ปีการศึกษา2567

การนำระบบสารสนเทศเข้ามาใช้ในกระบวนการทำงาน

รางวัลดีเด่น ปีการศึกษา 2567 ยุทธศาสตร์ที่ 3 : KR3.3.1/1 การนำระบบสารสนเทศเข้ามาใช้ในกระบวนการทำงาน ผู้จัดทำโครงการ​ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วุฒิพงษ์ ชินศรี นายธงชัย บุญเกิด นายพสุ กุนทีกาญจน์ นางสาวนิตยา ป้องศรี นายขุนคำ ปองรักษาชีวิต นางสาวไพวัลย์ ปัญญามูล สำนักงานทะเบียน สำนักงานการเงิน สำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ หลักการและเหตุผล/ความสำคัญ/ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้​ ในปัจจุบัน ระบบสารสนเทศได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการดำเนินงานของมหาวิทยาลัย อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากสามารถช่วยให้การดำเนินงานต่างๆ มีประสิทธิภาพ เช่น ลดระยะเวลา ประหยัดทรัพยากร การดำเนินงานแบบดั้งเดิมที่ใช้ระบบเอกสารและการจัดการข้อมูลด้วยมือ (Manual) มักประสบปัญหาหลายประการ เช่น ความล่าช้าในการค้นหาและประมวลผลข้อมูล ความผิดพลาดจากการป้อนข้อมูลซ้ำซ้อน การสูญหายของเอกสารสำคัญ และการสิ้นเปลืองทรัพยากรกระดาษจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดในการแบ่งปันข้อมูลระหว่างหน่วยงาน ทำให้เกิดการทำงานที่แยกส่วนและขาดการบูรณาการ                ด้วยเหตุนี้ การนำระบบสารสนเทศมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการทำงาน จึงเป็นแนวทางสำคัญในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยจะช่วยยกระดับประสิทธิภาพการทำงานในหลายมิติ ได้แก่ การจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบในรูปแบบดิจิทัล การประมวลผลข้อมูลที่รวดเร็วและแม่นยำ การแบ่งปันข้อมูลระหว่างหน่วยงานแบบเรียลไทม์ การลดความซ้ำซ้อนในการทำงาน ตลอดจนการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจของผู้บริหาร           ผู้ให้ความรู้เล็งเห็นว่างานบางส่วนของสำนักงานทะเบียน สามารถนำระบบสารสนเทศเข้ามาใช้และจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานดังที่กล่าวไว้ข้างต้นได้ ในการถอดความรู้ครั้งนี้ จึงจะขอนำเสนอตัวอย่างงาน 2 ตัวอย่าง ได้แก่  1) งานระบบคำร้องขอเอกสารสำคัญทางการศึกษาในรูปแบบดิจิทัล 2) งานระบบคำร้องขอเงินคืนกรณีสำเร็จการศึกษา ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้  การวิเคราะห์และออกแบบระบบ การพัฒนาระบบ ความเข้าใจในกระบวนการทำงาน ประเภทความรู้และที่มาความรู้ ความรู้แบบชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) เจ้าของความรู้/สังกัด แนวทางการพัฒนาระบบฐานข้อมูลระดับมหาวิทยาลัย (กรณีศึกษาฐานข้อมูลบริการวิชาการ) ความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวคน (Tacit Knowledge) : เจ้าของความรู้/สังกัด  ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วุฒิพงษ์ ชินศรี นายธงชัย บุญเกิด นายพสุ กุนทีกาญจน์ นางสาวนิตยา ป้องศรี นายขุนคำ ปองรักษาชีวิต นางสาวไพวัลย์ ปัญญามูล วิธีการดำเนินการ ศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการทำงานต่างๆ ให้เข้าใจลำดับขั้นตอนการทำงาน รวมไปถึงผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด พิจารณาความเป็นไปได้ในการนำระบบสารสนเทศเข้ามาใช้ในขั้นตอนต่างๆ ขั้นตอนไหนทำได้ผ่านระบบ ขั้นตอนไหนต้องทำนอกระบบ ขั้นตอนไหนจำเป็นต้องมีหรือตัดออกได้ หากจำเป็นต้องมี จะปรับปรุงหรือเอาระบบสารสนเทศเข้ามาช่วยอย่างไรเพื่อให้สามารถ 1) ลดระยะเวลา 2) เพิ่มความสะดวก 3) ประหยัดทรัพยากร หากตัดออก ให้พิจารณาว่าตัดออกได้จริงๆ เพราะไม่จำเป็น หรือ ตัดออกแต่ต้องเพิ่มขั้นตอนอื่นหรือเอาระบบสารสนเทศมาทดแทน เพื่อให้สามารถส่งผลลัพธ์ต่อไปยังขั้นตอนถัดไปได้โดย 1) ลดระยะเวลา 2) เพิ่มความสะดวก 3) ประหยัดทรัพยากร พิจารณาความคุ้มค่าในมุมต่างๆ เช่น ด้านการเงิน ด้านทรัพยากร ด้านความพึงพอใจ (ลดระยะเวลา เพิ่มความสะดวก)  สื่อสาร ทำความเข้าใจ และประสานงานเพื่อให้เกิดการใช้งานระบบสารสนเทศดังกล่าว 2.Prototype testing in an operational environment – DO  ผลการดำเนินการ การนำไปใช้ หรือการลงมือปฏิบัติจริง อุปสรรคหรือปัญหาในการทำงาน การดำเนินงานในส่วนของงานระบบคำร้องขอเอกสารสำคัญทางการศึกษาในรูปแบบดิจิทัล และงานระบบคำร้องขอเงินค่าประกันคืนกรณีสำเร็จการศึกษา มีแนวทางในการดำเนินการตามวิธีการดำเนินการที่กล่าวไว้ แต่มีความแตกต่างกันในขั้นตอนต่างๆ เช่น                ในการพิจารณาเกี่ยวกับระบบคำร้องขอเอกสารสำคัญทางการศึกษาในรูปแบบดิจิทัล ระบบที่ใช้อยู่มีการรับคำร้องผ่านระบบออนไลน์อยู่แล้ว แต่พบว่ายังไม่สามารถชำระเงินค่าคำขอได้ทันที ประกอบกับเอกสารสำคัญทางการศึกษา มีขั้นตอนในการผลิตพอสมควร ตั้งแต่การเข้าไปค้นหาข้อมูล ตรวจสอบข้อมูล พิมพ์เอกสาร เซ็นรับรอง ประทับตรา ซึ่งทำให้การขอเอกสารสำคัญทางการศึกษาต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร ดังนั้น จึงมีแนวคิดในการนำ LINE OA: RSU Connect ซึ่งใช้ในการตรวจสอบผลการเรียน มาใช้เป็นช่องทางในการยื่นคำร้องขอเอกสารสำคัญทางการศึกษา และชำระเงินออนไลน์ได้ทันที จากนั้นเมื่อได้รับคำร้องมาที่ระบบ ทางเจ้าหน้าที่เพียงทำการตรวจสอบข้อมูล และยืนยัน ระบบจะทำการสร้างเอกสารสำคัญทางการศึกษาในรูปแบบดิจิทัลพร้อมลงลายมือชื่อดิจิทัล และส่งกลับไปให้นักศึกษาได้เลย ซึ่งจะตอบโจทย์เรื่อง 1) ลดระยะเวลา 2) เพิ่มความสะดวก 3) ประหยัดทรัพยากร ซึ่งระบบดังกล่าวหลังจากพัฒนาได้ใช้งานอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน แต่พบปัญหาในส่วนของนักศึกษาที่เกรดพึ่งออกครบแล้วอยากขอใบรับรองว่าจบการศึกษาในทันที กรณีนี้ สถานะในระบบยังไม่ได้ปรับเปลี่ยน เมื่อขอเข้ามาจึงยังมีสถานะกำลังศึกษาอยู่ แต่ปัจจุบันได้มีพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อให้รองรับการดำเนินการในกรณีดังกล่าวแล้ว           สำหรับในส่วนของระบบคำร้องขอเงินค่าประกันคืนกรณีสำเร็จการศึกษา ขั้นตอนที่ใช้ก่อนหน้านี้ นักศึกษาจะต้องไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาและผู้บริหารคณะเพื่อให้เซ็นใบคำร้อง จากนั้นจะมาที่สำนักงานทะเบียนเพื่อมาตรวจสอบว่าจบการศึกษาจริง ไม่มีหนี้ค้างหรือเงื่อนไขอื่นๆ เมื่อเรียบร้อยจะต้องไปติดต่อที่สำนักงานการเงินเพื่อให้ข้อมูลบัญชีเพื่อรอการโอนเงินค่าประกันคืน ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วพบว่า ขั้นตอนการไปพบอาจารย์ที่ปรึกษาและผู้บริหารคณะนั้น ไม่มีความเกี่ยวโยงกับเงื่อนไขในการพิจารณาขอเงินค่าประกันคืน ประเด็นสำคัญคือ นักศึกษาจบการศึกษาจริงหรือไม่ และมีหนี้ค้างหรือเงื่อนไขอื่นๆ ที่ต้องจัดการก่อนไหม โดยข้อมูลเหล่านี้มีจัดเก็บอยู่ในระบบแล้ว การมาติดต่อสำนักงานทะเบียนเพื่อตรวจสอบข้อมูลเหล่านี้จึงไม่จำเป็นเช่นกัน ดังนั้นนักศึกษาสามารถเข้าสู่ระบบคำร้องและระบบจะตรวจสอบได้ทันที หากไม่ติดอะไรสามารถให้ข้อมูลบัญชีเพื่อรอการโอนเงินค่าประกันคืน ซึ่งระบบจะส่งข้อมูลดังกล่าวให้กับทางสำนักงานการเงินโดยตรง ซึ่งระบบดังกล่าวหลังจากพัฒนาได้ใช้งานอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน 3. Proven through successful mission operation, Objectives and Key Results for Knowledge Management – CHECK การตรวจสอบผลการดำเนินการ การนำเสนอประสบการณ์การนำไปใช้ สรุปและอภิปรายผล บทสรุปความรู้หรือความรู้ที่ค้นพบใหม่           ระบบคำร้องขอเอกสารสำคัญทางการศึกษาในรูปแบบดิจิทัลมีการใช้งานมาประมาณ 8 เดือน มีการขอใช้งานมาไม่น้อยกว่า 4,415 รายการ แบ่งเป็น ใบรับรอง 2,087 รายการ ใบแสดงผลการเรียน 2,028 รายการ รวมมูลค่าไม่น้อยกว่า 400,000 บาท ซึ่งหลังจากนำระบบดังกล่าวเข้ามาใช้ จากการสอบถามนักศึกษา พบว่านักศึกษารู้สึกสะดวก กระบวนการขอเอกสารสำคัญมีความรวดเร็ว ในส่วนของผู้ปฏิบัติงาน สามารถให้บริการได้สะดวกและรวดเร็ว ลดขั้นตอนการทำงานได้ แต่อย่างไรก็ตามปริมาณการใช้งานระบบดังกล่าวในปัจจุบันยังใช้เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นเมื่อเทียบกับการขอเอกสารสำคัญในรูปแบบกระดาษ ซึ่งทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการประชาสัมพันธ์เพิ่มเติมเพื่อสร้างความรับรู้และความมั่นใจให้กับนักศึกษาในการขอเอกสารสำคัญในรูปแบบดิจิทัล ซึ่งล่าสุดทางวิทยาลัยเภสัชศาสตร์ ปกติจะมีการขอเอกสารสำคัญในรูปแบบกระดาษให้กับนักศึกษาทั้งวิทยาลัย แต่ในตอนนี้มีการขอเป็นรูปแบบดิจิทัลแทนแล้ว ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับคณะ/วิทยาลัย อื่นๆ ต่อไปได้ อันจะส่งผลให้ปริมาณการใช้งานเอกสารสำคัญในรูปแบบดิจิทัลเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยขั้นตอนการทำงานก่อนหลังนำระบบคำร้องขอเอกสารสำคัญทางการศึกษาในรูปแบบดิจิทัลมาใช้แสดงดังภาพที่ 1 ภาพที่ 1 ขั้นตอนการทำงานก่อนหลังนำระบบคำร้องขอเอกสารสำคัญทางการศึกษาในรูปแบบดิจิทัลมาใช้ ระบบคำร้องขอเงินค่าประกันคืนกรณีสำเร็จการศึกษามีการใช้งานมาประมาณ 7 เดือน มีการใช้งานมาไม่น้อยกว่า 2,100 รายการ ซึ่งจากการสอบถามนักศึกษา พบว่านักศึกษาค่อนข้างพึงพอใจ เนื่องจากได้รับเงินคืนรวดเร็ว และลดขั้นตอนไปได้หลายขั้นตอน ในส่วนของผู้ปฏิบัติงานนั้น ระบบดังกล่าวช่วยลดการจัดเก็บเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง สามารถสืบค้นข้อมูลและดำเนินการคืนเงินให้นักศึกษาได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ           ดังนั้น บทสรุปความรู้หรือสิ่งที่ค้นพบจากการนำระบบสารสนเทศเข้ามาใช้ในกระบวนการทำงาน คือ สามารถช่วยให้การดำเนินงานต่างๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น และส่งผลไปถึงความพึงพอใจของผู้ใช้งาน ซึ่งการที่ระบบดังกล่าวสามารถตอบโจทย์การทำงานได้เป็นอย่างดี เป็นผลมาจากการเข้าใจกระบวนการทำงาน เมื่อวิเคราะห์และพิจารณาความเป็นไปได้รวมถึงผลลัพธ์และความคุ้มค่าที่จะเกิดขึ้น จะสามารถทราบได้ขั้นตอนไหนควรปรับหรือเปลี่ยนหรือนำระบบสารสนเทศเข้ามาใช้งาน โดยขั้นตอนการทำงานก่อนหลังนำระบบคำร้องขอเงินค่าประกันคืนกรณีสำเร็จการศึกษามาใช้แสดงดังภาพที่ 2 โดยขั้นตอนการทำงานก่อนหลังนำระบบคำร้องขอเงินค่าประกันคืนกรณีสำเร็จการศึกษามาใช้แสดงดังภาพที่ 2 ข้อเสนอแนะในการดำเนินการในอนาคต หรือการดำเนินการเพื่อสามารถนำไปสู่การเป็น Good Practice ปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้การดำเนินการครั้งนี้สำเร็จ คือ ความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง แต่ก่อนที่จะตัดสินใจเปลี่ยนแปลงจริงๆ ควรดำเนินการดังนี้ ศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการทำงานต่างๆ ให้เข้าใจลำดับขั้นตอนการทำงาน รวมไปถึงผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด พิจารณาความเป็นไปได้ในการนำระบบสารสนเทศเข้ามาใช้ในขั้นตอนต่างๆ ขั้นตอนไหนทำได้ผ่านระบบ ขั้นตอนไหนต้องทำนอกระบบ ขั้นตอนไหนจำเป็นต้องมีหรือตัดออกได้ หากจำเป็นต้องมี จะปรับปรุงหรือเอาระบบสารสนเทศเข้ามาช่วยอย่างไรเพื่อให้สามารถ 1) ลดระยะเวลา 2) เพิ่มความสะดวก 3) ประหยัดทรัพยากร หากตัดออก ให้พิจารณาว่าตัดออกได้จริงๆ เพราะไม่จำเป็น หรือ ตัดออกแต่ต้องเพิ่มขั้นตอนอื่นหรือเอาระบบสารสนเทศมาทดแทน เพื่อให้สามารถส่งผลลัพธ์ต่อไปยังขั้นตอนถัดไปได้โดย 1) ลดระยะเวลา 2) เพิ่มความสะดวก 3) ประหยัดทรัพยากร พิจารณาความคุ้มค่าในมุมต่างๆ เช่น ด้านการเงิน ด้านทรัพยากร ด้านความพึงพอใจ (ลดระยะเวลา เพิ่มความสะดวก) สื่อสาร ทำความเข้าใจ และประสานงานเพื่อให้เกิดการใช้งานระบบสารสนเทศดังกล่าว                ซึ่งเมื่อดำเนินการตามขั้นตอนข้างต้นแล้ว ควรตัดสินใจร่วมกันทั้งในส่วนของผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงาน เพราะการเปลี่ยนแปลงย่อมสร้างผลกระทบบางอย่างทั้งในเชิงบวกและลบ ซึ่งเมื่อทุกคนเข้าใจและพร้อมจะเปลี่ยนแปลง แม้จะพบปัญหาหรืออุปสรรคใดๆ ทุกคนจะร่วมด้วยช่วยกันในการแก้ไขต่อไป เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่ได้ตั้งเอาไว้ โดยประเด็นสำคัญ ที่ต้องพิจารณาหลังจากนำระบบสารสนเทศมาใช้ คือ ความสเถียรของระบบสารสนเทศ ต้องสามารถทำให้ผู้ใช้งานมั่นใจในความถูกต้องแม่นยำ ไม่เกิดข้อผิดพลาด ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาอื่นๆ ตามมาให้ต้องแก้ไข โดยหากเกิดประเด็นดังกล่าว ต้องรีบแก้ไขปรับปรุงระบบสารสนเทศให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ                แต่อย่างไรก็ตามนโยบาย ระเบียบ ที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องเอื้อหรือสนับสนุนสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลง หากยังมีระเบียบหรือเงื่อนไขใดที่เป็นอุปสรรคต้องรีบดำเนินการเพื่อให้สอดคล้องกัน ซึ่งผู้ให้ความรู้เชื่อว่าแนวปฏิบัติดังกล่าวจะสามารถเป็นแนวปฏิบัติที่ดีให้กับหน่วยงานอื่นๆ สามารถนำขั้นตอนวิธีนี้ไปประยุกต์ใช้เพื่อตัดสินใจในการนำระบบสารสนเทศเข้ามาใช้ในกระบวนการทำงาน

การนำระบบสารสนเทศเข้ามาใช้ในกระบวนการทำงาน Read More »

การศึกษา พัฒนา ออกแบบสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ผ้าทอพื้นเมืองอำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี: บทบาทในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีแก่นักศึกษาและมหาวิทยาลัยรังสิต ตั้งแต่ปี 2558 ถึงปัจจุบัน

