลุ่มแกนนำนักศึกษาจากรายวิชาเรียน RSU184 คนต่างรุ่นในสังคมสูงวัย และกลุ่มแกนนำชุมชนหลักหก ผลการดำเนินการ นักศึกษาได้เรียนการทำงานร่วมกันของกลุ่มคน 3 วัย ซึ่งได้ผลสัมฤทธิ์ตรงตามวัตถุประสงค์ของรายวิชาเรียนเป็นอย่างมาก นักศึกษาและคนในชุมชนส่วนใหญ่มีความถนัดในสิ่งประดิษฐ์ รวมทั้งมีความสนใจในการต่อยอดธุรกิจต่างๆ จึงมีความเข้าใจและเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว ในการจัดทำกระดาษสาผักตบชวา มีการสังเกตุ และการอยากทดลอง ในรูปแบบต่างๆ มีความคิดสร้างสรรค์    จากการทดลองกระดาษสาผักตบชวาประสบผลสำเร็จ แกนนำชุมชนหลักหก มีความสนใจในการประดิษฐ์ดอกกุหลาบ มากกว่าการจัดทำกระดาษสาผักตบชวา ตามความสนใจและความถนัดของตัวบุคคล โดยภาพรวมแกนนำนักศึกษา และแกนนำชุมชนหลักหก สามารถผลิตกระดาษสาผักตบชวาได้ในคุณสมบัติที่ต้องการ อาทิ ความเหนียว สี และลวดลายของกระดาษสา สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างขั้นตอนการผลิตกระดาษผักตบชวาจากการสังเกตุ การหาข้อบกพร่องต่างๆ จนสามารถทำกระดาษสาผักตบชวาสำเร็จสมบูรณ์พร้อมที่จะนำองค์ความรู้สู่ชุมชนท้องถิ่นต่อไป คณะทำงานกลุ่มนักศึกษาทำการลงภาคสนามเพื่อทำการอบรมให้แก่ชาวบ้านชุมชนหลักหก ให้มีความรู้ความเข้าใจทุกขั้นตอน ให้ได้มาตรฐานกระดาษตามที่ต้องการ ได้รับความสนใจจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน และสื่อต่าง ๆ อย่างมากมาย ด้านของปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นระหว่างการดำเนินโครงการ คือระยะเวลาในการดำเนินโครงการน้อยเกินไปเนื่องจากรายวิชาเรียนในภาคการศึกษาที่ 1 มีระยะเวลาการเรียนการสอนเพียง 4 เดือน ทำให้ระยะเวลาการดำเนินโครงการขาดความต่อเนื่องในระยะยาวนักศึกษาส่วนใหญ่ไม่สามารถดำเนินโครงการต่อได้ อีกทั้งความร่วมมือภาคท้องถิ่น ในเรื่องของผลประโยชน์ซับซ้อนในชุมชน 3. การตรวจสอบผลการดำเนินการ การนำเสนอประสบการณ์นำไปใช้ สรุปและอภิปรายผล บทสรุปความรู้หรือความรู้ที่ค้นพบใหม่การเรียนรู้ของผู้เล่าเรื่องจากประสบการณ์ความสำเร็จดังกล่าว    การค้นคว้า ศึกษาการทำกระดาษสาจากผักตบชวาได้ผลสัมฤทธิ์ตรงตามวัตถุประสงค์ นักศึกษาและชุมชนสามารถแปรรูปผักตชวาที่เป็นปัญหาของชุมชนหลักหกออกมาได้อย่างเป็นรูปธรรม ตามวัตถุประสงค์ของโครงการ เมื่อดำเนินการอย่างต่อเนื่อง นักศึกษาได้มองเห็นวัตถุดิบของชุมชนอีกอย่างหนึ่งคือ ต้นกล้วย ที่มีจำนวนมากในชุมชนหลักหก เมื่อนักศึกษามีความรู้ในการผลิตกระดาษสาแล้ว จึงได้ทำการทดลองนำเยื่อกล้วยมาเป็นกระดาษสาจากเยื่อกล้วยเพื่อสามารถเสร้างสรรค์ป็นงานประดิษฐ์ต่อไปได้ ผลสรุป ต้นกล้วย เยื่อกล้วย สามารถทำเป็นกระดาษสาได้ นักศึกษาจึงค้นพบองค์ความรู้ใหม่จากการทำวิจัยครั้งนี้คือ กระดาษสาจากเยื่อกล้วย ข้อเสนอแนะในการดำเนินการในอนาคต หรือการดำเนินการเพื่อสามารถนำไปสู่การเป็น Good Practice       โครงการสร้างสรรค์ของนักศึกษาที่เกิดขึ้นจากรายวิชาเรียนควรได้รับความร่วมมือการสนับสนุนเริ่มจาก อาจารย์ บุคคลากรในคณะ/วิทยาลัย จนไปถึงระดับมหาวิทยาลัยอย่างต่อเนื่อง และเป็นรูปธรรม เพื่อการดำเนินกิจกรรมนักศึกษาให้มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลต่อการพัฒนานักศึกษา และมหาวิทยาลัยสามารถนำผลการวิจัยไปใช้เป็นแนวทางในการวางแผนพัฒนาในด้านต่าง ๆ ต่อไป ดูรูปภาพ/กิจกรรมเพิ่มเติมที่นี่