รางวัลดีเด่น ปีการศึกษา 2567 ยุทธศาสตร์ที่ 5 : KR 5.1.2/1 การศึกษา พัฒนา ออกแบบสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ผ้าทอพื้นเมืองอำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี : บทบาทในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีแก่นักศึกษาและมหาวิทยาลัยรังสิต ตั้งแต่ปี 2558 ถึงปัจจุบัน ผู้จัดทำโครงการ​ นางสาวกัญญ์กานต์ กุญโคจร นายกิตติธัช ช้างทอง นางสาวชวัลรัศมิ์ จตุเทน และ นางสาววิลาวัณย์ แดนสีแก้ว สถาบันศิลปวัฒนธรรมและพัฒนาสังคม หลักการและเหตุผล/ความสำคัญ/ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้​              ด้วยวิสัยทัศน์ของผู้บริหารมหาวิทยาลัยรังสิต ที่มุ่งเน้นการพัฒนา สังคม ชุมชน และวิถีวัฒนธรรมท้องถิ่น ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของชุมชนอำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งมีความโดดเด่นด้านสถาปัตยกรรม วัตถุดิบท้องถิ่น และความหลากหลายทางวัฒนธรรม อันควรค่าแก่การอนุรักษ์และส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน              โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผ้าทอพื้นเมืองจากฝ้ายย้อมคราม ซึ่งมีเอกลักษณ์โดดเด่น ทั้งในด้านลวดลายโบราณ เทคนิคการถักทอด้วยมือ เส้นฝ้ายแท้ และกระบวนการย้อมสีจากพืชธรรมชาติในท้องถิ่น ซึ่งสะท้อนถึงภูมิปัญญาของชุมชน ด้วยเหตุนี้ มหาวิทยาลัยรังสิตจึงมุ่งมั่น ยกระดับผ้าทอพื้นเมืองให้มีทั้งมูลค่าและคุณค่า พร้อมส่งเสริมให้เป็นอัตลักษณ์สำคัญของชุมชน และต่อยอดสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ได้ เพื่อให้ชุมชนสามารถพัฒนา เศรษฐกิจหมุนเวียน โดยอาศัยทุนทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น                ผลิตภัณฑ์ผ้าทอพื้นเมืองอำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี ถือเป็นหนึ่งในมรดกทางวัฒนธรรมที่มีคุณค่าและความสำคัญในด้านศิลปะวัฒนธรรมการทอผ้า ซึ่งสะท้อนถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สืบทอดกันมาหลายรุ่น ของทางภาคอีสาน โดยตั้งแต่ปีการศึกษา พ.ศ. 2558 การศึกษาและพัฒนาออกแบบผลิตภัณฑ์ผ้าทอพื้นเมืองอำเภอเขมราฐ ได้รับการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยรังสิตในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของนักศึกษาและบุคลากร ผ่านการลงพื้นที่ศึกษากระบวนการผลิตผ้าทอพื้นเมืองของชุมชนอำเภอเขมราฐ โดยเน้นการศึกษาและลงมือปฏิบัติในด้านการพัฒนาลวดลาย การใช้สีธรรมชาติ และเส้นใยธรรมชาติ พืชเศรษฐกิจที่นำใช้ในกระบวนการทอผ้า  จากลวดลายดั้งเดิมสู่นวัตกรรมองค์ความรู้จากนักศึกษาและสาขาวิชาที่มหาวิทยาลัยเปิดสอนไปบูรณาการร่วมกับชุมชน ในการสร้างลวดลาย โทนสี เส้นใยใหม่ เป็นกระบวนการที่สำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าทอพื้นเมืองให้ตอบสนองต่อความต้องการและรสนิยมของตลาดในปัจจุบัน โดยการนำลวดลายดั้งเดิมที่สะท้อนถึงความงามและภูมิปัญญาท้องถิ่นมาปรับปรุงและพัฒนาให้มีความทันสมัยและหลากหลายมากยิ่งขึ้น                        การศึกษาและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าทอพื้นเมืองอำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี เริ่มต้นขึ้น  เมื่อปี พ.ศ. 2558 โดยการสำรวจพื้นที่เพื่อศึกษาความเป็นเอกลักษณ์ของศิลปะ วัฒนธรรม และวัตถุดิบที่ใช้ในชุมชน ซึ่งตรงตามจุดประสงค์ของการศึกษาเพื่อสร้างความร่วมมือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าทอพื้นเมืองให้มีคุณค่าและสามารถนำไปสู่การสร้างรายได้ให้กับชุมชนในระยะยาว             ช่วงปี พ.ศ. 2559 – 2560 ได้ดำเนินการศึกษาลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องและพัฒนาลวดลายผ้าพื้นเมือง รวมถึงการออกแบบเครื่องแต่งกายที่ใช้ผ้าพื้นเมือง ซึ่งเน้นการประยุกต์ใช้ลวดลายดั้งเดิมให้เข้ากับเทรนด์และความต้องการของตลาดสมัยใหม่ โดยมีการออกแบบที่สามารถดึงดูดกลุ่มผู้บริโภคคนเมืองให้มีความน่าสนใจในรูปแบบที่ร่วมสมัย การวิเคราะห์และการออกแบบเครื่องแต่งกายจากลวดลายผ้าไทยในกระบวนการนี้มีความสำคัญต่อการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เพียงแต่รักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม แต่ยังสามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลาย และสามารถรักษาคุณค่าและความหมายทางวัฒนธรรมที่มีความสำคัญต่อชุมชนได้อย่างยั่งยืน พร้อมจัดแสดงแฟชั่นโชว์ผ้าทอพื้นเมืองอำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี เป็นครั้งแรกในงานเปิดฤดูกาลการท่องเที่ยวอำเภอเขมราฐ “ฤดูกาลบอกรัก (ษ์) เขมราษฎร์ธานี” โดยนักศึกษามหาวิทยาลัยรังสิตร่วมกับชุมชน ภายใต้ความร่วมมือด้านวิชาการและศิลปวัฒนธรรม ระหว่างเทศบาลตำบลเขมราฐและมหาวิทยาลัยรังสิต              ช่วงปี พ.ศ. 2561 สถาบันศิลปวัฒนธรรมและพัฒนาสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ทำการศึกษาและพัฒนาผ้าทอพื้นเมืองเขมราฐ ในรูปแบบของผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์ เช่น กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ หมวก และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ตามวิถีชีวิตชุมชน ได้ถูกออกแบบโดยนักศึกษาให้มีความสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์และความต้องการของตลาดมากยิ่งขึ้น โดยคำนึงถึงการใช้ผ้าพื้นเมืองอำเภอเขมราฐให้เป็นส่วนสำคัญในกระบวนการผลิต เพื่อสร้างความหลากหลายในการนำเสนอผ้าพื้นเมืองในรูปแบบใหม่ที่ทันสมัยและมีคุณค่าเชิงวัฒนธรรม สนับสนุนกิจกรรมส่งเสริมเสริมการท่องเที่ยวเมืองเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี ผ่านกิจกรรมสร้างสรรค์ทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัยรังสิต             ช่วงปี พ.ศ. 2562 – 2564 การถ่ายทอดกระบวนการทอผ้าพื้นเมืองและการพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ในมิติต่างๆ ผ่านการสร้างสรรค์สื่อมัลติมีเดียทางด้านศิลปวัฒนธรรม โดยมีการนำเสนอในมิติการท่องเที่ยวและรูปแบบสารคดี ผ่านช่อง YouTube สถาบันศิลปวัฒนธรรมและพัฒนาสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต สามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคและนักท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพ สื่อมัลติมีเดียที่สร้างขึ้นในปีดังกล่าวได้รวบรวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับประเพณีการทอผ้าพื้นเมือง ลวดลายผ้าที่มีเอกลักษณ์ กระบวนการผลิตผ้าแบบดั้งเดิมไปถึงการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ทันสมัย ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมโยงระหว่างวิถีชีวิตชุมชนและการพัฒนาในยุคปัจจุบัน การนำเสนอในรูปแบบสารคดีช่วยให้ผู้ชมเข้าใจถึงกระบวนการทางศิลปะและวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับการทอผ้า และยังเสริมสร้างการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์ในพื้นที่อำเภอเขมราฐ ซึ่งถือว่าเป็นการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับศิลปะการทอผ้าและวัฒนธรรมท้องถิ่นไปสู่สาธารณะชนในวงกว้าง อีกทั้งได้เสริมสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับชุมชนจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าทอพื้นเมืองสู่ผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านการตลาดและการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมในยุคปัจจุบัน             ช่วงปี พ.ศ. 2565 – 2566 การพัฒนา การออกแบบลวดลายผ้าพื้นเมืองอำเภอเขมราฐ โดยการนำมาประยุกต์เข้ากับแพทเทิร์นที่ทันสมัย ตอบโจทย์ความต้องการของสังคม ซึ่งได้ศึกษา ทดสอบร่วมกับเทคโนโลยีและวัสดุใหม่ๆ มาใช้ในการพัฒนา คือ การนำหนังแท้จาก ที่ผลิตโดยโรงผลิตในเขตพื้นที่ชุมชนหลักหก จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นการสนับสนุนและสร้างความร่วมมือกับชุมชนท้องถิ่นโดยรอบมหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งชาวชุมชนได้มีส่วนร่วมในการผลิตหนังแท้ที่ใช้ร่วมกับผ้าพื้นเมืองในการออกแบบผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทำให้ผลงานมีความทันสมัยสู่สากล และคงคุณค่าทางวัฒนธรรมสูงสุด             ต่อมาช่วงปี พ.ศ. 2566 ได้มีการสร้างสรรค์พัฒนารูปแบบจากผ้าพื้นเมืองลวดลายโบราณสู่ลวดลายผ้าขาวม้า ที่ปรับเปลี่ยนตามบริบทของสังคมให้มีความทันสมัยมากขึ้น แต่ยังคงในเรื่องของ concept การถักทอด้วยมือ ลวดลายและสีธรรมชาติ จากชุมชน ลงพื้นที่ ณ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มสตรีพัฒนาบ้านโพธิ์เมือง “เฮือนชูฮัก โฮมสตังค์” บ้านโพธิ์เมือง ตำบลนาแวง อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อร่วมศึกษาผลิตภัณฑ์ที่มาจากวิถีชีวิตชุมชนสะท้อนผ่านบนพื้นผ้าผ้าขาวม้าทอมือ ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจากกระบวนการ การเลือกใช้วัตถุดิบ การใช้สี  ใช้เส้นใย การถักทอผ้า จนถึงขั้นตอนการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ซึ่งครั้งนี้มหาวิทยาลัยรังสิต เข้าร่วมโครงการ eisa อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 จัดขึ้นโดยบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และบริษัทประชารัฐรักสามัคคีวิสาหกิจเพื่อสังคม (ประเทศไทย) เตรียมพร้อมสนับสนุนผ้าขาวม้าทอมือทั่วประเทศไทย เพื่อการส่งเสริมพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนสู่ความยั่งยืน ภายใต้โครงการ Creative Young Designers Season 3 เข้าผนึกกำลังช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์จากผ้าขาวม้า พร้อมการจัดกิจกรรม Workshop ต่าง ๆ ที่เกิดประโยชน์ต่อนักศึกษาและชุมชน ก่อนไปสู่กระบวนการความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบตัดเย็บชุดแฟชั่นจากผ้าขาวม้า ให้มีความเป็นสากล เข้าถึงคนเมืองมากขึ้น จนได้โมเดลผลงานสร้างสรรค์ต้นแบบชุดแฟชั่นจากผ้าขาวม้าส่งมอบให้แก่ชุมชน  อีกทั้งเพื่อส่งเสริม  การพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากผ้าทอมือของชุมชน และการสร้างโอกาสในการขยายตลาดประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากผ้าทอมือให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้กับชุมชน และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของจังหวัดอุบลราชธานี สู่การผลิตสื่อจากโครงการ eisa  ผ้าขาวม้าท้องถิ่นหัตถศิลป์ไทย ของบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ที่มาร่วมลงพื้นที่และบันทึกเทปการถ่ายทำสื่อวิดีโอ ประชาสัมพันธ์เผยแพร่โครงการผ่านสื่อต่างๆ อาทิ รายการบันทึกไทยเบฟ และ ช่อง Amarin TV 34HD สุดท้ายทางมหาวิทยาลัยรังสิตได้มอบลวดลายสร้างสรรค์ผ้าขาวม้าอำเภอเขมราฐให้กับชุมชนได้ไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ต่อไป       ในเทศกาลเปิดฤดูกาลท่องเที่ยวอำเภอเขมราฐ ตลาดบกสืบสานวัฒนธรรมไทย สัมผัสวิถีชุมชนเขมราษฎร์ธานี ดินแดนแห่งความสุข ประจำปี 2566                จากกิจกรรม “10 ตลาดบก 6 ตลาดน้ำ สืบสานวัฒนธรรมไทย” โดยกระทรวงวัฒนธรรม  กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ประจำปีงบประมาณ 2566 เพื่อส่งเสริมให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับประชาชน จากการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และวัฒนธรรม และความร่วมมือด้านทางวิชาการ           ช่วงปี พ.ศ. 2567 – ปัจจุบัน การออกแบบ ผลิตภัณฑ์กางเกง “บอกรักษ์เขมราฐ” จากลวดลายวิถีชีวิตเขมราฐได้รับแรงบันดาลใจจากลวดลายผ้าพื้นเมือง วิถีชีวิต สถาปัตยกรรม และประติมากรรมที่เป็นเอกลักษณ์ท้องถิ่นที่มีความโดดเด่นชุมชนอำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี และสะท้อนถึงวัฒนธรรมที่มีความหลากหลาย ภายใต้กระบวนการออกแบบที่ได้รับการพัฒนาผ่านการวาดลายเส้นอย่างละเอียด โดยนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งได้ศึกษา คิดค้นและออกแบบลวดลาย การผสมผสานระหว่างการออกแบบลวดลายผ้าด้วยเทคนิค  การพิมพ์สกรีนสี ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการพิมพ์ที่ทันสมัย ทำให้ผลงานมีความหลากหลายและทันสมัยมากขึ้น  คงรักษาคุณค่าและเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชุมชน และมอบลวดลายผ้าที่ออกแบบนี้ให้กับชุมชน เพื่อให้สามารถนำไปต่อยอดและพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ ซึ่งช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับชุมชนในอำเภอเขมราฐ และยังเป็นการสร้างการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างภาคการศึกษาและชุมชนในการอนุรักษ์และส่งเสริมการใช้วัสดุพื้นบ้านที่มีคุณค่าอย่างยั่งยืน              การศึกษานี้ ถือเป็นการช่วยเสริมสร้างความเข้าใจลึกซึ้งกับภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติ และเป็นการรวบรวมข้อมูลสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าทอที่สามารถพัฒนาต่อยอดนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่า ในด้านของเรื่องราววิถีชีวิตชุมชน ความงาม และคุณภาพของวัตถุดิบชุมชน โดยการผสมผสานเทคนิคดั้งเดิมเข้ากับการออกแบบร่วมสมัย การลงพื้นที่ศึกษาและปฏิบัติพัฒนาองค์ความรู้ร่วมกับชุมชนตลอดระยะเวลา 10 ปี (พ.ศ. 2558 – พ.ศ.2568) จึงเป็นกระบวนการที่เสริมสร้างการเรียนรู้และพัฒนาทักษะของนักศึกษา บุคลากร และสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างมหาวิทยาลัยและชุมชน ตลอดจนสามารถเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรท้องถิ่นได้อย่างยั่งยืน  ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้                การใช้ความรู้ในการพัฒนาและออกแบบสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ผ้าทอพื้นเมืองนั้น โดยเริ่มต้นจากการเข้าใจและศึกษาลักษณะเฉพาะของวัสดุท้องถิ่นและภูมิปัญญาของชุมชน การออกแบบลวดลายผ้าเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีความงดงามและสะท้อนเอกลักษณ์ของชุมชนท้องถิ่น การศึกษาและวิจัยลวดลายดั้งเดิมของชุมชนอำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี มีบทบาทสำคัญในการรักษาและสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมที่มีคุณค่าให้คงอยู่ ลวดลายเหล่านี้มักมีความหมายทางสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อ วิถีชีวิต ประวัติศาสตร์ของชุมชน ซึ่งสามารถนำมาพัฒนาต่อเป็นลวดลายที่ทันสมัย แต่ยังคงไว้ซึ่งความหมายและเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมท้องถิ่น สร้างสรรค์ลวดลายผ้าให้คงเอกลักษณ์ของชุมชน ทั้งด้านการอนุรักษ์วัฒนธรรมและการนำเสนอความคิดสร้างสรรค์ในรูปแบบที่ทันสมัยและมีความหมายทางสังคม โดยกระบวนการศึกษาลงมือปฏิบัติ  มีการพัฒนาองค์ความรู้สำคัญ ดังนี้                1.องค์ความรู้ด้านการออกแบบลวดลายผ้า                การศึกษาและเข้าใจลวดลายดั้งเดิมของชุมชน โดยลวดลายและสัญลักษณ์ที่มีความสำคัญ  ในวัฒนธรรมท้องถิ่นและสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ ความเชื่อ และประวัติศาสตร์ของชุมชน รวมถึงคำนึงการใช้สีธรรมชาติในการออกแบบ เรียนรู้การใช้สีจากธรรมชาติที่ได้จากพืช แร่ธาตุในชุมชนท้องถิ่น ซึ่งมีผลต่อลวดลายผ้า สีที่ได้จากธรรมชาติมักจะมีเอกลักษณ์และให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างจากสีสังเคราะห์ รวมถึงการผสมผสานระหว่างลวดลายดั้งเดิมและการออกแบบสมัยใหม่ เพื่อให้เกิดความสวยงามร่วมสมัย ซึ่งแนวทางการออกแบบ ที่สามารถนำมาใช้ในการสร้างสรรค์ลวดลายผ้าได้ นักศึกษาและบุคลากรได้เรียนรู้และนำโมเดลมาปรับใช้ครั้งนี้  ดังนี้                         Design Thinking                กระบวนการออกแบบที่มุ่งเน้นผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง โดยประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ  มีกระบวนการดังนี้ การเข้าใจปัญหา, การกำหนดปัญหา, การระดมความคิด, การสร้างต้นแบบ  และการทดสอบ                Sustainable Design Model                การออกแบบที่สามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมความยั่งยืนในการใช้วัสดุและกระบวนการผลิต                Modular Design                การออกแบบที่สามารถนำส่วนต่างๆ มาเชื่อมโยงและใช้งานร่วมกันได้ โดยมีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนและพัฒนา                Cultural Design Model                การออกแบบที่ใช้แรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมและประเพณีของท้องถิ่น ซึ่งช่วยในการสื่อสารเรื่องราวและความเป็นเอกลักษณ์                Innovation Design Model                เน้นการคิดสร้างสรรค์และพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ในการออกแบบเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างจากเดิม                The Four Pillars of Sustainability                การนำ เศรษฐกิจ, สังคม, สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม มาเชื่อมโยงกัน องค์ความรู้ด้านกระบวนการทอผ้า                การเรียนรู้เทคนิคการทอผ้าแบบดั้งเดิมในชุมชน เกี่ยวกับเทคนิคการทอ ซึ่งกี่ทอผ้าของแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกัน การถ่ายทอดเทคนิคเฉพาะตัวของมันจะช่วยให้สามารถสร้างลวดลายที่สวยงามและคงความเอกลักษณ์ของชุมชนไว้ได้ และต้องคำนึงถึงการคัดสรรวัสดุที่ใช้ในการทอผ้า การเลือกวัสดุทอผ้าที่มีความเหมาะสม เช่น ไหม ฝ้าย หรือใยจากธรรมชาติพืชท้องถิ่น อีกทั้งการพัฒนาเทคนิคการทอให้เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ ปรับปรุง พัฒนาเทคนิคการทอในรูปแบบใหม่ๆ โดยการผสมผสานระหว่างเทคนิคดั้งเดิมกับเทคโนโลยีใหม่เพือเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต นักศึกษาและบุคลากรได้เรียนรู้และนำโมเดลมาปรับใช้ครั้งนี้ ดังนี้                        Biomimicry Design                การนำแนวคิด Biomimicry มาประยุกต์ในการออกแบบการทอผ้า ในการศึกษาธรรมชาติในการทอรวมถึงการเลือกใช้วัสดุที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับธรรมชาติ                Sustainability Design                การออกแบบที่มุ่งเน้นความยั่งยืนในทุกด้าน โดยเฉพาะการเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  การออกแบบที่ช่วยลดการใช้ทรัพยากร การเลือกใช้วัสดุธรรมชาติหรือการใช้เทคนิคการทอที่ช่วยประหยัดพลังงานและลดการปล่อยสารพิษ  องค์ความรู้ด้านการใช้สีธรรมชาติ                การเรียนรู้วิธีการสกัดและใช้งานสีจากธรรมชาติ เช่น คราม, ฝาง, ครั่ง, ใบไม้กิ่งไม้ และอื่นๆ ที่เป็นธรรมชาติในการย้อมสีผ้า โดยเลือกใช้สีที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม คำนึงถึงผลกระทบต่อธรรมชาติและวิธีการย้อมที่เป็นมิตรต่อโลก นักศึกษาและบุคลากรได้เรียนรู้และนำโมเดลมาปรับใช้ครั้งนี้ ดังนี้                     Color Wheel Model                โมเดลวงล้อสีเป็นเครื่องมือพื้นฐานในการเลือกสี                Cultural Color Significance                การเลือกใช้สีในแต่ละวัฒนธรรมท้องถิ่นนั้น ๆ                Pantone Matching System                การจับคู่สีมาตรฐานที่ใช้ในอุตสาหกรรมการพิมพ์และการออกแบบ องค์ความรู้ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์                การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้งานได้จริง การนำผ้าที่ทอมาออกแบบให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่า และสามารถใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน เช่น เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ที่มีความสวยงามและประโยชน์ใช้สอย  รวมไปถึงการรักษาคุณภาพและความคงทนของผ้า โดยผ่านการทดสอบและพัฒนาเทคนิคการทอและการย้อมสีเพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพสูง นักศึกษาและบุคลากรได้เรียนรู้และนำโมเดลมาปรับใช้ครั้งนี้ ดังนี้                Sustainable Design Framework (การออกแบบที่ยั่งยืน)                การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ โดยใช้วัสดุ ที่ยั่งยืนและกระบวนการผลิตที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งการใช้แนวทางนี้ ช่วยให้กระบวนการผลิตสีธรรมชาติ  มีความยั่งยืน                Cradle to Cradle Design (C2C)                โมเดลการออกแบบนี้ มุ่งเน้นการผลิตที่ไม่มีขยะโดยใช้วัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นในด้านวัสดุหรือในกระบวนการผลิต โดยเฉพาะการใช้วัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้ การใช้สีจากธรรมชาติที่ไม่ทิ้งสารพิษและสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ในกระบวนการผลิตอื่น ๆ                Brand Identity Model                มุ่งเน้นการสร้างและการจัดการภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่สะท้อนถึงคุณค่าหลักและเอกลักษณ์ของแบรนด์เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายสามารถจดจำและเชื่อมโยงกับแบรนด์ได้   องค์ความรู้ด้านความยั่งยืน                การเลือกใช้วัสดุที่ยั่งยืน โดยการเลือกใช้วัสดุที่มีความยั่งยืน เช่น วัสดุธรรมชาติที่สามารถผลิตและใช้ใหม่ได้และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม องค์ความรู้ด้านการอนุรักษ์เอกลักษณ์ชุมชน                การให้ความสำคัญกับการเรียนรู้จากนักปราชญ์ในชุมชน การสัมภาษณ์ผู้มีประสบการณ์ในการทอผ้าและการถ่ายทอดองค์ความรู้ที่สำคัญ โดยร่วมมือกับชุมชนให้มีส่วนร่วมในกระบวนการออกแบบ การผลิต และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อให้การสร้างสรรค์งานยังคงสะท้อนอัตลักษณ์ เอกลักษณ์ ความคิดของชุมชน นักศึกษา และบุคลากรได้เรียนรู้และนำโมเดลมาปรับใช้ครั้งนี้ ดังนี้                Community-Based Sustainable Development                การพัฒนาโดยมีการมีส่วนร่วมจากชุมชนในการตัดสินใจและดำเนินการ โดยให้ชุมชนเป็นเจ้าของกระบวนการพัฒนาและการอนุรักษ์สิ่งที่มีค่าในท้องถิ่น                Cultural Heritage Preservation                การอนุรักษ์และปกป้องมรดกทางวัฒนธรรมของเป็นวัตถุและที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น จัดการและดูแลมรดกทางวัฒนธรรมให้มีความยั่งยืนในด้านการศึกษาและการปกป้อง                Cultural Capital Model                ทุนทางวัฒนธรรม ที่มีค่าของชุมชน                Cultural Identity Model                ส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตามประเพณีท้องถิ่นและการสร้างความเข้าใจในวัฒนธรรมเพื่อสร้างอัตลักษณ์ที่สอดคล้องกับค่านิยมและวิถีชีวิตของชุมชน                Heritage and Legacy Model                การสร้างอัตลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับการอนุรักษ์และการถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมเพื่อให้คงอยู่ในเยาวชนไทยรุ่นหลัง                7.องค์ความรู้ด้านช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชน                การจัดการด้านของจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชน ถือเป็นกระบวนการที่ช่วยให้ผลิตภัณฑ์จากชุมชนสามารถเข้าถึงตลาดทุกมิติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจท้องถิ่น นักศึกษา  และบุคลากรได้เรียนรู้และนำโมเดลมาปรับใช้ครั้งนี้ ดังนี้                  ทฤษฎีเศรษฐกิจฐานราก        โดยมุ่งเน้นให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองและสร้างรายได้ผ่านการผลิตและจำหน่ายสินค้าของตนเอง โดยช่องทางการจัดจำหน่ายที่ใช้เครือข่ายในท้องถิ่น ถนนคนเดินสายวัฒนธรรมประจำทุกสัปดาห์ ตลาดชุมชน ศูนย์สินค้า OTOP หรือเครือข่ายวิสาหกิจชุมชน ซึ่งได้เน้นแนวคิด “การตลาดเพื่อชุมชน” ที่ช่วยให้ชุมชนสามารถแข่งขันในตลาดได้ ประเภทความรู้และที่มาความรู้ ความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวคน (Tacit Knowledge) เจ้าของความรู้/สังกัด ทีมอาจารย์และบุคลากรสถาบันศิลปวัฒนธรรมและพัฒนาสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ร่วมกับชาวบ้าน นักปราชญ์ชุมชนอำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี                                       อื่น ๆ (ระบุ) หนังสือ ตำรา บทความวิจัย วิชาการ ด้านศิลปะการออกแบบ ศิลปวัฒนธรรม และคติชนสร้างสรรค์ วิธีการดำเนินการ                ระยะเวลา 10 ปี (พ.ศ. 2558 – พ.ศ.2568) ได้ถอดบทเรียนจากการศึกษา พัฒนา ออกแบบสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ผ้าทอพื้นเมืองอำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี บทบาทในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดี แก่นักศึกษา บุคลากร และมหาวิทยาลัยรังสิต ตั้งแต่ปี 2558 ถึงปัจจุบัน โดยเริ่มต้นจาก  การศึกษาคุณค่าและเอกลักษณ์ของผ้าท้องถิ่น                การศึกษากระบวนการทอผ้าเริ่มต้นด้วยการเข้าใจถึงเอกลักษณ์ของผ้าท้องถิ่นในแต่ละชุมชน เช่น การศึกษาลวดลาย เทคนิคการทอ วัสดุที่ใช้ และการเล่าเรื่องราวที่ผ้าสื่อถึง ผ้าไหม ผ้าฝ้ายในแต่ละท้องถิ่น รวมถึงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่สะท้อนผ่านลวดลายผ้า สำรวจและเก็บข้อมูลจากชุมชน                การที่นักศึกษาและบุคลากรลงพื้นที่ไปเยี่ยมชมพร้อมศึกษาเรียนรู้ชุมชนที่อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งมีเรื่องเล่าและตำนาน ทอผ้าและมีประวัติศาสตร์ทอผ้าอันยาวนาน โดยใช้กระบวนการสัมภาษณ์และเก็บข้อมูลจากชาวบ้านหรือช่างทอผ้า ปราชญ์ชวบ้าน ผู้มีองค์ความรู้เกี่ยวกับการทอผ้าและลวดลายเฉพาะของชุมชนท้องถิ่นนั้น ๆ  ศึกษาลวดลายและสัญลักษณ์       การศึกษาเกี่ยวกับลวดลายที่สำคัญของชุมชน เช่น ลายดอกไม้, ลายสัตว์, ลายธรรมชาติ หรือสัญลักษณ์ที่มีความหมายทางศาสนา วัฒนธรรม หรือประเพณีของชุมชน ให้สามารถรักษาความหมายและความสำคัญของลวดลายในผืนผ้า ซึ่งผ้าฝ้ายทอเมืองเขมราษฎร์ธานี อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี มีเรื่องเล่าและตำนานผ่านลวดลายบนผืนผ้าทอจำนวน 14 ลวดลาย ดังนี้ 1) ลายช่อเทียน                   เกิดขึ้นในรัชกาลที่ 5 ของเมืองสยาม ชาวบ้านโคกกงพะเนียงอยู่ในศีลกินในธรรมมาโดยตลอด ผู้ชายก็ออกรบอยู่ไม่ขาด ถ้าทางราชการต้องการก็จะส่งคนที่เก่งฟันดาบคาถาอาคมไปช่วยอยู่มิขาด เมื่อนางนวลตั้งท้องได้ 3 เดือน สามีของนางถูกส่งไปช่วยเหลือราชการแดนไกล เมื่อไปแล้วถูกส่งไปเรื่อย ๆ จนถึงเมืองหลวง เพราะสามีนางเก่งกาจวิชาอาคมบู๊บุ๋น นางสวดมนต์ภาวนาเสมอ นางเป็นผู้นำชาวบ้านลงวัดผู้นำขึ้นบทสวด ผู้นำร้องสรภัญญะ เสียงของนางไพเราะ ใสเหมือนระฆัง นางเลี้ยงลูกได้ 9 – 10 ปี มีทหารขี่ม้าส่งข่าวสารเขียนว่า “ข้าสบายดี จะได้กลับบ้านเราแล้ว ให้นำข่าวไปบอกญาติๆ ข้าด้วย คิดถึงทุกชั่วทุกยาม” ข้าคำหาญ นางดีใจจนสุดที่จะบรรยาย นางได้จุดเทียนสวดมนต์ด้วยน้ำตาและตั้งใจว่าจะมัดหมี่ลายช่อเทียนเป็นครั้งแรก โดยจำลองเอาเทียนที่ตนไหว้พระสวดมนต์มาทำแนวลายมัดหมี่ นางมัดหมี่เพื่อจะใส่อวดสามีตอนกลับมา นางมัดเวลาพลบค่ำจนถึงไก่ขันจึงเสร็จ แสงเทียนนางสว่างทั้งคืน นางมัดเสร็จภายในคืนเดียว ตื่นเช้ามานางย้อมคราม นางมีเจตนาว่าถ้าผู้ใดได้ใส่ผ้ามัดหมี่ลายนี้ นางขออวยพร 2) ลายดาวเคียงเดือน                   เมื่อราวรักสามเศร้าที่ไม่สมหวัง เมื่อชายหนุ่มหลงรักหญิงสาวคือนางเดือนเต็มและนางแสงดาวลูกสาวเศรษฐี พ่อแม่ฝ่ายชายจะยกขันหมากไปสู่ขอนางเดือนเต็มให้ แต่ด้วยความกลัวว่าทั้งสองนางจะเสียใจชายหนุ่มจึงเข้าไปขวางขบวนขันหมาก ฝ่ายพ่อโมโหมาก จึงเนรเทศลูกออกจากเมืองด้วยกลัวเสียหน้าจึงยกขบวนขันหมากไปสู่ขอลูกสะใภ้เช่นเดิม แต่ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของเจ้าบ่าว ฝ่ายหญิงจึงคิดค่าปรับเป็นทองคำ 10 บาท  วันหนึ่งขณะที่สองนางไปเที่ยวป่าของชายทุ่ง ชายหนุ่มได้เขียนจดหมายไปบอกลาว่าเขาไม่สามารถที่จะแต่งงานกับใครได้เลย เพราะทั้งคู่ต่างดีกับเขา ไม่อยากให้ใครต้องมาทุกข์ใจ เขาจึงขอบวชตลอดชีวิตเพื่อชดเชยความผิดในครั้งนี้ 3) ลายนาคน้อย                   เกิดขึ้นพร้อมกับมีชาววงศ์ปัดสาสร้างวัดกลางเมื่อนานมาแล้ว ข่าวเล่าขานกันอยู่มิขาดระยะ คือชาวบ้านโคกกงพะเนียงได้พบเห็นนางสองนางมายืมฟืม ในเวลาบ่ายคล้อยเกือบค่ำ วันศีล 5 พอดี วันนั้นมีลมพัดโชยมาเยือกเย็นผิดปกติ นางฟางนั่งทอผ้าอยู่ใต้ถุนบ้าน นางทั้งสองสวยผิวขาวเหลือง มีปิ่นปักผม 3 ช่อ ข้างหูทั้งสองข้าง ผมยาวกลางหลัง นางยิ้มและพูดว่า “ข้ามาขอยืมฟืมเจ้าไปทอผ้าสัก 5 – 6 วันแล้วจะเอามาส่งคืน” นางฟางตอบว่า “ทำไมเร็ว จะทออะไรถึงได้ทอ 5 – 6 วัน” นางบอกว่า “ข้าจะทอผ้ามัดหมี่ลายนาคน้อย” “เจ้าให้ยืมเถิด ข้าจะทอลายนาคน้อยมาให้เจ้าดู” แล้วนางฟางก็ถามว่า บ้านเจ้าอยู่ที่ใด นางตอบ “อยู่ฝั่งห้วยใกล้ นี่เอง” นางฟางคิดว่าเป็นชาวบ้านท่าปัดซุมฝั่งลาวนั่งเรือมายืมจึงให้ไป โดย 5 วันต่อมาอากาศอึมครึม ลมเย็น ๆ เช่นเดิม เวลาเดิม นางทั้งสองเดินเข้ามา “ข้าเอาฟืมมาส่งแล้ว” นางก็อวดผ้าซิ่น นางฟางรีบเดินมาขอดูใกล้ ๆ  ก็ตกใจ ลายผ้าเป็นตัวนาคน้อยจริงๆ นางบอกว่า “เจ้าทอลายนี้นะ ข้าจะอวยพร ใส่แล้วชาวบ้านจะอยู่เย็นเป็นสุข” ถ้าเจ้าเห็นบั้งไฟผุดขึ้นเหนือน้ำ เจ้าอย่าพากันตกใจ คือพญานาคท่านมาอวยพรให้เจ้าอยู่เย็นเป็นสุข อายุมั่นขวัญยืน แล้วนางก็เดินจากไป นางฟางคิดว่าทำไมจึงอวยพรอย่างนี้ จึงรีบชวนนางจันนางยืนแอบตามไปส่องทางดูว่า จะกลับไปบ้านใด นางย่องไปจนถึงฝั่งโขงเห็นสองนางโบกมือลา นางฟางตกใจว่ากูอยู่ในป่ากล้วยแท้ ๆ ทำไมนางถึงได้เห็น ภาพที่นางฟางได้เห็นคือ นางเดินลงน้ำ   เห็นแต่เส้นผมฟูน้ำหายไป…ฯ” 4) ลายเม็ดข้าวสาร                    ลายนี้กล่าวถึงพิธีกรรมไหว้ผีนา หรือที่อีสานเรียนกว่าผีตาแฮก จะกระทำในวันแรกที่จะเริ่มเพาะปลูกข้าวพร้อม ๆ กับพิธีแรกนาขวัญ เชื่อว่าการทำเช่นนี้จะทำให้ข้าวกล้าบริบรูณ์ดี ได้ข้าวเม็ดงาม แม้หากใครได้สวมใส่จะมีกินมีใช้ไม่ขาดมือ 5) ลายดอกหญ้า                    อัญญาวังวงศ์ปัดสา เห็นชาวกรุงเดินผ่านชาวบ้าน พวกเขาแต่งตัวสวยงาม วาจาไพเราะ ขณะที่ชาวบ้านแต่งตัวธรรมดา ๆ และรู้สึกขัดเขินเมื่อต้องพูดจากับชาวกรุง จึงเกิดความน้อยใจ และเปรียบว่าชาวเขมราฐเป็นเหมือนเช่น “ดอกหญ้า” แต่ดอกหญ้าสามารถออกดอกผลิบานได้ทุกหนแห่ง คนอีสานก็มีดีเช่นกัน  มีที่ดินไร่นามากมาย มีข้าวกล้าอุดมสมบรูณ์ สักวันหนึ่งคนทั้งหลายจะได้พึ่งพาชาวอีสานขอให้ชาวอีสานได้ภูมิใจในตนเองเถิด นางหนึ่งเกิดเป็นลมล้มลง แล้วลุกขึ้นมาฟ้อนรำอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ชาวบ้านจึงถามว่า รำอะไรสวยงามมาก นางจึงตอบว่า รำตุ้มพาง 7) ลายหมี่เอื้อสองคอง                   กาลครั้งนั้นในทุก ๆ ปีของฤดูการเก็บเกี่ยวข้าว ผู้นำชุมชนหรือหมู่บ้านจะตีกลองเรียกประชุมที่ลานวัดเพื่อถามสารทุกข์ความเป็นอยู่ในแต่ละครอบครัว อัญญา บุญทอง วงศ์ปัดสา ได้พบว่า มีครอบครัวผู้หนึ่ง ไม่มีที่ดินทำนา ต้องอาศัยรับจ้างทำนาช่วยผู้อื่น ท่านจึงแบ่งปันที่ดินให้ประมาณ 5 ไร่ เป็นบริเวณชายป่าเพื่อใช้ทำนา โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทนใด ๆ หลังฤดูเก็บเกี่ยวข้าวขึ้นลาน ผู้นำชุมชนจะตีกลองประชุมที่ลานวัด เพื่อไต่ถามทุกข์สุขของคนในหมู่บ้าน ครอบครัวของผู้ยากไร้ที่ได้รับการช่วยเหลือได้ทอผ้ามัดหมี่มามอบให้ท่าน ท่านจึงถามว่า “มันคือผ้าอะไร”เจ้าของผ้าจึงตอบว่า “ข้าน้อยได้มัดหมี่เอื้อสองคองมามอบให้ท่าน คองที่หนึ่ง คือ บุญบารมีผู้สูงส่ง คองที่สอง การให้ทานโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ข้าน้อยจึงตั้งชื่อว่า หมี่เอื้อสองคอง” คือที่มาของหมี่เอื้อสองคอง จึงมีความหมายว่า ถ้าใครชื่นชอบผ้าลายนี้จะเป็นผู้มีบุญบารมีสูงส่งจะให้ทานโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน ผู้มีจิตใจประเสริฐงดงาม 8) ลายพญานาคคู่                    เป็นเรื่องราวของความเชื่อเกี่ยวกับพญานาค ผู้ดูแลความสงบสุขของดินแดนสองฝั่ง ลำน้ำโขง ชาวเขมราฐมีความเชื่อเรื่องพญานาคเป็นอย่างมาก และนำมาทำเป็นลายผ้าซิ่นมงคล มีคำทำนายเกี่ยวกับคนที่ชอบนุ่งผ้าซิ่นลายนาคคู่ว่า หญิงที่เลือกผ้าลายนี้แสดงว่าเป็นคนที่รักในศักดิ์ศรี หากตนเองไม่ได้ทำผิดสิ่งใดแล้วมีผู้มากล่าวหาก็จะสู้อย่างถึงที่สุด 9) ลายพานไหว้ครู                   อัญญาวัง วงศ์ปัดสา ได้จำลองเอาพานไหว้ครูที่ปั้นด้วยดินเหนียวเสียบด้วยดอกรัก และดอกจำปี ธูปเทียน ดอกเข็ม เพื่อให้ลูกชายนำไปไหว้ครู ท่านจึงมัดขึ้น 2 ผืน ให้บุตรชายอาจารย์ไพศาล วงศ์ปัดสานำไปไหว้ครู ซึ่งก่อนท่านเสียชีวิต บุตรสาวถามว่าข้าน้อยอยากได้ผ้ามัดหมี่ผืนนี้เพื่อนำไปใส่จะได้ไหม แม่ตอบว่า “ลูกใส่มิได้ดอก ลูกมิคู่ควรแม่ตั้งใจมัดให้ผู้มีวิชาความรู้ เป็นครูบาอาจารย์ สั่งสอนผู้อื่นได้เท่านั้น” ผู้เป็นลูกได้ยินจึงเกิดความรักผ้ามัดหมี่ลายนี้เอาไว้ว่า ตัวเองมิคู่ควร จึงยกให้น้องชายผู้ที่เป็นครูบาอาจารย์ จึงมีความหมายว่า หากผู้ใดชอบผ้าลายนี้เกิดมาจะเป็นผู้มีความรู้แตกฉานสามารถอบรมสั่งสอนผู้อื่นได้ด้วยสติปัญญา 10) ลายฮั้วอ้อมบ้าน/ลายรั้วล้อมบ้าน  