“คนต่างรุ่นในสังคมสูงวัย” สู่งานวิจัยกระดาษสาผักตบชวา Read More »

การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบและต้านมะเร็งในหลอดทดลองของสมุนไพรไทยสูตรผสม

รางวัลชมเชย ปีการศึกษา 2565 ยุทธศาสตร์ที่ 2 : KR 2.5.2 การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบและต้านมะเร็งในหลอดทดลองของสมุนไพรไทยสูตรผสม ผู้จัดทำโครงการ​ อ.ดร.ภญ. นลินี ประดับญาติ วิทยาลัยเภสัชศาสตร์ หลักการและเหตุผล/ความสำคัญ/ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้​ บริบทหรือความเป็นมาของเรื่องที่เล่า          ในปัจจุบันด้วยสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด-19 หรือภาวะมลพิษจากการกระจายของฝุ่นละอองขนาดเล็ก (particulate matters 2.5; PM 2.5) ซึ่งทั้งสองปัจจัยทำให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนทั้งในระยะเฉียบพลันและในระยะยาว ในระยะเฉียบพลันการติดโรคโควิด-19 มีผลกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันหลายอย่างที่เป็นสาเหตุให้เกิดกระบวนการอักเสบและเป็นเหตุให้การทำงานของอวัยวะหลายระบบล้มเหลวได้ ส่วนฝุ่น PM 2.5 ทำให้เกิดผลเสียต่อระบบทางเดินหายใจ กระตุ้นปฏิกิริยาการอักเสบ รวมทั้งมีผลการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าฝุ่นนี้เป็นปัจจัยต่อการเจริญของเซลล์ที่ผิดปกติและเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง พืชสมุนไพรไทยหลายชนิด ได้แก่ มะนาว ใบหญ้านาง ข่า พริกไทย ใบกัญชา ฯลฯ มีประวัติการใช้ตามภูมิปัญญาโดยใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารตลอดจนใช้สำหรับดูแลสุขภาพตลอดจนรักษาโรค ซึ่งมีผลการศึกษาในหลอดทดลองหลายการศึกษาที่สนับสนุนว่าพืชสมุนไพรเหล่านี้มีฤทธิ์ต้านออกซิเดชัน ลดกระบวนการอักเสบได้ ในบทบาทของการเป็นอาจารย์ผู้สอนทางด้านเภสัชวิทยาและพิษวิทยาที่จะต้องมีภาระทั้งการสอน และการทำวิจัยควบคู่ไปด้วย ได้เล็งเห็นประโยชน์และความสำคัญของภูมิปัญญาไทยต่อการใช้พืชสมุนไพรชนิดต่าง ๆ ในการบำรุง ดูแล รักษาและฟื้นฟูสุขภาพ ทั้งนี้ในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเคลียร์-บีลอง พลัส ผสมใบกัญชา โดยบริษัทนารีฟาร์มา กรุ๊ป ที่มีส่วนประกอบของสมุนไพรชนิดต่าง ๆ ที่ผลิตออกมาในรูปแคปซูลที่สะดวกต่อการรับประทาน ดังนั้นเพื่อสนับสนุนความปลอดภัยและประสิทธิผลของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจึงได้มีการทำการศึกษาวิจัยในหลอดทดลองเป็นเบื้องต้น ประเภทความรู้และที่มาความรู้ ความรู้แบบชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) : ความรู้ที่เกิดจากกระบวนการศึกษาวิจัยความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวคน (Tacit Knowledge) : เจ้าของความรู้  วิธีการดำเนินการ 1. วิธีการดำเนินการ   วิธีการ/ขั้นตอน หรือกระบวนการที่ทำให้งานนั้นประสบความสำเร็จ        1. รวบรวมข้อมูล และทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ        2. ออกแบบการศึกษาที่รัดกุม ครอบคลุมวัตถุประสงค์การวิจัยที่สามารถวัดและประเมินผลได้อย่างเป็นรูปธรรม        3. ดำเนินการวิจัยจนเสร็จสิ้น และจัดทำรายงานการวิจัย        4. เผยแพร่ผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ        5. นำผลการศึกษาที่ได้พัฒนาต่อยอดเพื่อศึกษาวิจัยต่อในระดับคลินิก และวางแผนถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ 2. ผลการดำเนินการ การนำไปใช้ หรือการลงมือปฏิบัติจริง อุปสรรคหรือปัญหาในการทำงานเทคนิคหรือกลยุทธ์ที่ทำให้เกิดความสำเร็จ    – กำหนดหัวข้อวิจัยที่ชัดเจน    – สร้างทีมวิจัย โดยชักชวนนักวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้อง มาร่วมกันพัฒนางานวิจัยที่สนใจ    – ขอทุนวิจัย และดำเนินการวิจัยจนเสร็จสิ้นตามสัญญาทุน หากเกิดปัญหาหรืออุปสรรคจะขอคำปรึกษาจากทีมวิจัย และที่ปรึกษาโครงการวิจัยเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้    – เตรียมข้อมูลความพร้อมและทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ    – กำหนดของเขตการวิจัยที่ชัดเจ    – เลือกเครื่องมือในการดำเนินงานวิจัยที่เหมาะสม    – ดำเนินงานวิจัยตามกรอบแนวคิด และมีการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่ละเอียดรอบคอบ    – เขียนบทความวิจัยเพื่อส่งตีพิมพ์ โดยเลือกวารสารวิชาการระดับนานาชาติคุณภาพสูงและอยู่ในฐานข้อมูลที่เป็นที่ยอมรับเป็นอันดับแรก หากถูกปฏิเสธการตีพิมพ์ จะนำข้อเสนอแนะจากผู้ทรงคุณวุฒิมาแก้ไขบทความวิจัย และส่งตีพิมพ์ในวารสารใหม่ที่คุณภาพลดหลั่นลงมาผู้ที่มีส่วนร่วมทำให้เกิดความสำเร็จ และบทบาทของบุคคลนั้น    – คณะนักวิจัยที่ร่วมดำเนินงาน    – ผู้บริหารของวิทยาลัยเภสัชศาสตร์ สถาบันวิจัย มหาวิทยาลัยรังสิต และบริษัทนารีฟาร์มา กรุ๊ป เป็นผู้สนับสนุนและให้โอกาสในการทำวิจัยอุปสรรคหรือปัญหาในการทำงาน และแนวทางในการแก้ปัญหา/อุปสรรคดังกล่าว     การศึกษาวิจัยนี้ใช้เซลล์เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อของมนุษย์เป็นแบบจำลองในการศึกษา ปัญหาที่พบคือเซลล์เจริญเติบโตช้า ต้องเลี้ยงให้มีคุณลักษณะที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ผลการทดลองที่สอดคล้องกันในแต่ละวิธีการศึกษาและแปลผลไปสู่การประยุกต์ใช้ในทางคลินิกผลลัพธ์หรือความสำเร็จที่เกิดขึ้น     ดำเนินการศึกษาวิจัยแล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลา ผลการวิจัยได้รับการเผยแพร่ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ เผยแพร่ผลงานผ่านสื่อสังคมและเตรียมความพร้อมสำหรับดำเนินการวิจัยทางคลินิก 3. การตรวจสอบผลการดำเนินการ การนำเสนอประสบการณ์นำไปใช้ สรุปและอภิปรายผล บทสรุปความรู้หรือความรู้ที่ค้นพบใหม่การเรียนรู้ของผู้เล่าเรื่องจากประสบการณ์ความสำเร็จดังกล่าว      เรียนรู้บริบทการดำเนินการวิจัยที่เน้นการทำงานเป็นทีม ที่ประกอบด้วยนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญหลาย ๆ สาขา เพื่อให้งานวิจัยสัมฤทธิ์ผลดีและประหยัดเวลาในการดำเนินงาน ดังนั้นการสร้างทีมวิจัยและเครือข่ายทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัยจึงเป็นสิ่งสำคัญ ทั้งนี้การดำเนินงานวิจัยในปัจจุบันต้องเน้นผลลัภย์ที่สร้างผลิตภัณฑ์และมูลค่าจากกวิจัย รวมทั้งการตีพิมพ์บทความวิจัยในปัจจุบันจะเน้นการศึกษาในเชิงลึกและเชิงบูรณาการศาสตร์หลายแขนง ทำปรับเปลี่ยนจากการดำเนินงานวิจัยในแนวกว้างเป็นการทำงานเชิงลึกและบูรณาการมากขึ้น เพื่อให้บทความวิจัยไม่ถูกปฏิเสธการตีพิมพ์สมรรถนะ (ความรู้ ทักษะ หรือทัศนคติ) ของผู้เล่าเรื่อง      เกิดความเข้าใจแนวทางการดำเนินการวิจัยที่เน้นการสร้างทีมวิจัยที่มีคุณภาพ เน้นการดำเนินงานวิจัยที่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่สร้างผลิตภัณฑ์และเพิ่มมูลค่าแทนที่แนวทางการวิจัยแบบเดิมที่สร้างองค์ความรู้เพียงมิติเดียว ตลอดจนการตีพิมพ์บทความวิจัย เกิดการเรียนรู้ความหลากหลายทักษะการทำวิจัยระหว่างผู้ร่วมวิจัย ทำให้เกิด การสั่งสมประสบการณ์การทำวิจัยในเชิงลึก บูรณาการองค์ความรู้และการมีบทความตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ จึงได้รับเชิญให้พิจารณาบทความวิจัยจากวารสารต่าง ทำให้เป็นแนวทางในการสร้างงานวิจัยเรื่องอื่น ๆ ในอนาคตได้ ผลงานเชิงประจักษ์ของผู้เล่าเรื่อง คือ      ผลการวิจัยได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ BMC Complementary Medicine and Therapies ซึ่งอยู่ใน quartile 1 มีค่า impact factor 2.83 มีการแถลงข่าวเผยแพร่ผลงานวิจัย เปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการศึกษาวิจัย และเตรียมโครงการวิจัยต่อยอดในระดับคลินิกต่อไป ข้อเสนอแนะในการดำเนินการในอนาคต หรือการดำเนินการเพื่อสามารถนำไปสู่การเป็น Good Practice          การดำเนินงานวิจัย สิ่งสำคัญที่สุดคือทำงานศึกษาข้อมูลให้มากสุดก่อนเริ่มต้นดำเนินการ การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบนอกจากจะทำให้นักวิจัยมีองค์ความรู้ที่กว้างแล้วยังทำให้สามารถค้นพบช่องว่างของงานวิจัยหรือข้อจำกัดของงานวิจัยอื่น ๆ ที่ผ่านมา (identify research gap) และทำให้ตั้งคำถามงานวิจัยที่เหมาะสมได้ ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญในกระบวนการเริ่มดำเนินโครงการวิจัยและออกแบบการทดลองที่สามารถตอบคำถามงานวิจัยได้ ในการดำเนินการวิจัยต้องมองภาพประโยชน์ของงานวิจัยที่จะเกิอดขึ้นว่าคืออะไร เพราะการมองเห็นคุณค่าที่ชัดเจน จะเป็นปัจจัยที่ทำให้นักวิจัยมีแรงขับเคลื่อนให้ก้าวผ่านปัญหาและอุปสรรคที่จะเกิดขึ้นได้อย่างมั่นคงคือ เกิดการเรียนรู้อย่างสูงสุด นอกจากนี้สิ่งแวดล้อมในการดำเนินการวิจัยและคณะผู้ร่วมงานวิจัยก็เป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่จะส่งเสริมให้เกิดแนวคิดและการสร้างองค์ความรู้ใหม่ที่เกิดจากกระบวนการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การอภิปราย การตั้งคำถามที่สมเหตุสมผลที่ทำให้เกิดการค้นคว้าเพิ่มเติมการวิเคราะห์และสังเคราะห์ผลที่ได้จากการดำเนินการวิจัยที่จะนำไปสู่การบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายของการดำเนินงาน ดูรูปภาพ/กิจกรรมเพิ่มเติมที่นี่

การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบและต้านมะเร็งในหลอดทดลองของสมุนไพรไทยสูตรผสม Read More »

Scroll to Top