การศึกษา พัฒนา ออกแบบสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ผ้าทอพื้นเมืองอำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี: บทบาทในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีแก่นักศึกษาและมหาวิทยาลัยรังสิต ตั้งแต่ปี 2558 ถึงปัจจุบัน Read More »

“Daily Note” ระบบแจ้งเตือนผลการวัดคุณภาพการรักษาผู้ป่วย ของนักศึกษาทันตแพทย์ระดับคลินิก

รางวัลชมเชย ปีการศึกษา 2567 ยุทธศาสตร์ที่ 3 : KR ไม่ระบุ “Daily Note” ระบบแจ้งเตือนผลการวัดคุณภาพ การรักษาผู้ป่วย ของนักศึกษาทันตแพทย์ระดับคลินิก ผู้จัดทำโครงการ​ ทพ. ดร. กุญชร เกิดมณี วิทยาลัยทันตแพทยศาสตร์ หลักการและเหตุผล/ความสำคัญ/ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้​               การจัดการเรียนการสอนระดับชั้นคลินิก สำหรับนักศึกษาทันตแพทย์ มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อการผลิตบัณฑิตทันตแพทย์ให้มีคุณภาพครบทั้ง ความรู้ความสามารถในการรักษา มีจิตใจที่เมตตา และมีจริยธรรมในวิชาชีพ                 วิทยาลัยทันตแพทยศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยรังสิต ได้เลือกวิธีการเรียนการสอนในรูปแบบ “Comprehensive Dental Care” ที่มุ่งเน้นให้บัณฑิตสามารถวางแผนการรักษาได้อย่างสมบูรณ์ถูกต้องเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย สามารถรับผิดชอบดำเนินการรักษาตามแผนที่วางไว้จนเสร็จสิ้นสมบูรณ์ด้วยตนเอง รวมถึง การติดตามผลการรักษาให้ผู้ป่วยสามารถดูแลสุขภาพช่องปากได้อย่างยั่งยืน                 ในการประเมินความพร้อมของนักศึกษา วิทยาลัยฯ ได้ใช้การวัดและประเมินผลนักศึกษาขณะรักษาผู้ป่วย โดยให้อาจารย์ผู้ดูแลบันทึกข้อมูลลงในแบบให้คะแนนที่เรียกว่า “Daily Performance” ซึ่งมุ่งประเมินทั้งในมิติของความรู้ ทักษะ และจิตพิสัย ในทุกครั้งที่นักศึกษารักษาผู้ป่วย                 ด้วยจำนวนนักศึกษาและการปฎิบัติงาน 9 คาบต่อสัปดาห์(คาบละ 3 ชั่วโมง) ทำให้เกิดข้อมูลจำนวนหลายหมื่นรายการต่อภาคการศึกษา เป็นปัญหาหลักต่อการนำข้อมูลมาประเมินผลอย่างยิ่ง                 จากการดำเนินงานที่ผ่านมา วิทยาลัยฯ ได้พัฒนาระบบการบันทึกคะแนน“Daily Performance” เริ่มจากการบันทึกด้วยกระดาษมาเป็นระบบดิจิทัล ผ่าน google form เพื่อลดปัญหาการจัดเก็บเอกสาร และการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งช่วยให้การประเมินผลทำได้ทันทีหลังการบันทึก ทั้งนักศึกษาและอาจารย์ที่ปรึกษาประจำกลุ่มสามารถติดตามและตรวจสอบผลได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากขึ้น                 อย่างไรก็ตามระบบการบันทึกคะแนน “Daily Performance”ผ่าน google form ยังคงพบปัญหาสำคัญคือ ขาดกลไกการแจ้งเตือนหรือยืนยันว่าคะแนนได้ถูกบันทึกเข้าสู่ฐานข้อมูล คะแนนนักศึกษาอย่างถูกต้องแล้ว ทำให้เกิดความยากลำบากในการตรวจสอบและติดตามคะแนนที่อาจมีความผิดพลาดหรือตกหล่นได้เช่น อาจารย์ลงคะแนนแล้วไม่ขึ้นในระบบ อาจารย์กรอกข้อมูลส่วนวันที่หรือเวลาผิด หรืออาจารย์เลือกชื่อนักศึกษาผิด ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อการพิจารณาเกรดของวิชาคลินิกที่มีความสำคัญยิ่ง                 การตรวจสอบและติดตามคะแนนด้วยวิธีการเดิมต้องใช้เวลามาก ในขณะที่นักศึกษาทันตแพทย์เองก็มีภาระการเรียนที่หนัก ทำให้มีเวลาว่างน้อยในการติดตามผลคะแนนดังกล่าว ด้วยเหตุนี้ ผู้จัดทำโครงการจึงได้พัฒนาต่อยอดเป็น “ระบบแจ้งเตือนการประเมินการปฎิบัติงานของนักศึกษาทันตแพทย์ระดับคลินิก”  หรือ “ Daily Note” เพื่อลดภาระในการติดตามตรวจสอบคะแนน และเพื่อให้มั่นใจว่าคะแนนได้ถูกบันทึกอย่างถูกต้อง ครบถ้วน                 ระบบแจ้งเตือนนี้จะส่งการแจ้งเตือนโดยอัตโนมัติไปยังนักศึกษาเมื่อมีการบันทึกคะแนนโดยอาจารย์ผู้ประเมินแล้ว ทำให้นักศึกษาสามารถสอบทานความถูกต้องของคะแนนได้ทันที และระบบยังสามารถตรวจสอบการให้คะแนนที่ผิดพลาดผิดวันผิดพลาดปฏิบัติงาน หากพบข้อผิดพลาด นักศึกษาสามารถแจ้งอาจารย์ผู้ประเมินได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้ทำการแก้ไขคะแนนให้ถูกต้อง กลไกดังกล่าวจะช่วยลดความเครียด และความวิตกกังวลของนักศึกษาเกี่ยวกับความถูกต้องของคะแนน ทำให้สามารถใช้เวลาไปกับการเรียนและฝึกปฏิบัติงานได้อย่างเต็มที่ และมีความสุขกับการทำงานในคลินิกมากขึ้น                 นอกจากจะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่นักศึกษาแล้ว ระบบนี้ยังช่วยแบ่งเบาภาระของอาจารย์ผู้รับผิดชอบในการตรวจทานความผิดพลาดของคะแนน และลดความเสี่ยงที่คะแนนที่ผิดพลาดหรือตกหล่นส่งผลกระทบต่อผลการเรียน หรือการพิจารณาเกรดในภาพรวม ระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติจะทำให้กระบวนการติดตามและแก้ไขคะแนนเป็นไปอย่างเป็นระบบ มีประสิทธิภาพ และเกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด           สรุปได้ว่า ระบบแจ้งเตือนนี้จะช่วยยกระดับกระบวนการบันทึก ติดตาม และแก้ไขคะแนนประเมินการปฎิบัติงานคลินิกของนักศึกษาทันตแพทย์ ให้มีความถูกต้อง โปร่งใส สะดวกรวดเร็ว และเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น อันจะส่งผลดีต่อทั้งตัวนักศึกษาเอง ต่อวิทยาลัยฯ รวมถึงต่อการผลิตบัณฑิตทันตแพทย์ที่มีคุณภาพออกไปรับใช้สังคมต่อไปในอนาคต ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้  ความรู้ด้านระบบสาระสนเทศและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล การใช้ Google Services (Google Form, Google Sheets, Google Apps Script) เพื่อสร้างระบบการบันทึกและจัดการข้อมูลแบบดิจิทัล การออกแบบระบบการแจ้งเตือนอัตโนมัติ (Notification System) ที่เชื่อมโยงกับฐานข้อมูลออนไลน์ การพัฒนาระบบตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล (Data Validation) เพื่อลดความผิดพลาดในการบันทึกข้อมูล ความรู้ด้าน การบริหารจัดการการศึกษาทางทันตแพทยศาสตร์ หลักการ จัดการเรียนการสอนในรูปแบบ “Comprehensive Dental Care” การออกแบบระบบการวัดและประเมินผล ที่สอดคล้องกับมาตรฐานวิชาชีพและเกณฑ์สภาวิชาชีพ กระบวนการติดตามและตรวจสอบคุณภาพการเรียนการสอนในระดับคลินิก ความรู้เรื่องการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง การ นำวงจรคุณภาพ PDCA (Plan-Do-Check-Act) มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาระบบงาน การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลป้อนกลับ (Feedback) จากผู้ใช้งานระบบทั้งอาจารย์และนักศึกษา การปรับปรุงระบบอย่างต่อเนื่องตามหลักการของ Continuous Quality Improvement (CQI) ความรู้ด้านจิตวิทยาการศึกษา การ ลดความเครียดและความวิตกกังวลของนักศึกษาในกระบวนการประเมินผล การสร้างความโปร่งใสและความเป็นธรรมในการประเมินผลการเรียนรู้ การส่งเสริมให้นักศึกษาเกิดความรับผิดชอบในการติดตามและพัฒนาผลการเรียนของตนเอง ความรู้ด้านการทำงานเป็นทีมและการจัดการความรู้ในองค์กร การแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ระหว่างทีมคณาจารย์ผู้พัฒนาระบบ การทำงานแบบบูรณาการข้ามสาขาวิชาเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน การถ่ายทอดความรู้และนวัตกรรมจากผู้พัฒนาสู่ผู้ใช้งานในวงกว้าง             การนำความรู้ทั้งห้าด้านมาประยุกต์ใช้ร่วมกันอย่างเป็นระบบ ทำให้สามารถพัฒนาระบบแจ้งเตือนการประเมินการปฎิบัติงานที่มีประสิทธิภาพ ตอบสนองความต้องการของทั้งนักศึกษาและอาจารย์ สอดคล้องกับบริบทการจัดการเรียนการสอนทันตแพทยศาสตร์ และก่อให้เกิดการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างยั่งยืน   ประเภทความรู้และที่มาความรู้ ความรู้แบบชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) ความรู้จากคลังความรู้ของเว็บไซต์ระบบการจัดการความรู้ KM Rangsit University      (http://lc.rsu.ac.th/km/Knowledgebase และ https://rkms.rsu.ac.th/)      เจ้าของความรู้/สังกัด คณะกรรมการจัดการความรู้วิทยาลัยทันตแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยรังสิต อื่น ๆ (โปรดระบุ)                                                                    เอกสารการใช้งาน เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง Google Services (Google Form, Google Sheets, Google Apps Script) คู่มือการวัดและประเมินผลนักศึกษาทันตแพทย์ระดับคลินิก วิทยาลัยทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต การใช้ AI ช่วยในการเขียนโค้ดโปรแกรมระบบแจ้งเตือน ความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวคน (Tacit Knowledge)  เจ้าของความรู้/สังกัด           อาจารย์ทันตแพทย์ ดร กุญชร เกิดมณี รหัสบุคลากร 5890326  วิทยาลัยทันตแพทยศาสตร์ ความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาระบบแจ้งเตือนและการประยุกต์ใช้ Google Apps Script ประสบการณ์การวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาระบบการบันทึกข้อมูลทางคลินิก อาจารย์ทันตแพทย์ วิธวินท์ เดโชศิลป์ รหัสบุคลากร 5990255  วิทยาลัยทันตแพทยศาสตร์ ความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาระบบสารสนเทศและรับผิดชอบโดยอาจารย์การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ในการศึกษา ประสบการณ์การใช้ Google Services การพัฒนาระบบการจัดการข้อมูล Daily Performance อื่น ๆ (ระบุ)            ประสบการณ์จากการรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของนักศึกษาทันตแพทย์ระดับคลินิก ข้อมูลย้อนกลับจากอาจารย์ผู้ใช้งานระบบในการประเมินนักศึกษา            การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างคณาจารย์ประจำวิทยาลัยที่มีความชำนาญด้านการพัฒนาระบบสาระสนเทศและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการศึกษา วิธีการดำเนินการ การวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการ การวิเคราะห์ฐานข้อมูล: ทำการวิเคราะห์ฐานข้อมูล Daily Performance รับผิดชอบโดยอาจารย์ทันตแพทย์ วิธวินท์ เดโชศิลป์ เพื่อศึกษารูปแบบทั้งหมดของความผิดพลาดของข้อมูลที่มีโอกาสเกิดขึ้นในระบบ  การศึกษาปัญหาจากอาจารย์ผู้ประเมิน: รวบรวมข้อมูลปัญหาที่เกิดขึ้นจากอาจารย์ในขณะทำการประเมินการปฏิบัติงานของนักศึกษา เช่นการเลือกวันผิด การเลือกรายชื่อนักศึกษาผิด หรือการไม่แน่ใจว่าข้อมูลถูกบันทึกเรียบร้อยแล้วหรือไม่ การสัมภาษณ์นักศึกษา: สัมภาษณ์นักศึกษาทันตแพทย์เกี่ยวกับปัญหาและความยากลำบากในการตรวจสอบติดตามข้อมูลคะแนนของตนเอง รวมถึงความต้องการในการได้รับการแจ้งเตือนเมื่อมีการบันทึกคะแนน การออกแบบระบบ การกำหนดโครงสร้างระบบ: ออกแบบระบบแจ้งเตือนที่สามารถเชื่อมโยงกับฐานข้อมูล Daily Performance เดิม โดยไม่กระทบกระบวนการทำงานปกติ การกำหนดกลไกการแจ้งเตือน: ออกแบบระบบให้สามารถส่งการแจ้งเตือนอัตโนมัติไปยังนักศึกษาเมื่อมีการบันทึกคะแนน โดยระบุรายละเอียดของคะแนนที่ได้รับการบันทึก การกำหนดระบบตรวจสอบข้อผิดพลาด: ออกแบบให้ระบบสามารถตรวจสอบความผิดพลาดของข้อมูลที่บันทึก เช่น การบันทึกคะแนนผิดวัน หรือผิดคาบปฏิบัติงาน การพัฒนาระบบ การพัฒนาโค้ด: พัฒนาโค้ดด้วย Google Apps Script เพื่อสร้างระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติที่ทำงานร่วมกับ Google Form และ Google Sheets การสร้างระบบเชื่อมโยง: พัฒนาระบบให้สามารถดึงข้อมูลจากฐานข้อมูล Daily Performance และเมื่อได้รับการประเมินคะแนนปฏิบัติงานในคลินิกจากอาจารย์ โค้ดจะทำการส่งการแจ้งเตือนไปยังนักศึกษาผ่านทางอีเมล ตลอดจนตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลและหากต้องมีการแก้ไขรายละเอียดของคะแนน จะมีคำแนะนำส่งให้ทั้งอาจารย์ผู้ประเมิน และนักศึกษาเพื่อแก้ไขให้ถูกต้อง การพัฒนาระบบรายงาน: สร้างระบบรายงานสรุปที่นักศึกษาสามารถตรวจสอบคาบการปฏิบัติงานของตนเองได้แบบเรียลไทม์ การทดสอบระบบ การทดสอบเบื้องต้น: ทดสอบการทำงานของระบบในสภาพแวดล้อมควบคุมก่อนนำไปใช้จริง การทดสอบกับกลุ่มตัวอย่าง: ทดลองใช้ระบบกับกลุ่มนักศึกษาและอาจารย์จำนวนหนึ่งเพื่อประเมินประสิทธิภาพและรับฟังข้อเสนอแนะ การทดสอบสถานการณ์จำลอง: จำลองสถานการณ์ปัญหาที่พบจากการวิเคราะห์ฐานข้อมูลเพื่อทดสอบการทำงานของระบบในการแก้ไขปัญหา การนำไปใช้จริงและการติดตามผล การติดตั้งระบบ: นำระบบแจ้งเตือนไปใช้งานจริงในกระบวนการประเมินการปฏิบัติงานของนักศึกษาทันตแพทย์ การให้คำแนะนำผู้ใช้งาน: ชี้แจงและให้คำแนะนำการใช้งานระบบแก่อาจารย์และนักศึกษาผ่านทาง infographic ที่สามารถทำความเข้าใจได้ง่าย การเก็บข้อมูลและติดตามผล: ติดตามการทำงานของระบบและรวบรวมข้อมูลป้อนกลับจากผู้ใช้งานอย่างต่อเนื่อง การประเมินผลและปรับปรุง การวิเคราะห์ประสิทธิภาพ: ประเมินประสิทธิภาพของระบบในการลดข้อผิดพลาดและอำนวยความสะดวกในการติดตามคะแนน การรวบรวมข้อเสนอแนะ: รับฟังข้อเสนอแนะจากนักศึกษาและอาจารย์เพื่อนำมาปรับปรุงระบบ การพัฒนาต่อยอด: วางแผนการพัฒนาระบบในระยะต่อไปเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและฟีเจอร์ที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้มากขึ้น              การดำเนินการพัฒนาระบบแจ้งเตือนนี้เป็นการต่อยอดจากระบบบันทึกคะแนน Daily Performance เดิมที่ได้พัฒนาไว้แล้ว โดยมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาที่พบจากการใช้งานจริง และตอบสนองความต้องการของทั้งนักศึกษาและอาจารย์ในการติดตามและตรวจสอบคะแนนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 2.Prototype testing in an operational environment – DO  ผลการดำเนินการ การนำไปใช้ หรือการลงมือปฏิบัติจริง อุปสรรคหรือปัญหาในการทำงาน การพัฒนาระบบแจ้งเตือนการประเมินการปฏิบัติงานของนักศึกษาทันตแพทย์ได้ดำเนินการผ่านกระบวนการดังนี้ การพัฒนาระบบโค้ดและการใช้เทคโนโลยี ใช้ Google Apps Script เป็นเครื่องมือหลักในการพัฒนาระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติที่เชื่อมต่อกับฐานข้อมูลคะแนน Daily Performance อาศัยเทคโนโลยี AI ช่วยในการเขียนและปรับแก้โค้ด แม้ผู้พัฒนามีความรู้ในทางเทคนิคการเขียนโค้ดไม่มากนัก แต่ AI สามารถเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้สามารถพัฒนาระบบที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ พัฒนากลไกการตรวจจับข้อมูลใหม่ที่เข้าสู่ระบบผ่านการเขียนสคริปต์ที่ตรวจสอบข้อมูลที่เพิ่มเข้ามาในฐานข้อมูลในช่วงเวลาที่กำหนด และส่งการแจ้งเตือนไปยังอีเมลของนักศึกษาโดยอัตโนมัติ การสร้างระบบตรวจสอบความผิดพลาด: พัฒนาอัลกอริทึมตรวจสอบความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น เช่น ตรวจสอบความสอดคล้องของวันที่ประเมินกับตารางการปฏิบัติงานของนักศึกษา ตรวจสอบชื่อและรหัสนักศึกษาที่ผิด ตลอดจนการให้คะแนนซ้ำ และล่าช้า ออกแบบรูปแบบอีเมลแจ้งเตือนให้มีข้อมูลสำคัญครบถ้วน เช่น วันที่ประเมิน คาบเรียน ชื่ออาจารย์ผู้ประเมิน และข้อเสนอแนะ เพื่อให้นักศึกษาสามารถตรวจสอบความถูกต้องได้อย่างรวดเร็ว การทดสอบและปรับปรุงประสิทธิภาพ ทดสอบระบบในกลุ่มนักศึกษาทันตแพทย์กลุ่มย่อย เป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์ เพื่อตรวจสอบการทำงานและระยะเวลาในการแจ้งเตือน ในช่วงทดสอบเบื้องต้น พบว่าการแจ้งเตือนมีความล่าช้าถึง 5-6 นาที ผู้พัฒนาจึงได้ปรับแก้โค้ดโดยเพิ่มความถี่ในการตรวจสอบข้อมูลใหม่ และปรับปรุงประสิทธิภาพของฟังก์ชันการส่งอีเมล หลังการปรับปรุง สามารถลดระยะเวลาการแจ้งเตือนลงเหลือเพียง 2-3 นาทีหลังการบันทึกคะแนน ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เหมาะสมและเพียงพอสำหรับการตรวจสอบและแก้ไขข้อผิดพลาดได้ทันที ทดสอบระบบในสถานการณ์ที่มีการบันทึกคะแนนพร้อมกันจำนวนมาก เพื่อให้มั่นใจว่าระบบสามารถรองรับการใช้งานจริงได้โดยไม่มีปัญหา การขยายการใช้งานจริง เริ่มใช้งานระบบกับนักศึกษาทันตแพทย์ชั้นคลินิกทั้งหมดในวิทยาลัยฯ ตั้งแต่ภาคการศึกษาที่ 1/2567 จัดทำคู่มือการใช้งานแบบ infographic สำหรับนักศึกษาและอาจารย์ โดยอธิบายรูปแบบและการตรวจสอบข้อมูลจากอีเมลแจ้งเตือน รวมถึงขั้นตอนการแจ้งแก้ไขหากพบข้อผิดพลาด เปิดโอกาสให้มีการซักถามและเสนอแนะย้อนกลับมาทางผู้พัฒนา เพื่อให้ระบบตอบโจทย์กับความต้องการของผู้ใช้มากที่สุด จัดให้มีช่องทางการรายงานปัญหาและข้อเสนอแนะสำหรับการใช้งานระบบ เพื่อให้สามารถปรับปรุงระบบได้อย่างต่อเนื่อง อุปสรรคและปัญหาในการทำงาน การใช้อีเมลเป็นช่องทางการแจ้งเตือนอาจมีความล่าช้าบ้างในบางกรณี เช่น ช่วงที่ระบบมีภาระงานสูง หรือปัญหาจากระบบ Google ของมหาวิทยาลัย แต่ระยะเวลา 2-3 นาทียังเป็นเวลาที่เหมาะสม ประสิทธิภาพของระบบอาจลดลงเมื่อฐานข้อมูลมีขนาดใหญ่ขึ้น ผู้พัฒนาได้วางแผนการจัดการข้อมูลโดยแยกฐานข้อมูลตามชั้นปีการศึกษาเพื่อรักษาประสิทธิภาพของระบบในระยะยาว 3. Proven through successful mission operation, Objectives and Key Results for Knowledge Management – CHECKการตรวจสอบผลการดำเนินการ การนำเสนอประสบการณ์การนำไปใช้ สรุปและอภิปรายผล บทสรุปความรู้หรือความรู้ที่ค้นพบใหม่  ผลการดำเนินงานเชิงปริมาณ การลดลงของข้อผิดพลาดในการบันทึกคะแนน: จากการเก็บข้อมูลพบว่าข้อผิดพลาดในการบันทึกคะแนนลดลงจาก 10% เหลือไม่เกิน 2% ต่อวัน หลังจากใช้ระบบแจ้งเตือน ซึ่งเป็นการลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จำนวนการแจ้งเตือนต่อวัน: เฉลี่ยประมาณ 350-380 การแจ้งเตือนต่อวันในช่วงคลินิก โดยแต่ละการแจ้งเตือนมีข้อมูลครบถ้วนตามที่ออกแบบไว้ อัตราความสำเร็จในการส่งการแจ้งเตือน: 8% ของการบันทึกคะแนนทั้งหมดได้รับการแจ้งเตือนสำเร็จ มีเพียง 0.2% ที่เกิดข้อผิดพลาดในการส่ง ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากปัญหาของระบบ Google sheet ระยะเวลาเฉลี่ยในการแก้ไขข้อผิดพลาด: ลดลงจากเดิมที่ใช้เวลาหลายวัน เหลือเพียง 1-2 ชั่วโมงหลังจากได้รับการแจ้งเตือน เนื่องจากนักศึกษาสามารถตรวจสอบและแจ้งอาจารย์ขอแก้ไขได้ทันที ผลการดำเนินงานเชิงคุณภาพ การลดความเครียดและความวิตกกังวลของนักศึกษา: จากการสัมภาษณ์นักศึกษาพบว่า ระบบแจ้งเตือนช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับความถูกต้องของคะแนนอย่างมีนัยสำคัญ นักศึกษาไม่ต้องกังวลว่าคะแนนจะถูกบันทึกผิดพลาดหรือตกหล่น การเพิ่มความโปร่งใสในกระบวนการประเมิน: ทั้งนักศึกษาและอาจารย์รายงานว่า ระบบแจ้งเตือนช่วยเพิ่มความโปร่งใสในกระบวนการประเมิน เนื่องจากทุกฝ่ายสามารถตรวจสอบข้อมูลได้อย่างทันท่วงที การเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเวลาของนักศึกษา: นักศึกษาสามารถวางแผนการเรียนและการปฏิบัติงานได้ดีขึ้น เนื่องจากทราบผลคะแนนอย่างต่อเนื่องและเป็นปัจจุบัน ความพึงพอใจของอาจารย์: อาจารย์รายงานว่าระบบช่วยลดภาระในการตรวจสอบและแก้ไขข้อผิดพลาด และเพิ่มความมั่นใจว่าการประเมินของตนได้รับการบันทึกอย่างถูกต้อง ความรู้และบทเรียนที่ได้รับ การพัฒนาระบบที่มีผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Learner-Centered System): ระบบแจ้งเตือนนี้พัฒนาขึ้นจากการให้ความสำคัญกับความเครียดและความกังวลของนักศึกษาเป็นหลัก เป็นตัวอย่างที่ดีของการพัฒนาระบบที่มุ่งเน้นการสนับสนุนการเรียนรู้และความเป็นอยู่ที่ดีของผู้เรียน การใช้ AI เป็นเครื่องมือเสริมศักยภาพในการพัฒนาระบบ: แม้ผู้พัฒนาจะมีความรู้ทางเทคนิคการเขียนโค้ดไม่มากนัก แต่การใช้ AI เป็นเครื่องมือช่วยในการพัฒนาทำให้สามารถสร้างระบบที่มีประสิทธิภาพได้ แสดงให้เห็นว่า AI สามารถลดช่องว่างทางทักษะและเปิดโอกาสให้ผู้ที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสามารถพัฒนานวัตกรรมได้ การบูรณาการเทคโนโลยีเข้ากับกระบวนการทางการศึกษา: การพัฒนาระบบนี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการนำเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีอยู่แล้วของมหาวิทยาลัย (Google Services) มาประยุกต์ใช้เพื่อแก้ปัญหาในบริบทการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดทรัพยากร ความสำคัญของการออกแบบระบบที่คำนึงถึงความรู้สึกของผู้ใช้งาน (Empathetic Design): การพัฒนาระบบโดยคำนึงถึงความรู้สึกและประสบการณ์ของผู้ใช้งาน โดยเฉพาะความเครียดและความกังวลของนักศึกษา ทำให้ได้ระบบที่ตอบสนองความต้องการที่แท้จริงและสร้างผลกระทบเชิงบวกที่ชัดเจน   การอภิปรายผล ระบบแจ้งเตือนนี้เป็นตัวอย่างของ “การสร้างนวัตกรรมเพื่อสนับสนุนความเป็นอยู่ที่ดีของผู้เรียน” (Innovation for Student Well-being) ที่เน้นการใช้เทคโนโลยีเพื่อลดความเครียดและเพิ่มคุณภาพประสบการณ์การเรียนรู้ การลดข้อผิดพลาดในการบันทึกคะแนนและการเพิ่มความโปร่งใสมีผลกระทบเชิงบวกโดยตรงต่อคุณภาพการศึกษา เนื่องจากนักศึกษาสามารถมุ่งเน้นกับการเรียนรู้และการพัฒนาทักษะได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลกับความถูกต้องของการประเมิน การพัฒนาระบบนี้ยังส่งเสริมให้เกิดวัฒนธรรมแห่งความโปร่งใสและความรับผิดชอบร่วมกันระหว่างนักศึกษาและอาจารย์ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการศึกษาที่มีคุณภาพ การใช้ AI เป็นเครื่องมือในการพัฒนาระบบแสดงให้เห็นถึงโอกาสใหม่ในการสร้างนวัตกรรมทางการศึกษา ที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาความเชี่ยวชาญทางเทคนิคขั้นสูงเท่านั้น ข้อเสนอแนะในการดำเนินการในอนาคต หรือการดำเนินการเพื่อสามารถนำไปสู่การเป็น Good Practice การพัฒนาต่อยอดในอนาคต พัฒนาช่องทางการแจ้งเตือนที่หลากหลาย: ควรพิจารณาเพิ่มช่องทางการแจ้งเตือนผ่านแพลตฟอร์มอื่นนอกเหนือจากอีเมล เช่น LINE Notification API เพื่อให้การแจ้งเตือนรวดเร็วและเข้าถึงนักศึกษาได้มากขึ้น แม้อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แต่ประโยชน์ที่ได้รับอาจคุ้มค่ากับการลงทุน สร้างแพลตฟอร์มติดตามคะแนนแบบเรียลไทม์: พัฒนาแพลตฟอร์มที่นักศึกษาสามารถเข้าถึงเพื่อดูคะแนนและความก้าวหน้าของตนเองได้ตลอดเวลา พร้อมกับระบบวิเคราะห์และให้คำแนะนำในการปรับปรุงผลการเรียน พัฒนาระบบการวิเคราะห์แนวโน้มและรูปแบบ: เพิ่มความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพื่อระบุจุดแข็งและจุดอ่อนของนักศึกษา และช่วยให้อาจารย์สามารถปรับกลยุทธ์การสอนให้ตอบสนองความต้องการของนักศึกษาได้ดียิ่งขึ้น ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การดำเนินการประสบความสำเร็จ การให้ความสำคัญกับผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Learner-Centered Approach): การพัฒนาระบบที่เริ่มต้นจากการเข้าใจและตอบสนองต่อความเครียดและความกังวลของนักศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ระบบประสบความสำเร็จ เพราะตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของผู้ใช้ การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมและเข้าถึงได้: การเลือกใช้ Google Services ที่มีอยู่แล้วในระบบของมหาวิทยาลัย ทำให้การพัฒนาและนำไปใช้เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานใหม่ การนำ AI มาเป็นเครื่องมือเสริมศักยภาพ: การใช้ AI ช่วยในการพัฒนาระบบแม้ผู้พัฒนามีความรู้ทางเทคนิคไม่มากนัก ทำให้สามารถสร้างนวัตกรรมได้โดยไม่ต้องพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง การทดสอบและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง: การทดสอบกับกลุ่มนักศึกษาจริงและการรับฟังข้อเสนอแนะเพื่อนำมาปรับปรุงระบบอย่างต่อเนื่อง ทำให้ได้ระบบที่ตอบสนองความต้องการได้อย่างแท้จริง การสร้างความตระหนักและการมีส่วนร่วม: การสร้างความเข้าใจและการมีส่วนร่วมของทั้งนักศึกษาและอาจารย์ในการใช้และพัฒนาระบบ ทำให้เกิดการยอมรับและการใช้งานอย่างแพร่หลาย การขยายผลและการถ่ายทอดความรู้ พัฒนาเป็นโมเดลต้นแบบสำหรับสถาบันการศึกษาอื่น: จัดทำเอกสารและคู่มือที่ครอบคลุมเพื่อให้สถาบันการศึกษาอื่นสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ แบ่งปันประสบการณ์ในเวทีวิชาการ: นำเสนอผลงานและประสบการณ์ในการพัฒนาระบบในการประชุมวิชาการด้านการศึกษาทันตแพทยศาสตร์ พัฒนาเป็นชุดความรู้แบบบูรณาการ: รวบรวมความรู้และประสบการณ์จากการพัฒนาระบบเป็นชุดความรู้แบบบูรณาการที่เชื่อมโยงการใช้เทคโนโลยี การศึกษาทางคลินิก และการดูแลความเป็นอยู่ที่ดีของผู้เรียน การสร้างความยั่งยืน พัฒนาทีมงานเพื่อดูแลและพัฒนาระบบต่อเนื่อง: ฝึกอบรมและพัฒนาทีมงานเพื่อดูแลและพัฒนาระบบในระยะยาว เพื่อไม่ให้ระบบพึ่งพาบุคคลใดบุคคลหนึ่งมากเกินไป สร้างกลไกรับฟังความคิดเห็นและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง: พัฒนากลไกในการรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้ใช้งานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ระบบได้รับการปรับปรุงให้ตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป บูรณาการเข้ากับระบบประกันคุณภาพการศึกษา: ผสานระบบแจ้งเตือนเข้ากับกระบวนการประกันคุณภาพการศึกษาของวิทยาลัย เพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างยั่งยืน           โดยสรุป ระบบแจ้งเตือนการประเมินการปฏิบัติงานของนักศึกษาทันตแพทย์ระดับคลินิกที่พัฒนาขึ้นนี้ เป็นตัวอย่างที่ดีของการพัฒนานวัตกรรมที่มีผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Learner-Centered Innovation) ที่มุ่งเน้นการลดความเครียดและความกังวลของนักศึกษา ควบคู่ไปกับการเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการประเมินผล การผสานระหว่างความเข้าใจในบริบทการศึกษาทันตแพทยศาสตร์ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่เหมาะสม และการอาศัย AI เป็นเครื่องมือช่วยในการพัฒนา ทำให้สามารถสร้างระบบที่มีประสิทธิภาพและส่งผลกระทบเชิงบวกอย่างชัดเจนต่อการจัดการเรียนการสอน การขยายผลและการพัฒนาต่อยอดจะช่วยให้ระบบนี้สร้างคุณค่าที่ยั่งยืนต่อการศึกษาทันตแพทยศาสตร์ต่อไป

“Daily Note” ระบบแจ้งเตือนผลการวัดคุณภาพการรักษาผู้ป่วย ของนักศึกษาทันตแพทย์ระดับคลินิก Read More »

Graduate Information Service System (GISS)

รางวัลชมเชย ปีการศึกษา 2567 ยุทธศาสตร์ที่ 3 : KR 3.3.1/1 Graduate Information Service System (GISS) ผู้จัดทำโครงการ​ ศ.ดร.สื่อจิตต์ เพ็ชร์ประสาน ผศ.ดร.พิชิต บุญครอง คุณศศิรดา พวงผกา คุณอธิษฐาน เกียรติไพศาล คุณอรรคพล ทิวรรณแก้ว บัณฑิตวิทยาลัย หลักการและเหตุผล/ความสำคัญ/ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้​         ในปีการศึกษา 2565 คณะกรรมการบริหารงานภายในบัณฑิตวิทยาลัย ได้มีการประชุมร่วมกันในการทบทวนโครงสร้างการบริหารงาน ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัยรังสิต พ.ศ. 2565-2569 โดยมีผลของการทบทวนคือ การเพิ่มความเป็น Smart Organization ในการเป็นหน่วยงานหลักในการกำกับดูแลการบริหารงานหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษาโดยมีการกระจายการบริหารงาน ภายในบัณฑิตวิทยาลัยเป็น 4 กลุ่มงานที่มีความแตกต่างกันในภาระหน้าที่และความรับผิดชอบ ซึ่งประกอบด้วย กลุ่มงานมาตรฐานวิชาการและเลขานุการ กลุ่มงานบริการการศึกษา กลุ่มงานแนะแนวและบริการวิชาการ และกลุ่มงาน Graduate Information Service System (GISS) วัตถุประสงค์ของการจัดโครงสร้างดังกล่าวข้างต้น          เพื่อให้ลักษณะของการทำงานมีความชัดเจนในลักษณะของ 4C ภายในบัณฑิตวิทยาลัยและหน่วยงานภายนอกที่สอดคล้องกับค่านิยมของมหาวิทยาลัยรังสิตในยุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัย นั่นคือ Creativity/ Collaboration/  Connectivity/  Compassion จากที่กล่าวข้างต้น และความสำคัญของข้อมูลซึ่งประกอบด้วยข้อมูลของอาจารย์และนักศึกษาที่มีจำนวนมากและเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับการบริหารหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ บัณฑิตวิทยาลัยจึงมีแผนงานในการนำระบบสารสนเทศมาใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินงานดังกล่าว โดยมีกลุ่มงาน GISS เป็นหน่วยงานภายในบัณฑิตวิทยาลัยที่มีหน้าที่ในการอำนวยความสะดวกสำหรับการดำเนินงานด้วยระบบสารสนเทศระหว่างหลักสูตรและนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและบัณฑิตวิทยาลัย ระบบสารสนเทศที่ได้รับการพัฒนามาเป็นเครื่องมือมีชื่อเรียกว่า “ระบบ Graduate Information Service System (GISS)” ซึ่งระบบนี้จะเป็นเครื่องมือในการลดกระบวนการทำงานหรือขั้นตอนการดำเนินงานต่าง ๆ เพื่อการบริหารหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษาให้มีความสะดวกและรวดเร็ว        ในปีการศึกษา 2567 กลุ่มงาน GISS ได้ถูกมอบหมายจากคณบดีบัณฑิตวิทยาลัยให้พัฒนาระบบ GISS ให้เป็นระบบที่สามารถช่วยให้องค์กรสามารถมุ่งไปสู่องค์การที่สามารลดการใช้กระดาษหรือไร้กระดาษ Paper less ในการทำงาน ดังนั้นกลุ่มงาน GISS จึงได้มีการปรับปรุงระบบ GISS เดิม ให้มีระบบการทำงานที่รองรับกับการทำงานของบุคคลากรภายในบัณฑิตวิทยาลัยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อที่จะสามารถลดการใช้กระดาษให้ได้อย่างน้อย 90% ระบบ GISS ประกอบด้วย 10 องค์ประกอบย่อย ได้แก่        1) ส่วนของงานพิจารณาเพื่อการรับเข้าศึกษาในหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษาของผู้สมัครเรียน        2) ส่วนงานพิจารณาทุนระดับบัณฑิตศึกษา        3) ส่วนงานตรวจรูปแบบการจัดพิมพ์ดุษฎีนิพนธ์/วิทยานิพนธ์        4) ส่วนของฐานข้อมูลอาจารย์ทั้งอาจารย์ประจำและผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกในหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา        5) ส่วนของงานเทียบเกณฑ์ภาษาอังกฤษ        6) ส่วนงานระบบสารบรรณภายในบัณฑิตวิทยาลัย        7) ส่วนของกลุ่มงานมาตรฐานวิชาการ        8) ส่วนงานแบบสอบถามความพึงพอใจของนายจ้าง        9) ส่วนงานบุคคลภายในบัณฑิตวิทยาลัย และ        10) ส่วนของฐานข้อมูลของนักศึกษาของหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา โดยที่ 10 องค์ประกอบดังกล่าวมีการทำงานที่เชื่อมโยงในระบบที่นำไปสู่ระบบการจัดการความรู้เพื่อการบริหารหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษาให้เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา โดยที่มีการเปิดระบบให้หลักสูตร นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและบัณฑิตวิทยาลัยสามารถเข้าถึงได้ตามขอบเขตของการเข้าถึง ซึ่งจะก่อให้เกิดการทำงานที่ลดการเดินทาง ลดเวลาและลดการใช้กระดาษ เช่น การรับส่งเอกสารและการสรุปความคิดเห็นระหว่างบัณฑิตวิทยาลัยและหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา เป็นต้น อีกทั้งระบบยังได้รองรับการปรับเปลี่ยนผู้บริหารและบุคคลที่เกี่ยวข้องซึ่งทำให้การดำเนินงานสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างต่อเนื่องในเรื่องของการติดตาม การตรวจสอบ การค้นหาข้อมูลและการกำกับการบริหารหลักสูตร แผนงานที่วางไว้สำหรับการพัฒนาระบบ GISS มีความสอดคล้องกับความต้องการในแต่ละช่วงเวลาของการใช้แต่ละงานในระบบ นั่นคือ – ส่วนของงานพิจารณาเพื่อการรับเข้าศึกษาในหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษาของผู้สมัครเรียน ได้รับการพัฒนาและใช้งานตั้งแต่ปลายปีการศึกษา 2562 เพื่อรองรับการรับสมัครนักศึกษา online ในช่วงเวลาของการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตามกระบวนการของการรับสมัครที่เป็นไปตามบริบทของการดำเนินงานของมหาวิทยาลัย และทำให้เกิดความสะดวก(ลดการเดินทางและลดการใช้กระดาษ) และลดระยะเวลาในการพิจารณาการรับเข้าศึกษา ซึ่งในปีการศึกษา 2567 ได้ปรับปรุงระบบให้สามารถเชื่อมต่อกันระหว่างระบบรับสมัครของมหาวิทยาลัยและระบบ GISS เพื่อความสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น พัฒนาเพิ่มในส่วนของการแจ้งผลการรับสมัครและการตอบรับเข้าศึกษาต่อทางอีเมลแบบอัตโนมัติให้ผู้สมัครทราบ – ส่วนงานพิจารณาทุนระดับบัณฑิตศึกษา ถูกพัฒนาขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับส่วนงานทุนระดับบัณฑิตศึกษา ซึ่งโดยปกติทางหลักสูตรจะต้องแจ้งขอปลดล็อคทุนต่อบัณฑิตฯ ด้วยการยื่นแบบฟอร์มพร้อมเอกสารประกอบที่เกี่ยวข้องกับส่วนลดหรือทุนนนั้น ๆ ซึ่งจะต้องจัดทำเป็น Hardcopy และรอคณบดีบัณฑิตอนุมัติจึงจะปลดล็อคในระบบทุนฯ ของ Softsquare และนักศึกษาจึงจะสามารถไปลงทะเบียนได้ แต่ด้วยระบบพิจารณาทุนฯ ที่พัฒนาขึ้นจะช่วยให้การทำงานง่ายมากขึ้นไม่ต้องจัดเตรียมเอกสารใด ๆ ที่เป็น Hardcopy สามารถดำเนินการขออนุมัติปลดล็อคจากระบบทุนฯ ได้เลย และทางเจ้าหน้าที่ของบัณฑิตฯ จะดำเนินการตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้องจากในระบบพิจารณาทุนฯ และดำเนินการปลดล็อคในระบบทุนฯ ของ Softsquare ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ทั้งนี้ได้มีการวางแผนการใช้งานระบบทุนฯ ในเทอม S/2568 เป็นต้นไป – ส่วนงานตรวจรูปแบบการจัดพิมพ์ดุษฎีนิพนธ์/วิทยานิพนธ์ อยู่ระหว่างพัฒนาระบบตรวจฯ โดยวางแผนพัฒนาระบบ 2 เฟส เฟสที่ 1 มีเป้าหมายเพื่อช่วยเจ้าหน้าที่บัณฑิตวิทยาลัยที่รับผิดชอบงานส่วนนี้ให้สามารถปฏิบัติงานได้เร็วขึ้น สาเหตุที่ในเฟสแรกมีเป้าหมายช่วยเจ้าหน้าที่ฯ ก่อนเนื่องจากเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบงานจะมีเพียง 2 คนทำให้ช่วงเวลาที่มีวิทยานิพนธ์/ดุษฎีนิพนธ์ส่งเข้ามาตรวจสอบพร้อมกันจำนวนมาก จะทำได้ค่อนข้างช้าจึงมีความจำเป็นต้องพัฒนาระบบขึ้นมาเพื่อช่วยให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น จึงเป็นการพัฒนาระบบเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าก่อน โดยจะเริ่มใช้งานระบบฯ ภายในเดือนเมษายน 2567 ส่วนเฟสที่ 2 มีเป้าหมายในการพัฒนาระบบตรวจฯ ให้มุ่งเป้าช่วยนักศึกษาเป็นหลัก กล่าวคือจากเป็นระบบที่ช่วยเจ้าหน้าที่ตรวจรูปแบบการจัดพิมพ์ ถูกพัฒนาให้เป็นระบบที่สามารถช่วยจัดรูปแบบการจัดพิมพ์วิทยานิพนธ์/ดุษฎีนิพนธ์ให้นักศึกษาแทน ซึ่งการพัฒนาระบบฯในลักษณะนี้จะทำให้นักศึกษาสะดวกและสามารถทำให้นักศึกษาแจ้งจบได้เร็วขึ้นอีกด้วย – ส่วนของฐานข้อมูลของอาจารย์ทั้งในส่วนของอาจารย์ประจำและผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกของหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษาได้รับการพัฒนา ทดสอบการใช้งานและเริ่มใช้งานตั้งแต่ปีการศึกษา 2565 แต่ทั้งนี้ในการทำงานของระบบเดิมได้พบกับปัญหาที่ไม่สามารถเข้าไปใช้งานในระบบเดิมได้ จึงได้มีการพัฒนาระบบขึ้นอีกครั้งและคาดว่าจะใช้งานได้ภายใน S/2568 – ส่วนของงานเทียบเกณฑ์ภาษาอังกฤษเป็นการพัฒนาระบบเพื่อใช้สำหรับการเทียบเกณฑ์ภาษาอังกฤษสำหรับนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาโดยทางหลักสูตรส่งผลภาษาอังกฤษเข้าในระบบ ซึ่งผลการเทียบเกณฑ์ฯ จะถูกพิจารณาโดย RELI เมื่อ RELIรับรองผลการเทียบเกณฑ์ฯ เรียบร้อยแล้วระบบฯ จะส่งผลการเทียบเกณฑ์ฯ ไปยังเจ้าหน้าที่หลักสูตรด้วยอีเมลซึ่งในการพัฒนาระบบนี้ ทางส่วนกลางของมหาวิทยาลัย สามารถดึงข้อมูลไปใช้งานได้ด้วยซึ่งระบบงานส่วนนี้ได้เปิดให้ใช้งานเรียบร้อยแล้ว – ส่วนงานระบบสารบรรณภายในบัณฑิตวิทยาลัยด้วยบัณฑิตวิทยาลัยเป็นหน่วยงานสนับสนุนที่ช่วยหลักสูตรตรวจสอบเอกสารทุกอย่างให้เป็นไปตามเกณฑ์หรือข้อบังคับตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา ฯ และ สำนักงานมาตรฐานวิชาการ มหาวิทยาลัยรังสิตกำหนด ทำให้มีเอกสารจำนวนมากที่นำมาใช้งานเพื่อให้เกิดความถูกต้องมากที่สุด ทำให้ระบบที่พัฒนาขึ้นมานั้นมีเป้าหมายในการลดการใช้กระดาษให้ได้มากที่สุด โดยวิธีการปฏิบัติงานทุกอย่างที่สามารถทำได้ให้ปรับเป็นการทำงานในระบบสารบรรณที่พัฒนาขึ้นระบบงานส่วนนี้วางแผนเริ่มใช้งานใน S/2568 – ส่วนของกลุ่มงานมาตรฐานวิชาการ ด้วยกลุ่มงานนี้มีหลายส่วนงานที่เป็นแกนหลักของข้อมูลต่าง ๆทั้งของอาจารย์และนักศึกษา จึงเป็นส่วนงานที่มีการใช้กระดาษเยอะมากที่สุด ระบบงานของกลุ่มงานส่วนนี้จึงพัฒนาขึ้นเพื่อให้เป็นแกนหลักสำหรับข้อมูลต่าง ๆ ที่ส่วนงานอื่นสามารถดึงข้อมูลไปใช้งานได้ และเป็นการปรับการปฏิบัติงานให้อยู่ในระบบออไลน์มากขึ้น  สามารถปฏิบัติงานที่ไหนก็ได้ และสามารถปฏิบัติงานได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยวางแผนให้พัฒนาระบบงานแล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม 2567 และจะเริ่มใช้งานใน S/2568 – ส่วนงานแบบสอบถามความพึงพอใจของนายจ้างเดิมบัณฑิตวิทยาลัยเป็นผู้จัดทำแบบสอบถามและส่งให้หลักสูตรประสานกับต้นสังกัดของนักศึกษา และรวบรวมข้อมูลส่งกลับบัณฑิตวิทยาลัยเพื่อประมวลผลและใช้สำหรับ QA ของแต่ละหลักสูตร แต่สำหรับปีการศึกษา 2567 ได้มีการพัฒนาระบบให้ง่ายต่อการส่งแบบสอบถามและประมวลผลมากขึ้น ซึ่งจะอำนวยความสะดวกให้กับทางหลักสูตรยิ่งขึ้น – ส่วนงานบุคคลภายในบัณฑิตวิทยาลัยสำหรับงานส่วนนี้เป็นการบริหารจัดการภายในบัณฑิตวิทยาลัยสำหรับการขอนุมัติลาหยุดชดเชยกรณีที่มีการเข้ามาปฏิบัติงานส่วนรวมของหน่วยงานและการขอออกก่อนเวลา เพื่อช่วยลดปัญหาการติดตามแบบฟอร์มขอลาหยุดชดเชยหรือบันทึกข้อความเพื่อขออนุมัติออกก่อนเวลา ซึ่งระบบงานส่วนนี้จะช่วยให้สามารถขออนุมัติได้เร็วขึ้นและเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อสรุปส่งหัวหน้างานและสำนักบุคคลได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยระบบงานส่วนนี้ได้เปิดการใช้ในเรียบร้อยแล้วเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 และจะใช้อย่างเป็นทางการในเทอม S/2568 – ส่วนของฐานข้อมูลของนักศึกษาของหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษามีเป้าหมายเพื่อแสดงความก้าวหน้าของนักศึกษา ซึ่งจะช่วยให้นักศึกษาทราบ timeline ของตนเองว่าอยู่ตรงกระบวนการจุดไหน ยังมีกระบวนการไหนที่ยังตกหล่น ทำให้ทราบว่าขั้นต่อไปตนเองจะต้องทำอะไร ทำให้นักศึกษาสามารถวางแผนในการศึกษาได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นให้นักศึกษาไปถึงเป้าหมายที่ตนเองวางไว้ได้ดีมากขึ้น คาดว่าจะสามารถใช้งานได้ใน S/2568 ด้วยความที่การพัฒนาระบบ GISS ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ในปีการศึกษา 2567 นี้ จึงมีการใช้ระบบ GISS ในการบริหารหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษาในส่วนของงานการพิจารณาการรับเข้าศึกษาในหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษาก่อนเป็นอันดับแรก ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้          ความรู้ที่เป็นประเด็นหลักในการพัฒนาระบบ GISS เพื่อเป็นระบบเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับการเป็นเครื่องมือในการบริหารหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษาให้เป็นไปตามเกณฑ์การศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ได้แก่การรับสมัครและคัดเลือกนักศึกษา การขึ้นทะเบียนอาจารย์ของหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา การบริหารงานในการทำวิจัย ของนักศึกษา และการบริหารจัดการงานภายในบัณฑิตวิทยาลัย ประเภทความรู้และที่มาความรู้ ความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวคน (Tacit Knowledge) :  เจ้าของความรู้/สังกัด บุคลากรบัณฑิตวิทยาลัย วิธีการดำเนินการ 1. กลุ่มงาน GISS ปรึกษาแนวทางและเก็บรวบรวมข้อมูลการปฏิบัติงานของทุกฝ่ายเช่น Flow ขั้นตอนการทำงาน,เกณฑ์ข้อบังคับ, แบบฟอร์มต่างๆ ที่ใช้ภายในบัณฑิตวิทยาลัย เป็นต้น2. ออกแบบการทำงานของแต่ละระบบงานและกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้งานระดับต่างๆซึ่งสามารถแบ่งผู้ใช้งานระบบ GISS ออกเป็น2.1 ผู้ใช้งานฝ่ายหลักสูตร ประกอบไปด้วยเจ้าหน้าที่หลักสูตร, ผู้อำนวยการหลักสูตร และคณบดี2.2 ผู้ใช้งานฝ่ายบัณฑิตวิทยาลัย ประกอบได้ด้วยเจ้าหน้าที่บัณฑิตวิทยาลัย,หัวหน้างานแต่ละฝ่ายของบัณฑิตวิทยาลัย และผู้บริหารบัณฑิตวิทยาลัย2.3 ผู้ใช้งานของหน่วยงานอื่นๆ เช่น RELI2.4 รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ3. ดำเนินการออกแบบและพัฒนาระบบ GISS โดยใช้ข้อมูลทั้งหมดที่รวบรวมจากทุกฝ่ายงานรวมถึงประสานงานขอข้อมูลจากหน่วยงานส่วนกลางของมหาวิทยาลัยเพื่อให้สามารถจัดการข้อมูลได้ถูกต้องและสอดคล้องกับกระบวนการทำงานมากที่สุด4. วางแผนการถ่ายทอดความรู้การใช้งานระบบ GISS แก่หลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยมีระบบ Graduate Information Service System (GISS) เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการ 2.Prototype testing in an operational environment – DO  ผลการดำเนินการ การนำไปใช้ หรือการลงมือปฏิบัติจริง อุปสรรคหรือปัญหาในการทำงาน 2.1 การนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ได้รับการพัฒนาเป็นระบบ Graduate Information ServiceSystem ที่สามารถนำมาใช้งานบริหารหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษาและบริหารการดำเนินงานภายในบัณฑิตวิทยาลัย มีส่วนงานที่เสร็จและสามารถใช้งานได้คือ 1)ส่วนของงานพิจารณาเพื่อการรับเข้าศึกษาในหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษาของผู้สมัครเรียน 2)ส่วนงานการเทียบเกณฑ์ภาษาอังกฤษ 3) ส่วนงานบุคคลภายในบัณฑิตวิทยาลัย 4)ส่วนงานประเมินความพึงพอใจของนายจ้าง ดังแสดงผังการทำงานของ 4 ส่วนงานนี้ในรูปที่ 2-5 รูปที่ 1 ภาพรวมระบบ Graduate Information Service System (GISS) รูปที่ 2 Flowchart ส่วนของงานพิจารณาเพื่อการรับเข้าศึกษาในหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษาของผู้สมัครเรียน รูปที่ 3 Flowchart ส่วนงานการเทียบเกณฑ์ภาษาอังกฤษ รูปที่ 4 ส่วนงานบุคคลภายในบัณฑิตวิทยาลัย รูปที่ 5 ส่วนงานแบบสอบถามความพึงพอใจของนายจ้าง 3. Proven through successful mission operation, Objectives and Key Results for Knowledge Management – CHECK         สืบเนื่องจากการนำประสบการณ์การทำงานในการบริหารหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษาและการบริหารงานภายในบัณฑิตวิทยาลัย มาเชื่อมโยงกับความร่วมมือของผู้บริหารทั้งในบัณฑิตวิทยาลัย หลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงได้เกิดระบบฐานความรู้เพื่อการบริหารจัดการในรูปแบบของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ชื่อ GraduateInformation Service System หรือ GISS ที่ต้องอาศัยข้อมูลและประสบการณ์การทำงานรวมถึงความรู้ความเข้าใจในมาตรฐานการศึกษาและการบริหารจัดการ งานทั้งหมดที่นำมากล่าวถึง คือ         ในการพัฒนาระบบ GISS ขึ้นมาเพื่อใช้บริหารงานระดับบัณฑิตศึกษาจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือกันในหลายส่วนงาน ร่วมกันให้ข้อมูล แชร์ประสบการณ์ที่พบเจอปัญหา การแก้ไขปัญหา รวมถึงการให้รายละเอียดของกระบวนการทำงานที่ชัดเจน จึงจะทำให้ระบบ GISS สามารถพัฒนาได้สำเร็จ ซึ่งใน Phase นี้เป็นการพัฒนาระบบขึ้นมาบนพื้นฐานของการใช้ข้อมูลที่ทุกส่วนงานให้ข้อมูลเพื่อให้ระบบ GISS สามารถตอบสนองการทำงานได้ในระบบที่ทุกส่วนงานพึงพอใจตามเป้าหมายของการพัฒนาระบบเพื่อความสะดวกรวดเร็ว และลดการใช้กระดาษ ข้อเสนอแนะในการดำเนินการในอนาคต หรือการดำเนินการเพื่อสามารถนำไปสู่การเป็น Good Practice          เพื่อให้ระบบ GISS มีควาสมบูรณ์และสามารถใช้งานตอบสนองการทำงานได้มากยิ่งขึ้น ใน Phase ต่อไปจะได้นำปัญหาที่พบระหว่างการใช้งานระบบ GISS ใน Phase 1 มาพัฒนา เพื่อให้การใช้งานราบรื่นมายิ่งขึ้นในลักษณะของการทำ PDCA

Graduate Information Service System (GISS) Read More »

คลินิกสุขภาพทางเพศดิจิทัล: โมเดลการจัดการความรู้เพื่อสร้างสุขภาพที่เข้าถึงได้ (Digital Sexual Health Clinic: A Knowledge Management Model for Accessible Well-being)

รางวัลชมเชย ปีการศึกษา 2567 ยุทธศาสตร์ที่ 3 : KR 3.1.1, KR 3.1.2/1, KR 3.2.1/1, KR 3.3.1/1, KR 3.4.1/1 และ KR 5.3.1/1 คลินิกสุขภาพทางเพศดิจิทัล: โมเดลการจัดการความรู้เพื่อสร้างสุขภาพที่เข้าถึงได้ (Digital Sexual Health Clinic: A Knowledge Management Model for Accessible Well-being) ผู้จัดทำโครงการ​ นายรชานนท์ สากล นายกวี ภัทรยุคลธร นางสาวอุมา คุ้มวงศ์ และนางสาวภัทราพร จันทรังษี สำนักงานสวัสดิการสุขภาพ หลักการและเหตุผล/ความสำคัญ/ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้​ หลักการและเหตุผล / ความสำคัญ / ประเด็นปัญหา1.1 หลักการพื้นฐานของการให้บริการสุขภาพทางเพศดิจิทัล วัยรุ่นเป็นช่วงอายุที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQAI+) มักเผชิญกับความท้าทายด้านอัตลักษณ์และการยอมรับในสังคม ซึ่งส่งผลต่อพฤติกรรมการเข้าถึงบริการสุขภาพทางเพศ ความกังวลเรื่องการตีตราและความไม่สะดวกในการเข้ารับคำปรึกษาทางการแพทย์ อาจทำให้วัยรุ่นหลายคนไม่ได้รับการดูแลสุขภาพทางเพศที่เหมาะสมจากข้อมูลการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ในกลุ่มวัยรุ่นและนักศึกษา โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีสถานศึกษาอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น จังหวัดปทุมธานี พบว่าอัตราการติดเชื้อ เช่น เอชไอวี หนองใน และซิฟิลิส ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างในการเข้าถึงบริการทางสุขภาพ ทั้งจากมุมมองของผู้ใช้บริการและระบบบริการเอง  ดังนั้น แนวทางการให้บริการสุขภาพทางเพศที่มีประสิทธิภาพจำเป็นต้องอยู่บนหลักการสำคัญดังนี้: 1.1.1 การเข้าถึงที่สะดวกและปลอดภัย – บริการสุขภาพต้องเปิดกว้าง ไม่เลือกปฏิบัติ และให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัว1.1.2 การใช้เทคโนโลยีเป็นสื่อกลาง – นำแพลตฟอร์มดิจิทัลมาใช้เพื่อให้บริการที่สะดวกและลดอุปสรรคในการเข้าถึง1.1.3 แนวทางที่เป็นมิตรและปราศจากการตีตรา – ออกแบบพื้นที่และระบบบริการให้เอื้อต่อวัยรุ่นทุกเพศสภาพ1.1.4 การดูแลแบบองค์รวมโดยทีมสหวิชาชีพ – ประกอบด้วยแพทย์ พยาบาล เภสัชกร และนักจิตวิทยาที่มีความเข้าใจในประเด็นด้านเพศภาวะ 1.2 การประยุกต์ใช้แนวคิดทางทฤษฎีเพื่อเสริมสร้างพฤติกรรมสุขภาพการส่งเสริมสุขภาพทางเพศในวัยรุ่นไม่สามารถมุ่งเน้นเฉพาะด้านการรักษาเพียงอย่างเดียวแต่จำเป็นต้องพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพอย่างเป็นระบบ โดยใช้ "Health Promotion Model" ของ Pender เป็นแนวทางหลัก ซึ่งมีองค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ การรับรู้ผลประโยชน์ของพฤติกรรมสุขภาพ – สร้างความเข้าใจว่า การดูแลสุขภาพทางเพศตั้งแต่เนิ่น ๆช่วยลดภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์หรือปัญหาจากการใช้ฮอร์โมนโดยไม่มีคำแนะนำที่ถูกต้อง  การลดอุปสรรคในการเข้ารับบริการ – ใช้เทคโนโลยีช่วยให้การรับคำปรึกษาง่ายขึ้นลดความรู้สึกอึดอัดเมื่อต้องพบแพทย์โดยตรง อิทธิพลของปัจจัยทางสังคม – สร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนให้วัยรุ่นกล้ารับบริการสุขภาพโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการตีตรา การพัฒนาทัศนคติในระดับบุคคล – กระตุ้นให้เกิดความตระหนักในความสำคัญของสุขภาพทางเพศไม่ใช่แค่เมื่อมีอาการป่วย แต่เป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพโดยรวม 1.3 โมเดลการจัดการความรู้เพื่อสุขภาพทางเพศที่เข้าถึงได้“RSU New Gen x Pride Clinic” ถูกออกแบบให้เป็นต้นแบบของการให้บริการสุขภาพทางเพศ ที่เชื่อมโยงองค์ความรู้ไปสู่การปฏิบัติจริง โดยใช้ โมเดลการจัดการความรู้ (Knowledge Management Model) ที่มีองค์ประกอบสำคัญดังนี้ การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล – ศึกษาสถานการณ์ปัจจุบันเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่นเพื่อพัฒนานโยบายการให้บริการที่เหมาะสม การพัฒนาองค์ความรู้ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย – สร้างเนื้อหาการให้ความรู้ที่เข้าใจง่าย เหมาะสมกับวัยรุ่นและใช้สื่อดิจิทัลให้เป็นช่องทางหลักในการเผยแพร่ข้อมูล การนำองค์ความรู้ไปใช้ในบริการจริง – พัฒนาแอปพลิเคชันหรือแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ช่วยให้วัยรุ่นสามารถจองคิว นัดหมายแพทย์ ขอคำปรึกษาออนไลน์และเข้าถึงข้อมูลด้านสุขภาพทางเพศได้สะดวก การประเมินผลและปรับปรุงบริการอย่างต่อเนื่อง – ใช้ข้อมูลจากผู้ใช้บริการมาพัฒนาระบบให้ตอบโจทย์ความต้องการของวัยรุ่นและกลุ่ม LGBTQAI+ 1.4 เทคโนโลยีกับการลดอุปสรรคในการเข้าถึงบริการปัจจัยสำคัญที่ทำให้วัยรุ่นหลีกเลี่ยงการเข้ารับบริการสุขภาพทางเพศคือ ความรู้สึกไม่มั่นใจ กลัวการถูกตีตรา และความยุ่งยากของกระบวนการรับบริการ ดังนั้น คลินิกสุขภาพทางเพศดิจิทัลจึงใช้ เทคโนโลยีเข้ามาเป็นสะพานเชื่อมต่อบริการสุขภาพกับกลุ่มเป้าหมาย โดยมีแนวทางดังนี้ การใช้แพลตฟอร์มดิจิทัล – พัฒนา ไลน์บัญชีทางการ (LINE Official Account) เพื่อช่วยให้วัยรุ่นสามารถนัดหมาย ปรึกษาแพทย์ และขอรับคำแนะนำเบื้องต้นได้ทันที บริการทางไกลและTelemedicine – เพิ่มทางเลือกให้สามารถเข้ารับคำปรึกษาผ่านวิดีโอคอลหรือ แชทโดยไม่ต้องเดินทางมาโรงพยาบาล การให้บริการแบบไม่ต้องเปิดเผยตัวตน – ลดปัจจัยที่ทำให้วัยรุ่นรู้สึกอึดอัดในการเข้ารับบริการ เช่น การลงทะเบียนแบบไม่ระบุชื่อหรือการใช้ระบบจองคิวอัตโนมัติ  การใช้ AI หรือ Chatbot – นำปัญญาประดิษฐ์หรือระบบตอบข้อความอัตโนมัติเข้ามาช่วยตอบคำถามเกี่ยวกับสุขภาพทางเพศ ทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ตลอด 24 ชั่วโมง สรุป โมเดล “คลินิกสุขภาพทางเพศดิจิทัล: การจัดการความรู้เพื่อสร้างสุขภาพที่เข้าถึงได้” ไม่เพียงแต่เป็นการให้บริการทางการแพทย์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของวัยรุ่นและกลุ่ม LGBTQAI+ เท่านั้น แต่ยังเป็นต้นแบบของระบบสุขภาพที่เน้น “การจัดการความรู้ (Knowledge Management) “ เพื่อให้เกิดการพัฒนาคุณภาพบริการในระยะยาว  ช่วยให้วัยรุ่นเข้าถึงบริการทางสุขภาพทางเพศได้สะดวก ปลอดภัย และเป็นมิตร  ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลช่วยลดอุปสรรคในการเข้ารับบริการ  นำองค์ความรู้มาประยุกต์ใช้ในรูปแบบที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของนักศึกษาและวัยรุ่นยุคใหม่  ส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพและลดอัตราการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ในระยะยาว การจัดการองค์ความรู้ในคลินิกสุขภาพทางเพศดิจิทัล จึงเป็นแนวทางสำคัญในการทำให้สุขภาพทางเพศกลายเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ สะดวก และเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของวัยรุ่นทุกคน ประเภทความรู้และที่มาความรู้ ความรู้แบบชัดแจ้ง (Explicit Knowledge)– ข้อมูลจากสำนักงานสวัสดิการสุขภาพ มหาวิทยาลัยรังสิต– ข้อมูลจากกรมควบคุมโรค เขต 4 และ สำนักงานสาธารณสุข จังหวัดปทุมธานี– ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก– การประยุกต์ทฤษฎีทางการพยาบาล– ทิศทางกลยุทธ์และนโยบาย โดย สภาการพยาบาล ความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวคน (Tacit Knowledge)เจ้าของความรู้/สังกัดประสบการณ์ตรงและการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในคลินิกฯและผู้รับบริการโดยตรงจากการปฏิบัติงานทางคลินิกและการให้คำปรึกษาที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพทางเพศในกลุ่มนักศึกษาทั่วไปและนักศึกษาที่มีความหลากหลายทางเพศ ช่วงวัยรุ่น– นายรชานนท์ สากล (พยาบาลวิชาชีพ) ผู้จัดตั้งโครงการฯ / สำนักงานสวัสดิการสุขภาพ– นายกวี ภัทรยุคลธร (พยาบาลวิชาชีพ) ผู้ปฏิบัติการ / สำนักงานสวัสดิการสุขภาพ– นางสาวอุมา คุ้มวงศ์ (พยาบาลวิชาชีพ) ผู้ปฏิบัติการ / สำนักงานสวัสดิการสุขภาพ– นางสาวภัทราพร จันทรังษี (พยาบาลวิชาชีพ) ผู้ปฏิบัติการ / สำนักงานสวัสดิการสุขภาพอื่น ๆ นายแพทย์ศุภชัย คุณารัตนพฤกษ์, นายแพทย์วิชาญ เกิดวิชัย, นางปราณี บุญญา, และทีมแพทย์ และบุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้อง สำนักงานสวัสดิการสุขภาพ มหาวิทยาลัยรังสิต วิธีการดำเนินการ          การดำเนินโครงการ RSU New Gen x Pride Clinic เป็นการพัฒนารูปแบบบริการสุขภาพทางเพศ ที่ทันสมัยและเข้าถึงได้ง่าย โดยใช้ แนวคิดการจัดการความรู้ (Knowledge Management) เป็นแนวทางหลัก เพื่อให้บริการที่มีประสิทธิภาพและตอบสนองต่อความต้องการของกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง การดำเนินงาน มี 5 ขั้นตอนสำคัญ ได้แก่ การวางแผน การพัฒนาโครงสร้างและระบบบริการ การดำเนินกิจกรรมและให้บริการ การติดตามผล และการส่งเสริมความร่วมมือ โดยแต่ละขั้นตอนถูกออกแบบให้เชื่อมโยงกันเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องและพัฒนาไปสู่ระบบบริการที่ยั่งยืน1. การวางแผนและเตรียมการการพัฒนาและดำเนินโครงการเริ่มต้นจากการกำหนดเป้าหมายและแนวทางการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด1.1 การจัดตั้งทีมงานและการบริหารจัดการโครงการ จัดตั้งทีมบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ ได้แก่ แพทย์ พยาบาล เภสัชกร นักเทคนิคการแพทย์ นักจิตวิทยา และผู้ให้คำปรึกษาด้านสุขภาพทางเพศ เพื่อร่วมกันออกแบบและพัฒนาระบบ วางโครงสร้างและกระบวนการทำงานของคลินิกให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของวัยรุ่นและนักศึกษา จัดประชุมระหว่างทีมงานเพื่อกำหนดแนวทางให้บริการอย่างเป็นมิตรและไม่เลือกปฏิบัติ1.2 การพัฒนาองค์ความรู้และเตรียมบุคลากร จัดอบรมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับแนวทางการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพทางเพศ พัฒนาคู่มือแนวปฏิบัติสำหรับบุคลากรทางการแพทย์เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพของกลุ่ม LGBTQAI+ ออกแบบหลักสูตรอบรมสำหรับนักศึกษาแกนนำที่สนใจเป็นผู้ให้ความรู้ในระดับเพื่อนช่วยเพื่อน1.3 การจัดทำแผนและขออนุมัติโครงการ จัดทำแผนปฏิบัติการที่ครอบคลุมตั้งแต่การตั้งเป้าหมาย วัตถุประสงค์ งบประมาณ และตารางเวลาดำเนินงาน ประสานงานกับมหาวิทยาลัยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขออนุมัติโครงการ 2. การพัฒนาโครงสร้างและระบบบริการ เพื่อให้บริการของคลินิกสามารถเข้าถึงได้ง่ายและสะดวก ระบบดิจิทัลจึงถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือหลัก2.1 การพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล พัฒนา ไลน์บัญชีทางการ หรือ LINE Official Account เป็นช่องทางหลักในการเข้าถึงบริการ ออกแบบระบบจองคิวออนไลน์และปรับปรุงช่องทางการติดต่อให้มีความเป็นส่วนตัว พัฒนาบริการ เทเลเมดดิซีน (Telemedicine) ผ่านวิดีโอคอล เพื่อให้คำปรึกษาเบื้องต้น2.2 การจัดหาอุปกรณ์และเวชภัณฑ์ จัดเตรียมชุดตรวจ HIV Self-Test Kit, ชุดตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก, ถุงยางอนามัย และสารหล่อลื่น จัดหาวัสดุและอุปกรณ์สนับสนุนที่จำเป็นสำหรับการตรวจวินิจฉัยและรักษา2.3 การสร้างระบบการให้บริการแบบบูรณาการ ประสานงานระหว่างทีมบุคลากรสหวิชาชีพเพื่อให้บริการที่ครอบคลุม จัดให้มีพื้นที่ให้บริการที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับกลุ่มเป้าหมาย 3. การดำเนินกิจกรรมและให้บริการคลินิกสุขภาพทางเพศดิจิทัลให้บริการในหลายรูปแบบเพื่อให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย3.1 การให้คำปรึกษาและตรวจคัดกรองโรค ให้คำปรึกษาออนไลน์ผ่าน LINE Chat และ Video Call บริการคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เบื้องต้น บริการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิตที่เกี่ยวข้องกับเพศภาวะ3.2 การตรวจวินิจฉัยและรักษาโรค ให้บริการตรวจและรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในสถานพยาบาลของมหาวิทยาลัย นัดหมายและส่งต่อผู้ป่วยไปยังคลินิกเฉพาะทางหากจำเป็น3.3 การแจกจ่ายอุปกรณ์ป้องกันและส่งเสริมสุขภาพ แจกจ่ายถุงยางอนามัยและสารหล่อลื่นในจุดให้บริการที่เข้าถึงง่าย ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ฮอร์โมนอย่างปลอดภัยสำหรับผู้ที่ต้องการ3.4 การอบรมและสร้างแกนนำนักศึกษา จัดการอบรมให้แกนนำนักศึกษาเพื่อเป็นตัวแทนในการให้ความรู้เรื่องสุขภาพทางเพศ ส่งเสริมการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน (Peer Learning)3.5 การรณรงค์และประชาสัมพันธ์ ใช้โซเชียลมีเดียและสื่อออนไลน์เป็นเครื่องมือหลักในการเผยแพร่ความรู้ จัดกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์เพื่อสร้างความตระหนักเรื่องสุขภาพทางเพศในหมู่นักศึกษา 4. การติดตามและประเมินผล การดำเนินโครงการจะต้องมีการติดตามผลอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาคุณภาพบริการ4.1 การเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล จัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนผู้ใช้บริการ ระดับความพึงพอใจ และผลการรักษา วิเคราะห์แนวโน้มการติดเชื้อและพฤติกรรมสุขภาพของกลุ่มเป้าหมาย4.2 การติดตามผลการรักษาและให้คำปรึกษาต่อเนื่อง ติดตามผลการรักษาของผู้ป่วยเพื่อให้แน่ใจว่าได้รับการดูแลอย่างครบถ้วน ให้คำแนะนำต่อเนื่องเกี่ยวกับการป้องกันและการดูแลสุขภาพทางเพศ4.3 การนำผลการประเมินมาปรับปรุงระบบ ใช้ข้อมูลจากผู้ใช้บริการมาพัฒนาและปรับปรุงระบบให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย ปรับปรุงแนวทางการให้บริการให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น 5. การเสริมสร้างพลังอำนาจและเครือข่ายความร่วมมือ การดำเนินโครงการให้ประสบความสำเร็จจำเป็น ต้องได้รับความร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ5.1 การสร้างการมีส่วนร่วมของนักศึกษา สนับสนุนให้มีการจัดตั้งชมรมหรือกลุ่มนักศึกษาที่สนใจประเด็นสุขภาพทางเพศ ส่งเสริมบทบาทของนักศึกษาในการเป็นผู้ให้คำปรึกษาและเผยแพร่ความรู้5.2 การสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำงานร่วมกับคณะและภาควิชาต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัย ประสานงานกับหน่วยงานสาธารณสุขในท้องถิ่นเพื่อขยายบริการ5.3 การพัฒนาเครือข่ายสนับสนุนระดับประเทศและนานาชาติ ขยายความร่วมมือไปยังองค์กรด้านสุขภาพทางเพศและสิทธิมนุษยชน แลกเปลี่ยนองค์ความรู้และแนวทางปฏิบัติที่ดีจากหน่วยงานต่างประเทศ         สรุปแนวทางการดำเนินงานของ “คลินิกสุขภาพทางเพศดิจิทัล” มุ่งเน้น การจัดการความรู้เพื่อพัฒนาระบบบริการที่เข้าถึงได้ โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นศูนย์กลาง พร้อมบูรณาการหลักการพยาบาลและสุขภาพสาธารณะเพื่อให้บริการที่ครอบคลุม ปลอดภัย และยั่งยืนต่อไปในอนาคต การสร้างเสริมพลังอำนาจ การมีส่วนร่วมของนักศึกษาและภาคีเครือข่ายในการขับเคลื่อน 2.Prototype testing in an operational environment – DO  ผลการดำเนินการ การนำไปใช้ หรือการลงมือปฏิบัติจริง อุปสรรคหรือปัญหาในการทำงาน2.1 การดำเนินการทดสอบต้นแบบของ RSU New Gen x Pride Clinic การพัฒนา RSU New Gen x Pride Clinic ในระยะต้นเน้นการทดสอบการให้บริการในรูปแบบ แอปพลิเคชันบัญชีไลน์ทางการ (LINE Official Account) เพื่อวิเคราะห์ ประสิทธิภาพของระบบ และ ความพร้อมของบุคลากร ในการให้บริการสุขภาพทางเพศแบบดิจิทัล โดยใช้กระบวนการทดสอบ Prototype Testing ภายใต้เงื่อนไขการใช้งานจริง กระบวนการทดสอบต้นแบบนี้ใช้แนวทาง การพัฒนาวนรอบ (Iterative Development Approach) ซึ่งเน้น การทดลองใช้งาน (Trial Use) การเก็บรวบรวมข้อมูล (Data Collection) และการปรับปรุงระบบ ตามข้อเสนอแนะของผู้ใช้บริการ (User Feedback-Based Improvement) เพื่อให้แน่ใจว่าระบบสามารถให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ2.2 ตารางสรุปการทดสอบต้นแบบ: ประเด็นสำคัญและแนวทางแก้ไข2.2.1 ปัจจัยเชิงเทคนิคและการบริหารจัดการ หัวข้อ รายละเอียด ผลกระทบ / อุปสรรค แนวทางแก้ไข การจัดการข้อมูลและความปลอดภัย ระบบเก็บข้อมูลผู้ใช้บริการยังไม่มีมาตรการความปลอดภัยเพียงพอ เสี่ยงต่อข้อมูลรั่วไหลและการบริหารจัดการข้อมูลที่ซับซ้อน ปรับปรุงระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูล (Data Security Enhancement) โดยกำหนดระดับสิทธิ์การเข้าถึง (Access Control) ระบบนัดหมายและการบริหารบุคลากร มีจำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่เจ้าหน้าที่มีจำนวนจำกัด เกิดความล่าช้าในการให้บริการ และอาจมีบางกรณีที่ไม่ได้รับการดูแลทันที พัฒนาระบบ Online & Onsite Booking และเพิ่มเจ้าหน้าที่สนับสนุน การตอบคำถามนอกเวลาทำการ นักศึกษาส่วนใหญ่สอบถามข้อมูลนอกเวลางาน ทำให้เกิดความล่าช้าในการให้ข้อมูลสำคัญ ใช้ Chatbot ตอบคำถามเบื้องต้น และแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่ในกรณีฉุกเฉิน การบริหารจัดการเคส (Case Management) ยังไม่มีระบบติดตามเคสที่เป็นระบบ เกิดปัญหาการตกหล่นของเคส หรือใช้เวลารอนานเกินไป พัฒนา Real-time Case Management System สำหรับติดตามและส่งต่อผู้ป่วย จำนวนแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ มีแพทย์เฉพาะทางเพียงบางวัน และไม่มีแพทย์โรคติดเชื้อประจำ ผู้ป่วยอาจไม่ได้รับการรักษาทันเวลา ขยายเครือข่ายความร่วมมือ กับโรงพยาบาลและหน่วยงานภายนอก นักจิตวิทยาไม่เพียงพอ นักจิตวิทยามีเคสหนาแน่น การให้บริการด้านสุขภาพจิตล่าช้า ใช้แนวทาง Peer Counseling โดยฝึกอบรมพยาบาลให้สามารถให้คำปรึกษาเบื้องต้น ภาระงานพยาบาลเพิ่ม พยาบาลต้องดูแลหลายส่วน ทำให้การให้บริการล่าช้า ผู้ใช้บริการอาจได้รับคำแนะนำล่าช้า ปรับลดภาระงานที่ไม่จำเป็นและพัฒนา Task Delegation System 2.2.2 ปัจจัยด้านเทคโนโลยี หัวข้อ รายละเอียด ผลกระทบ / อุปสรรค แนวทางแก้ไข ความล่าช้าในการพัฒนาระบบ ทีมพัฒนาเป็นนักศึกษา IT ที่ไม่มีความรู้ด้านการแพทย์ ระบบอาจไม่ตอบโจทย์การใช้งานจริง ร่วมมือกับพยาบาลสารสนเทศและผู้เชี่ยวชาญ IT ข้อจำกัดในการให้ยา ยาบางชนิด เช่น ยาต้านฉุกเฉิน ยังไม่สามารถให้บริการได้ ผู้ใช้บริการต้องไปขอรับบริการที่อื่น ประสานงานกับหน่วยงานสาธารณสุข เพื่อขยายการให้บริการ ปัญหาการประชาสัมพันธ์ นักศึกษาบางรายยังไม่ทราบว่าคลินิกมีบริการด้านสุขภาพทางเพศ ทำให้มีผู้เสียโอกาสเข้ารับบริการ ใช้ช่องทาง TikTok, Instagram, LINE OA และกิจกรรมรณรงค์ 2.3 บทเรียนจากการทดสอบต้นแบบและแนวทางพัฒนาจากการทดสอบต้นแบบ RSU New Gen x Pride Clinic ในระยะแรก พบข้อดีและอุปสรรคที่สามารถ นำมาพัฒนาโครงการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยแนวทางการปรับปรุงในอนาคต ได้แก่2.3.1 ปรับปรุงระบบและโครงสร้างการให้บริการ เพิ่มบุคลากรสนับสนุน – ลดภาระงานของแพทย์ พยาบาล และนักจิตวิทยา โดยใช้ Chatbot และระบบอัตโนมัติ พัฒนาระบบบริหารจัดการเคส – ใช้ระบบติดตามผู้ป่วยแบบเรียลไทม์ เพื่อลดระยะเวลารอ ขยายความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก – เพื่อรองรับบริการด้านสุขภาพทางเพศที่ครอบคลุมมากขึ้น ปรับปรุงแพลตฟอร์มและเทคโนโลยี ปรับปรุงระบบแจ้งเตือนในไลน์ – ใช้ API ที่รองรับการเปลี่ยนแปลงของแพลตฟอร์ม เพิ่มระบบ Chatbot AI – ตอบคำถามเบื้องต้นเพื่อลดภาระงานของเจ้าหน้าที่ เพิ่มระบบริชเมนูใน LINE OA – เพื่อให้ผู้ใช้บริการเข้าถึงบริการต่างๆ ได้ง่ายขึ้น เพิ่มช่องทางการเข้าถึงข้อมูลและลดอุปสรรคในการเข้ารับบริการ ใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางประชาสัมพันธ์หลัก เช่น TikTok, Instagram และ กิจกรรมให้ความรู้ ขยายบริการให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เช่น LGBTQAI+ และนักศึกษาที่ต้องการคำปรึกษาเกี่ยวกับการใช้ฮอร์โมน  ลดอุปสรรคทางจิตวิทยาและสังคม – จัดกิจกรรมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสุขภาพทางเพศและลดการตีตรา2.3.2 การพัฒนาระยะต่อไป: การขยายขอบเขตของคลินิกสุขภาพทางเพศดิจิทัล หลังจากการทดสอบต้นแบบ RSU New Gen x Pride Clinic ในระยะแรกเสร็จสิ้นแผนการพัฒนาระยะต่อไปมีเป้าหมายในการทำให้ระบบสมบูรณ์และครอบคลุมมากขึ้น โดยมีแนวทางดังนี้ ทดสอบ Web Service และริชเมนูใน LINE OA เพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถนัดหมายออนไลน์ขอรับถุงยางอนามัย / ชุดตรวจ HIV / ชุดตรวจ HPV DNA แบบไม่พบหน้า แจ้งเตือนการกินยา รับใบรับรองแพทย์ รับผลตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ พัฒนาระบบติดตามการรักษาอัตโนมัติ เช่น AI Reminder และ Telehealth Follow-up สร้างโมเดลความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายสุขภาพทางเพศ เพื่อลดช่องว่างในการให้บริการสรุป การทดสอบต้นแบบ RSU New Gen x Pride Clinic ช่วยให้สามารถระบุจุดแข็งและจุดที่ต้องปรับปรุงของระบบได้ชัดเจน ซึ่งจะเป็นแนวทางสำคัญในการพัฒนา คลินิกสุขภาพทางเพศดิจิทัล ที่มีประสิทธิภาพและเข้าถึงได้อย่างแท้จริง 3. Proven through successful mission operation, Objectives and Key Results for Knowledge Management – CHECK         การดำเนินโครงการ RSU New Gen x Pride Clinic ได้ผ่านกระบวนการออกแบบ ทดลองและปรับปรุงจนสามารถ พิสูจน์ความเป็นไปได้ (Feasibility) และประสิทธิผล (Effectiveness) ในการให้บริการสุขภาพ ทางเพศที่เข้าถึงได้จริง ผ่านการบูรณาการ องค์ความรู้ (Explicit Knowledge), เทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Health), และแนวทางการทำงานแบบสหวิชาชีพ (Interprofessional Collaboration) กระบวนการ "CHECK" นี้ มุ่งเน้นการ วิเคราะห์ผลการดำเนินงาน (Performance Analysis), การนำองค์ความรู้ไปใช้ (Knowledge Application), และการกำหนดแนวทางพัฒนาต่อเนื่อง (Future Direction) เพื่อให้โครงการสามารถขยายผลและสร้างผลลัพธ์เชิงระบบอย่างยั่งยืน 3.1 การนำเสนอประสบการณ์การนำไปใช้3.1.1 ประสบการณ์ในการออกแบบและพัฒนาระบบ ทีมพัฒนาได้นำ ทฤษฎีการส่งเสริมสุขภาพของ Pender (Pender’s Health Promotion Model)มาใช้เป็นแนวทางหลักในการออกแบบระบบสุขภาพทางเพศดิจิทัล ใช้แนวคิด "การออกแบบที่มุ่งเน้นผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง (User-Centered Design)"เพื่อให้แพลตฟอร์มตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย กระบวนการ Prototype Testing ในสภาพแวดล้อมจริง ช่วยให้ทีมพัฒนา มองเห็น Pain Point ได้เร็วขึ้นและปรับปรุงระบบให้เหมาะสม เช่น การจัดการสิทธิ์เข้าถึงข้อมูล, การขาดแพทย์เฉพาะทาง,และการบริหารข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคล3.1.2 ประสบการณ์ในการดำเนินงานจริง มีการพัฒนา ระบบ Case Management และ ระบบติดตามผู้ป่วยผ่านไลน์เพื่อลดระยะเวลารอคอยและเพิ่มความสะดวกให้ผู้ใช้บริการ ขยายความร่วมมือกับ โรงพยาบาลปทุมธานี และหน่วยงานสาธารณสุขเพื่อรองรับการรักษาเฉพาะทางและสนับสนุนทรัพยากร ปรับปรุง กระบวนการทำงานของทีมสหวิชาชีพ ให้มีการสื่อสารที่ดีขึ้น (Effective Communication)ลดข้อผิดพลาดในการส่งต่อและการบริหารจัดการผู้ป่วย 3.2 สรุปและอภิปรายผลการดำเนินงาน3.2.1 พฤติกรรมสุขภาพของนักศึกษามีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด นักศึกษาตระหนักถึง ความสำคัญของสุขภาพทางเพศ มากขึ้น มีอัตราการเข้ารับการตรวจคัดกรองสูงขึ้นและลดการใช้ยาด้วยตนเองโดยไม่มีคำแนะนำจากแพทย์ ความรู้สึกอึดอัดและการตีตราลดลง เนื่องจากบริการให้ความสำคัญกับ "ความเป็นส่วนตัว"และมีช่องทางการปรึกษาออนไลน์3.2.2 เทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มประสิทธิภาพของบริการ ระบบ Online Booking, QR Code Scan, และ Chatbot หรือ AI ลดระยะเวลาการให้บริการและภาระงานของบุคลากร การเชื่อมต่อข้อมูล Real-time ผ่าน LINE Official Account ทำให้การบริหารจัดการเคสเป็นไปอย่างต่อเนื่อง3.2.3 การทำงานร่วมกันของทีมสหวิชาชีพและเครือข่ายสุขภาพ โครงการ สอดคล้องกับ KR 3.1.2/1 ของยุทธศาสตร์ที่ 3 (Smart Organization)ซึ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพองค์กร  ขยายเครือข่ายความร่วมมือกับ โรงพยาบาล สำนักงานสาธารณสุข และ NGO ทำให้บริการมีความครอบคลุมและตอบสนองต่อความต้องการของกลุ่ม LGBTQAI+3.2.4 การเปลี่ยนแปลงไปสู่มหาวิทยาลัยอัจฉริยะ (Smart Organization) มีการนำ Digital Health Solutions เข้ามาสนับสนุนการเรียนการสอนและการปฏิบัติงานของบุคลากร สอดคล้องกับ KR 3.3.1/1 ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพองค์กร ข้อมูลที่รวบรวมได้ถูกนำไปใช้พัฒนาต่อยอด งานวิจัยและแนวทางปฏิบัติทางคลินิก3.2.5 การสร้างชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือ (Image & Reputation) การให้บริการที่ครอบคลุมและเป็นมิตรต่อวัยรุ่น สนับสนุน O5.3 (การสร้างเสริมสุขภาวะของนักศึกษา) การประชาสัมพันธ์ผ่านโซเชียลมีเดียและกิจกรรมในมหาวิทยาลัย ทำให้ RSU เป็นต้นแบบของHealth Promoting University 3.3 บทสรุปองค์ความรู้ที่ค้นพบใหม่ “โมเดลคลินิกสุขภาพทางเพศดิจิทัล” ช่วยลดช่องว่างการเข้าถึงบริการ – แพลตฟอร์มออนไลน์ช่วยให้ผู้ใช้บริการสามารถขอรับคำปรึกษาได้ง่ายขึ้น ลดอุปสรรคด้านความอายและการตีตรา “Key Success Factor” คือการบูรณาการความรู้ข้ามศาสตร์ – ทฤษฎีการพยาบาล, เทคโนโลยี, Data Science และ Cultural Competence เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างบริการสุขภาพที่มีประสิทธิภาพ”ข้อมูลที่รวบรวมสามารถต่อยอดในระดับระบบ” – สถิติการใช้บริการและรายงาน (รง.506) มีประโยชน์เชิงระบาดวิทยา และสามารถนำไปพัฒนานโยบายสุขภาพวัยรุ่นได้ “ต้นแบบมหาวิทยาลัยสร้างเสริมสุขภาพ” – โครงการนี้แสดงให้เห็นถึงแนวทางการให้บริการสุขภาพที่สามารถขยายผลไปยังสถาบันอื่น รองรับยุทธศาสตร์ Health Promoting University & Digital Health Transformation 3.4 สรุปผลลัพธ์และแนวทางพัฒนาในอนาคต โครงการ RSU New Gen x Pride Clinic ได้พิสูจน์ว่าเป็นโครงการที่มีประสิทธิภาพในการดูแลสุขภาพทางเพศของนักศึกษา โดยเฉพาะกลุ่ม LGBTQ+ แนวทางพัฒนาในอนาคต ได้แก่:– ขยายบริการให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการการดูแลเฉพาะทางมากขึ้น เช่น การดูแลสุขภาพ LGBTQ+, การให้คำปรึกษาด้านการใช้ฮอร์โมน– นำ AI และ Chatbot มาเสริมระบบติดตามผลการรักษาและการให้คำแนะนำเบื้องต้น– สร้างระบบเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานสาธารณสุข เพื่อการบริหารจัดการผู้ป่วยและ การเฝ้าระวังโรคที่แม่นยำขึ้น – เพิ่มการประชาสัมพันธ์เชิงรุกผ่านสื่อดิจิทัลและกิจกรรมในมหาวิทยาลัย เพื่อให้โครงการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น 3.5 บทสรุปสุดท้าย: CHECK = ความพร้อมสู่อนาคตของ Digital Sexual Healthการดำเนินโครงการในระยะ "CHECK" แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของมหาวิทยาลัย ในการเป็นต้นแบบของ SmartOrganization และ Digital Health Leader ที่สามารถ – สร้างสรรค์นวัตกรรมบริการสุขภาพทางเพศที่เข้าถึงได้– บูรณาการองค์ความรู้ เทคโนโลยี และความเชี่ยวชาญสหวิชาชีพ– ยกระดับคุณภาพชีวิตของนักศึกษาให้ดียิ่งขึ้นในระยะยาว “RSU New Gen x Pride Clinic: ก้าวสู่คลินิกสุขภาพทางเพศดิจิทัลที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับทุกคน” ข้อเสนอแนะในการดำเนินการในอนาคต หรือการดำเนินการเพื่อสามารถนำไปสู่การเป็น Good Practice          โครงการ RSU New Gen x Pride Clinic ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นแนวทาง การเสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือ (Collaboration), การใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ (Digital Health), การส่งเสริมสุขภาวะนักศึกษา (Student Well-being), และการบริหารโครงการให้เกิดความยั่งยืน (Sustainability Management) แนวทาง “ACT” นี้เน้นไปที่ การดำเนินงานเชิงรุก (Proactive Implementation), การปรับปรุงคุณภาพบริการ (Service Optimization), และการพัฒนาองค์ความรู้ให้สามารถขยายผลได้ (Scalable Knowledge Management) โดยอ้างอิง Key Results (KR) และ OKRs ขององค์กร เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพและความต่อเนื่อง 4.1 ขยายความร่วมมือและเสริมสร้างเครือข่าย (Collaboration and Communication)ตาม KR 3.1.2/1การทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานภายในและภายนอกมหาวิทยาลัยถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้คลินิกสามารถให้บริการได้อย่างครอบคลุม4.1.1 พัฒนาเครือข่ายความร่วมมือทั้งภายในและภายนอก  ภายในมหาวิทยาลัย – จัดทำ โครงการบูรณาการกับคณะและวิทยาลัยต่างๆเพื่อออกแบบกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพทางเพศและการให้ความรู้ด้านสุขภาวะ ภายนอกมหาวิทยาลัย – สร้างความร่วมมือกับโรงพยาบาล สำนักงานสาธารณสุข และNGOs เพื่อพัฒนาระบบส่งต่อผู้ป่วย และเพิ่มศักยภาพในการให้บริการ 4.1.2 ปรับปรุงระบบการสื่อสารภายในทีมสหวิชาชีพ   จัดทำ “คู่มือแนวปฏิบัติ (Standard Operating Procedure – SOP)” สำหรับกระบวนการให้บริการและการจัดเก็บข้อมูล   ใช้ แพลตฟอร์มกลาง (Microsoft Teams, Google Meet, หรือ Intranet ของมหาวิทยาลัย) เพื่อให้บุคลากรสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลและปรึกษาเคสได้อย่างรวดเร็ว 4.1.3 พัฒนา Digital Health Literacy สำหรับบุคลากร

คลินิกสุขภาพทางเพศดิจิทัล: โมเดลการจัดการความรู้เพื่อสร้างสุขภาพที่เข้าถึงได้ (Digital Sexual Health Clinic: A Knowledge Management Model for Accessible Well-being) Read More »

กิจกรรมพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษกับบัณฑิตรุ่นใหม่

รางวัลชมเชย ปีการศึกษา 2567 ยุทธศาสตร์ที่ 4 : KR 4.1.6/1 กิจกรรมพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษกับบัณฑิตรุ่นใหม่ ผู้จัดทำโครงการ​ อ.ธนัชยา เกณฑ์ขุนทด รศ.ดร. บัญญัติ เศรษฐฐิติ อ.ประณต มณีอินทร์ ดร.อาทิตย์ พงษ์ทิพย์ และ อ.ธนกร พรมโคตรค้า วิทยาลัยนวัตกรรมเกษตร และเทคโนโลยีอาหาร หลักการและเหตุผล/ความสำคัญ/ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้​           ในยุคปัจจุบันที่โลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทักษะภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างประเทศ การมีความสารมารถในการใช้ภาษาอังกฤษอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้บัณฑิตสามารถเข้าถึงข้อมูลและความรู้จากแหล่งต่างๆทั่วโลกเสริมสร้างโอกาสในการทำงาน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดแรงงานที่มีความต้องการบุคคลากรที่มีทักษะภาษาสูง นอกจากกนี้การพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษยังสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างสมรรถนะที่จำเป็นสำหรับศตวรรษที่ 21 เป็นโลกไร้พรมแดน องค์ความรู้ด้านต่างๆ ทั่วทุกมุมโลกต่างก็ได้รับการถ่ายทอดแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะการสื่อสารข้ามวัฒนธรรม การคิดวิเคราะห์ และการแก้ปัญหา ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญในยุคดิจิทัล การมีความรู้และความสามารถทางภาษาอังกฤษจะช่วยให้บัณฑิตสามารถปรับตัวและประสบความสำเร็จในสภาพแวดล้อมการทำงานการใช้ชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ภาษาของชาติที่เป็นประเทศมหาอำนาจ เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีน จะได้รับความสนใจเรียนรู้กันทั่วโลก บัณฑิตจึงจำเป็นต้องเรียนรู้ภาษาของชาติที่เป็นประเทศมหาอำนาจและการเรียนรู้ภาษาประจำชาติเพื่อคงความเป็นชาติไว้ หลายประเทศรวมทั้งประเทศไทย จึงกำหนดให้ประชาชนได้ศึกษาเล่าเรียนภาษาอังกฤษเป็น ภาษาต่างประเทศ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องศึกษาภาษาไทยที่เป็นภาษาหลักของชาติไปด้วย เพื่อใช้สื่อสารกับคนในประเทศเดียวกัน และใช้ภาษาอังกฤษไว้ใช้สื่อสารกับคนต่างประเทศ เพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร องค์ความรู้วัฒนธรรมสังคม และเศรษฐกิจที่เปิดเสรีมากขึ้น มีผลให้สถาบันการศึกษาต่างๆเกิดการตื่นตัวในการพัฒนาทักษะภาษาต่างประเทศหลากหลายภาษา เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาเกาหลีภาษาญี่ปุ่น แต่ภาษาอังกฤษยังคง เป็นที่ยอมรับและใช้เป็นภาษากลางของโลกสำหรับการติดต่อสื่อสารกับนานาประเทศเพื่อดำเนินกิจกรรมประเภทต่างๆ ทั้งในด้านการศึกษาการทำธุรกิจการลงทุน การท่องเที่ยวและการใช้ในชีวิตประจำวัน รวมทั้งยัง เป็นภาษาที่ใช้ในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศอีกด้วย แต่จากผลการทดสอบทักษะการใช้ภาษาอังกฤษระดับชาติ พบว่า ทักษะการใช้ภาษาอังกฤษของนักศึกษาไทยยังอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเทียบกับประเทศอื่น การหาวิธีการ พัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของนักศึกษาไทยเพื่อให้มีคุณภาพทัดเทียมชาติอื่นๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน เพื่อรองรับกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกทั้งในปัจจุบันและอนาคต จุดมุ่งหมายในการจัดการเรียนรู้ภาษาทุกภาษา ย่อมต้องการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารทั้ง 4 ทักษะ คือ ทักษะการฟัง การพูด การอ่านและการเขียน ในการเรียนการสอน ภาษาอังกฤษก็เช่นเดียวกัน ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ในฐานะภาษาต่างประเทศ ซึ่งการเรียนการภาษาอังกฤษในฐานะภาษาต่างประเทศหรือใน ฐานะภาษาที่สองพบว่า ผู้เรียนภาษามักจะมีปัญหาในทักษะทางภาษา 4 ทักษะในลักษณะต่างๆกัน ปัญหาของผู้เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองหรือภาษาต่างประเทศนั้น ผู้เรียนจะมีปัญหาในการฟังมากที่สุด อาจเป็นเพราะผู้เรียนเหล่านั้นมีโอกาสพบกับเจ้าของภาษาน้อย ดังนั้นพวกเขาจึงประสบปัญหาในการฟังบรรยายของเจ้าของภาษา ทักษะการฟังไม่ได้รับความสนใจเท่าเทียมกับทักษะ อื่น ๆ ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนเกิดความไม่กล้าแสดงออกและทำให้หมดกำลังใจ การที่ผู้เรียนที่ไม่สามารถฟังภาษาต่างประเทศหรือ ภาษาที่สองได้เข้าใจ ถึงแม้จะได้ผ่านการเรียนวิชาการสนทนามาแล้วทั้งในชั้นระดับชั้นประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษาหรือระดับอุดมศึกษา อาจเนื่องมาจากปัญหาที่เกี่ยวข้อง 3 ประการ คือ 1) ความยากลำบากในการจดจำรายละเอียดที่สำคัญของข้อความที่มีความยาวมาก ๆ 2) ความเร็วในการพูดที่มีข้อความที่ไม่ชัดเจน 3) ความไม่คุ้นเคยกับคำศัพท์ที่พูดหรือข้อความที่ได้ฟัง           ภาษาอังกฤษมีบทบาทต่อการใช้ชีวิตของคนไทย เพราะมีผลต่อการเรียนและการทำงานเป็นอย่างมาก ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษที่ดีจะช่วยทำให้สามารถสืบค้นข้อมูลที่มีประโยชน์ทั่วโลกได้มากขึ้น และช่วยเพิ่มโอกาส ในการได้งานที่ดีจึงเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทั้งการเรียนและการทำงานในอนาคตได้ อย่างไรก็ตาม นักศึกษาไทย ยังคงมีปัญหาเกี่ยวกับการใช้ภาษาอังกฤษ เนื่องมาจากไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน จึงทำให้ขาดความตระหนักถึงความสำคัญของการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ประกอบกับทางมหาวิทยาลัยรังสิตได้เล็งเห็นความสำคัญของภาษาอังกฤษ จึงได้จัดให้มีการสอบวัดระดับความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นการสร้างมาตรฐานภาษาอังกฤษเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายยกระดับภาษาอังกฤษของระดับอุดมศึกษา ทั้งยังเป็นการเพิ่มความเป็นสากลให้แก่นักศึกษาและมหาวิทยาลัยรังสิต          ดังนั้น ทางคณะนวัตกรรมเกษตรได้จัดกิจกรรมการพัฒนาภาษาอังกฤษขึ้น ทั้งสิ้น 3 กิจกรรม ประกอบด้วย การสื่อสารภาษาอังกฤษ เบื้องต้น (Basic English for Communication) ภาษาอังกฤษเพื่อการนำเสนอและสัมมนา (English for Presentation and Seminar) และการเขียน resume ภาษาอังกฤษ (English Resume Writing) เพื่อฝึกฝนทักษะ ส่งเสริม และทบทวนการใช้ภาษาอังกฤษในด้านต่างๆ ของนักศึกษา อีกทั้งเป็นการเตรียมความพร้อมให้นักศึกษาก่อนจบการศึกษาอีกด้วย โดยกิจกรรมดังกล่าว ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปัจจุบัน ความรู้ที่เป็นประเด็นสาคัญที่นามาใช้: ทฤษฎีการเรียนรู้จากประสบการณ์ หรือ Experiential Learning Theory (ELT) คือ ‘ทฤษฎีการเรียนรู้จากประสบการณ์’ บันไดวนการเรียนรู้จากประสบการณ์ (experiential learning spiral ซึ่งประกอบไปด้วย Experiencing เป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนลงมือทำกิจกรรมผ่านประสบการณ์ตรงทำให้เกิดการเรียนรู้ที่เน้นความรู้สึกจากประสบการณ์จริง การลงมือทำ เน้นการเรียนรู้ที่นักศึกษาได้คิดเองทำเอง Reflecting เป็นขั้นตอนการสะท้อนความคิดจากประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรม โดยที่ผู้เรียนนำข้อมูลและประสบการณ์ที่ได้มาทบทวน คิดไตร่ตรอง ทำความเข้าใจในสิ่งที่ได้จากการสังเกต และการจดบันทึก Thinking เป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนสรุปผลที่ได้จากการสะท้อนความคิด จากการสังเกตแล้วคิดไตร่ตรองจนสร้างเป็นแนวคิดของตนเอง Acting เป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนนำแนวคิดที่ตนเองสร้างไปทดลองปฏิบัติในสถานการณ์ต่าง ๆ ซึ่งอาจนำไปใช้ในสถานการณ์ใหม่จนทำให้เกิดการหมุนเวียนเป็นวงจรการเรียนรู้ใหม่ ตามภาพที่ 1  ภาพที่ 1 แสดง วงจรการเรียนรู้จากประสบการณ์ Experiential Learning Theory (ELT)           การเรียนรู้จากประสบการณ์ Experiential Learning Theory (ELT) เป็นการลงมือทำจากความรู้ใหม่ที่ได้ แล้วเรียนรู้ว่าสิ่งไหนควรทำ สิ่งไหนควรปรับปรุง จากนั้นจะกลับเข้าสู่ขั้นตอนที่ 1 อีกครั้ง เป็นวงจรเช่นนี้ไปเรื่อยๆ“เพราะโหมดการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นซ้ำ จะขยายความเข้าใจของผู้เรียนได้ ผู้เรียนจะค้นพบว่าในทางปฏิบัติ จะเจอปัญหาอะไร และพบการประยุกต์ความรู้ใหม่ที่ทำได้หลากหลาย โดยการนำสิ่งที่เคยเรียนรู้ในสถานการณ์หนึ่งมาใช้ในอีกสถานการณ์หนึ่ง แสดงให้เห็นถึงการดำเนินการที่วนซ้ำอย่างต่อเนื่องของวงจรการเรียนรู้จากประสบการณ์ (ได้แก่ experiencing, reflecting, thinking, และ acting) วงจรนี้ไม่ใช่วงกลมแต่เป็นบันไดวน เนื่องจากการเดินทางผ่านวงจรแต่ละครั้งจะกลับไปสู่ประสบการณ์ด้วยความเข้าใจใหม่ที่ได้จาก experiencing, reflecting, thinking, และ acting ดังนั้น บันไดวนการเรียนรู้จากประสบการณ์จะช่วยอธิบายว่าการเรียนรู้จากประสบการณ์นำไปสู่การพัฒนาได้อย่างไร ซึ่งถ้าหากในอนาคต ผู้เรียนได้เข้าไปรับประสบการณ์ใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามาอีก ก็ให้หมุนวงจรกลับไปที่ขั้นแรก และทำต่อไปจนขั้นที่ 4 อีกครั้ง เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรง ประเภทความรู้และที่มาความรู้ ความรู้แบบชัดแจ้ง (Explicit Knowledge)อื่น ๆ (โปรดระบุ) เจ้าของความรู้ นำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนามหาวิทยาลัยรังสิต พ.ศ. 2565-2569 มาตีความสู่การดำเนินงานความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวคน (Tacit Knowledge)อื่น ๆ (ระบุ) เจ้าของความรู้ถอดความรู้กระบวนการจัดทาโครงการ หลังจากที่ได้ดาเนินการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2557 วิธีการดำเนินการ ขั้นตอนที่ 1 ขั้นเตรียมการ คณะอาจารย์เจ้าหน้าที่และคณะกรรมการสโมสรนักศึกษาฯ ผู้รับผิดชอบ ประชุมเพื่อ วางแผนกำหนดการดำเนินงาน วางแผนแนวทางในการจัดกิจกรรม และจัดทำแผนปฏิบัติงาน (Action Plan) ขั้นตอนที่ 2 ขั้นดำเนินงาน เขียนแผนโครงการฯ เพื่อขออนุมัติจัดทำ มอบหมายหน้าที่กับคณะทำงาน ในการจัดทำโครงการฯ เตรียมแผนและประชาสัมพันธ์โครงการฯ ดำเนินงานการประสานงานระหว่างคณะทำงาน เพื่อเตรียมจัดกิจกรรมโครงการฯ จัดกิจกรรมตามแผนปฏิบัติงาน (Action Plan) ที่กำหนด5.1 การสื่อสารภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน (English Communication in Everyday Life)5.2 ภาษาอังกฤษเพื่อการนำเสนอ (English for Presentations)5.3 การเขียน resume ภาษาอังกฤษ (English Resume Writing) สรุปผล ประเมินผล และรายงานผลการดำเนินโครงการ ขั้นตอนการดำเนินงานกิจกรรมพัฒนาทักษาษาอังกฤษ ตาม วงจรการเรียนรู้จากประสบการณ์ Experiential Learning Theory (ELT)ขั้นที่ 1 Experiencing คือประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรมเป็นการพูดเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักศึกษาที่มีความรู้เกี่ยวกับวิชาชีพทางด้านนวัตกรรมเกษตร จึงได้กำหนดหัวข้อเกี่ยวกับการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับพืชสมุนไพร ในรายวิชา AIL327 โดยการทำยาดมสมุนไพร โดยอาจารย์แบ่งนักศึกษา ออกเป็นกลุ่ม คละความสามารถ จากนั้นอาจารย์จะเป็นจะเริ่มสอบถามนักศึกษาว่ารู้จักสมุนไพรชนิดใดบ้าง แต่ละชนิดมีลักษณะอย่างไร มีประโยชน์หรือสรรพคุณอย่างไร จากนั้น จะชักชวนให้นักศึกษา ทำการโคลนผลิตยาดมสมุนไพรโดยให้นักศึกษา เลือกส่วนผสมสมุนไพรที่นักศึกษาสนใจ พร้อมอธิบายเครื่องมืออุปกรณ์และส่วนผสมที่จำเป็นต้องใช้ในการทำยาดมสมุนไพร ขั้นตอนการทำ ในการใช้ส่วนประกอบของยาดมสมุนไพร ที่ใช้ในการฝึก ได้แก่ 1. สมุนไพรแห้งที่มีกลิ่นหอม เช่น กระวาน, กานพล, โป้ยกั๊ก, พริกไทยดำ, ลูกผักชี,อบเชย2. สารให้กลิ่นหอม ได้แก่ การบูร, เมนทอล, พิมเสน, น้ำมันยูคาลิปตัส3. ขวดสำหรับใส่ยาดมสมุนไพรอาจารย์เป็นผู้สังเกตพฤติกรรมของนักศึกษาในขณะส่งตัวแทนมารับอุปกรณ์ตลอดจนการวางแผนและลงมือทำ การชั่งตวงสูตรส่วนผสม เป็นการพัฒนาศัพท์เทคนิคทางด้านการเกษตร ในรายวิชา AIL327โดยในขั้นแรก อาจารย์เป็นผู้กำหนดสูตรส่วนผสม ดังนี้1.ตวงพิมเสนและการบูร อย่างละ 1 ช้อนชา2. ตวงเมนทอล 2 ช้อนชา ใส่ในขวดแก้วปากกว้างที่มีฝาปิด แล้วคนให้เข้ากัน จนกลายเป็นสารละลาย3. เทน้ำมันยูคาลิปตัส 3 มล. ลงไปผสมให้เข้ากัน ปิดฝาทิ้งไว้4. นำกระวาน 1 ผล กานพลู 5 ดอก โป๊ยกั๊ก 1 ผล อบเชย 1 ช้อนชา ลูกผักชี พริกไทยดำ อย่างละ 1 ช้อนชา ใส่ชาผสม ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน5. ตักสมุนไพรในข้อ 4 ใส่ลงในขวดสำหรับใส่ยาดม แล้วเติมสารละลายในข้อ 3 ลงไปพอประมาณ แล้วปิดฝา เสร็จขั้นตอนพร้อมนำไปใช้ดมได้ ขั้นที่ 2 Reflecting คือการสะท้อนคิดจากการสังเกตโดยการฝึกให้นักศึกษาทุกคนอภิปรายผลที่ได้และความรู้สึกจากการลงมือทำยาดมสมุนไพรด้วยตนเองในครั้งแร ซึ่งอาจารย์จะคอยช่วยเสริมประเด็นในการอภิปราย ในประเด็นต่างๆ เช่น คำนึงถึงความสะอาดในการทำหรือไม่ อย่างไร เทคนิคการชั่งตวงส่วนผสม ลำดับขั้นตอนการเติมส่วนผสม ความพร้อมในการเตรียมอุปกรณ์จากนั้นตัวแทนแต่ละกลุ่มออกมาสรุปถึง “การทำยาดมสมุนไพร” ประเมินว่านักศึกษามีความรู้สึกกับผลงานยาดมสมุนไพรฝีมือหรือผลงานของตนเองอย่างไร มีจุดบกพร่องหรือมีข้อผิดพลาดเกิดจากอะไร เพื่อให้นักศึกษาบันทึกผลที่เกิดขึ้น และสาเหตุของการเกิด เพื่อจะได้หาแนวทางแก้ไขในขั้นตอนต่อไป ขั้นที่ 3 Thinking การสร้างแนวคิดที่เป็นนามธรรมหลังจากที่แต่ละกลุ่มทำยาดมสมุนไพรเสร็จ ให้แต่ละกลุ่มช่วยกันสรุปวิธีการทำ และอัตราส่วนของสารผสม (พิมเสนและการบูร อย่างละ 1 ช้อนชา เมนทอล 2 ช้อนชา น้ำมันยูคาลิปตัส 3 มล. กระวาน 1 ผล กานพลู 5 ดอก โป๊ยกั๊ก 1 ผล อบเชย 1 ช้อนชา ลูกผักชี พริกไทยดำ อย่างละ 1 ช้อนชา)โดยให้นักศึกษา เขียน Flow chart ตามขั้นตอนของแต่ละกลุ่ม จากนั้นอาจารย์ประเมินความสามารถของนักศึกษาจากแบบบันทึกวิธีการทำยาหม่องสมุนไพร ขั้นที่ 4 Acting คือการทดลองปฏิบัตินักศึกษา ในแต่ละกลุ่มลงมือทำยาหม่องสมุไพรอีกรอบตามวิธีการที่ได้จากแนวคิดของกลุ่ม โดยกำหนดให้ทุกกลุ่มต้องเปลี่ยนสูตรส่วนผสมห้ามซ้ำกับรอบแรก จากนั้นให้นักศึกษาเสนอสูตรการทำยาหม่องสมุนไพรจากวัตถุดิบส่วนผสมที่มี หรือวัตถุดิบส่วนผสมอื่นที่นักศึกษาคิดว่าจะเป็นส่วนผสมที่เป็นเอกลักษณ์ของยาดมสมุนไพร อาจเป็นพืชสมุนไพรที่ปลูกมากในพื้นที่ หรือเป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่มีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละกลุ่ม โดยใช้อุปกรณ์ ส่วนผสมเดิม โดยในขั้นตอนนี้ อาจารย์ใช้วิธีการสังเกตุพฤติกรรมของนักศึกษา และประเมินคุณภาพของยาดมสมุนไพรที่นักศึกษาลงมือทำ ว่ามีการเปลี่ยนแปลงจากรอบแรกอย่างไร นักศึกษาได้เรียนรู้ข้อผิดพลาดจากการทำครั้งแรกตรงจุดไหนบ้างและนำมาปรับปรุงในขั้นตอนนี้อย่างไร เพื่อทำให้คุรภาพของยาดมสมุนไพรมีคุณภาพดีขึ้น เช่นหอมขึ้น ไม่แฉะ ไม่หกเลอะเทอะ ใช้ง่ายและสะดวก 2.Prototype testing in an operational environment – DO  ผลการดำเนินการการนำไปใช้หรือการลงมือปฏิบัติจริงอุปสรรคหรือปัญหาในการทำงาน2.1 การพัฒนาทักษะด้าน การสื่อสารภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน (English Communication in Everyday Life)จากการดำเนินโครงการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ ผ่านกิจกรรมหลัก 3 กิจกรรม โดยเชิญ ผศ.ดร.พนิตนาฏ ชูฤกษ์ เป็นวิทยากรอบรม ผลการดำเนินงาน ทักษะด้าน การสื่อสารภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน (English Communication in Everyday Life) ผ่านกิจกรรมกลุ่ม การทำยาดมสมุนไพร โดยการดำเนินงานดังกล่าวเป็นการพัฒนาทักษะ ด้านการสื่อสาร นักศึกษาสามารถอธิบายส่วนผสม อุปกรณ์ ลำดับขั้นตอน การทำยาดมสมุนไพรได้ (ภาพที่ 2) ภาพที่ 2 หลักฐานแสดงกิจกรรมกลุ่มการทำยาดมสมุนไพร ในโครงการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ 2.2 การพัฒนาทักษะการเขียน resume ภาษาอังกฤษ (English Resume Writing) เป็นการพัฒนาทักษะด้านการเขียนภาษาอังกฤษ โดยนักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการทุกคน ได้ฝึกเขียน Resume ภาษาอังกฤษ ภาพที่ 3 ตัวอย่างหลักฐานการเขียน Resume ภาษาอังกฤษ 2.3 ทักษะภาษาอังกฤษเพื่อการนำเสนอ (English for Presentations)วันที่ 1-3 กุมภาพันธ์ 2024 นักศึกษาของคณะนวัตกรรมเกษตร ได้เข้าร่วมนำเสนอผลงานวิจัยในระดับนานาชาติที่ประเทศอินเดีย ในหัวข้อ In vitro biocontrol potential of natural substance combination against microbial plant diseases ภาพที่ 4 ภาพที่ 4 หลักฐานแสดงการนำเสนอผลงานวิจัยเป็นภาษาอังกฤษ 2.4 มีการทำ MOU กับมหาวิทยาลัยกุ้ยโจว สาธารณณัฐประชาชนจีนโดยในปี 2024 ทางหลักสูตรได้ทำข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) กับ Guizhou University for Nationalities ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 1951, โดยสังกัดรัฐบาลของมณฑลกุ้ยโจว,เป็นสถาบันการศึกษาเก่าแก่ที่สำคัญแห่งแรกของมณฑลกุ้ยโจว,รัฐบาลของมณฑลกุ้ยโจวและคณะกรรมการกิจการพลเรือนแห่งชาติร่วมกันสร้างขึ้น,และมหาวิทยาลัยกุ้ยโจ้วเป็นมหาวิทยาลัยที่มีคณะเกษตรติดอันดับต้นๆของประเทศจีนโดยในความร่วมมือดังกล่าว ทางมหาวิทยาลัยกุ้ยโจว ได้มีการมานำเสนอผลงานวิจัยด้านโรคที่เกิดจากเชื้อราในพริก และการเพาะเห็ดเศรษฐกิจ โดย Prof. Yong Wang ให้กับนักศึกษาคณะนวัตกรรมเกษตร และ ในช่วงระหว่าง วันที่ 3 พฤษภาคม 2567 – 30 กรกฎาคม 2567 ทางหลักสูตรได้มีการส่งนักศึกษาของคณะ จำนวน 7 คน (ภาพที่ 5) ไปฝึกประสบการณ์การเรียนรู้ ณ มหาวิทยาลัยกุ้ยโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยลักษณะงานที่นักศึกษาได้รับมอบหมาย อาทิ การเพาะเลี้ยงเชื้อ การคัดแยกเชื้อ การทดสอบกิจกรรมการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย การสกัดสารออกฤทธิ์สำคัญของพืชสมุนไพร ซึ่งนักศึกษาของเราได้ค้นพบเชื้อราตัวใหม่ที่เป็นเชื้อราสาเหตุโรคในพริกที่ไม่เคยมีการระบาดและตรวจพบมาก่อนใน จีนชื่อเชื้อ Stagonosporopsis pogostemonis มีลักษณะสปอร์ ดังแสดงในภาพที่ 6 ภาพที่ 5 นักศึกษาคณะนวัตกรรมเกษตรที่ไปฝึกงานที่ มหาวิทยาลัยกุ้ยโจว ภาพที่ 6 แสดงลักษณะสปอร์ของเชื้อ Stagonosporopsis pogostemonis ในปี 2567 Assoc. Prof. Dr. Xiang Yu Zeng. จาก Department of Plant Pathology Guizhou University มาบรรยายเกี่ยวกับ “เทคนิคการจำแนกสสปีชีส์เชื้อราสาเหตุโรคพืชด้วย AI” ภาพที่ 7 ภาพที่ 7 หลักฐานแสดงรายชื่อการร่วมกิจกรรมพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของนักศึกษาไทยและนักศึกษาต่างชาติ 2.5 มีการจัดกิจกรรมที่มีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ผ่านการปฏิบัติระหว่างนักศึกษาไทยและนักศึกษาต่างชาติจากการจัดโครงการพัฒนาทักษะภาษอังกฤษให้กับนักศึกษาของวิทยาลัยนวัตกรรมเกษตร มีนักศึกษาของทั้ง 2 คณะ เข้าร่วม นอกจากนี้ยังมีนักศึกษาจากวิทยาลัยนานาชาติเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ด้วย (ภาพที่ 8) ภาพที่ 7 หลักฐานแสดงรายชื่อการร่วมกิจกรรมพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของนักศึกษาไทยและนักศึกษาต่างชาติ 3. Proven through successful mission operation, Objectives and Key Results for Knowledge Management – CHECKการตรวจสอบผลการดำเนินการ การนำเสนอประสบการณ์การนำไปใช้ สรุปและอภิปรายผล บทสรุปความรู้หรือความรู้ที่ค้นพบใหม่           มหาวิทยาลัยรังสิต โดยสถาบันภาษาอังกฤษ ได้จัดให้มีการสอบวัดระดับความรู้ภาษาอังกฤษให้กับนักศึกษาเป็นประจำทุกปี ซึ่งในแต่ละปี มีนักศึกษาของคณะนวัตกรรมเกษตรเข้ารับการทดสอบ RSU2 -Test มีผลการทดสอบผ่านเกณฑ์มาตรฐาน ในระดับ A2 กับ B2 ภาพที่ 5 ภาพที่ 5 แสดงคะแนนทดสอบมาตรฐานภาษาอังกฤษ RSU2-Test ของคณะนวัตกรรมเกษตร ในแต่ละปี ข้อเสนอแนะในการดำเนินการในอนาคต หรือการดำเนินการเพื่อสามารถนำไปสู่การเป็น Good Practice           ในส่วนของวิทยาลัยนวัตกรรมเกษตร ซึ่งมี 3 หลักสูตร และทั้ง 3 หลักสูตรได้มีการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ ให้กับนักศึกษา คณะนวัตกรรมเกษตร นอกเหนือจากการจัดโครงการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษแล้ว ยังมีโครงการพัฒนาทักษะภาจีนและภาษญี่ปุ่น เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับบัณฑิต ในการไปฝึกงานที่จีนและญี่ปุ่น คณะเทคโนโลยีอาหาร มีโครงการแลกเปลี่ยนทางวิชาการกับ Toyo College of Food Technology เป็นประจำทุกปี ส่วนการจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นในนามวิทยาลัย ให้นักศึกษาของทั้ง 3 หลักสูตรได้เข้าร่วม แต่ถ้าจะให้ประสบความสำเร็จมากกว่านี้ ผู้ถ่ายทอดบทเรียนขอเสนอ ควรสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน เช่น ควรจัดให้มีพื้นที่ หรือห้อง ที่มีสื่อหรือกิจกรรมการเรียนการสอนที่น่าสนใจ แนะนำแอปพลิเคชั่นหรือเว็บไซด์ที่ช่วยพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ เพื่อให้นักศึกษาสามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง เพื่อแก้ปัญหาทักษะการฟัง ควรมีการประชาสัมพันธ์โครงการผ่านสื่อโซเชียล เพื่อให้มีอัตราส่วนของนักศึกษานานาชาติที่สนใจได้มีโอกาสเข้าร่วมเรียนรู้ให้มากกว่านี้ และเป็นการเพิ่มโอกาสให้นักศึกษาไทยได้ฝึกทักษะภาษาอังกฤษครบทั้ง 3 ด้าน

กิจกรรมพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษกับบัณฑิตรุ่นใหม่ Read More »

WORLD ANTI-CORRUPTION CONFERENCE

รางวัลชมเชย ปีการศึกษา 2567 ยุทธศาสตร์ที่ 4 : KR 4.1.6/1 WORLD ANTI-CORRUPTION CONFERENCE ผู้จัดทำโครงการ​ อ.เชฎฐ คำวรรณ และ นายกิตติศักดิ์ แก้วใส คณะนิติศาสตร์ หลักการและเหตุผล/ความสำคัญ/ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้​           สถาบันต่อต้านการทุจริต คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต มีบทบาทสำคัญในการศึกษา วิจัย และพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต รวมถึงการสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อส่งเสริมความโปร่งใสและธรรมาภิบาลในสังคมไทย พบว่าในประเทศไทยเป็นปัญหาที่หยั่งรากลึกและส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศในหลายด้าน สาเหตุของการทุจริตมีความซับซ้อนและเกี่ยวพันกับปัจจัยต่างๆ เช่น: วัฒนธรรมอุปถัมภ์: การให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ส่วนตัวและพวกพ้องมากกว่าหลักการและความถูกต้อง                                                                                                    ระบบราชการที่ซับซ้อน: ขั้นตอนการดำเนินงานที่ยุ่งยากและขาดความโปร่งใสเปิดโอกาสให้เกิดการเรียกรับผลประโยชน์                                                                                                การบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอ: การขาดประสิทธิภาพในการตรวจสอบและลงโทษผู้กระทำผิด             ค่านิยมที่ผิดเพี้ยน: การยอมรับการทุจริตในวงกว้างและการขาดจิตสำนึกสาธารณะ                         ผลกระทบของการทุจริต: เศรษฐกิจ: ทำให้การลงทุนลดลง, การจัดสรรทรัพยากรไม่เป็นธรรม, และการเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัว สังคม: สร้างความเหลื่อมล้ำ, บ่อนทำลายความเชื่อมั่นในสถาบันต่างๆ, และส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน การเมือง: ทำให้การบริหารประเทศขาดประสิทธิภาพ, บั่นทอนความเป็นประชาธิปไตย, และสร้างความไม่มั่นคงทางการเมือง ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้ เสริมสร้างความโปร่งใส: เปิดเผยข้อมูลภาครัฐให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย                                       พัฒนาระบบราชการ: ลดขั้นตอนที่ซับซ้อนและนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ                     บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด: เพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบและลงโทษผู้กระทำผิด                   ปลูกฝังค่านิยมที่ถูกต้อง: ส่งเสริมจิตสำนึกสาธารณะและสร้างวัฒนธรรมที่ไม่ยอมรับการทุจริต  ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน: เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบและเฝ้าระวังการทุจริต ประเภทความรู้และที่มาความรู้ ความรู้แบบชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) อื่น ๆ (โปรดระบุ)      https://sabaideethailand.com/2024/10/22/rsu-108/                  https://seapublicpolicy.org/work/thailandr2r/  https://www.youtube.com/watch?v=lszQYdbxlPM    https://www.biztosuccess.com/archives/115617             วิธีการดำเนินการ           มหาวิทยาลัยรังสิตได้ร่วมกับ ISI (International Sociological Association) จัดการประชุม World Anti-Corruption Conference 2024 ในวันที่ 22 ตุลาคม 2567 จริงค่ะ การประชุมนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมความตระหนักรู้และกระตุ้นการอภิปรายเกี่ยวกับปัญหาการทุจริตในระดับโลก 2.Prototype testing in an operational environment – DO  ผลการดำเนินการ การนำไปใช้ หรือการลงมือปฏิบัติจริง อุปสรรคหรือปัญหาในการทำงาน บทสรุปประเด็นสำคัญ: สรุปประเด็นหลักที่ถูกนำเสนอและอภิปรายในการประชุม                          ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย: ข้อเสนอแนะที่ได้จากการประชุมเพื่อนำไปปรับปรุงนโยบายและแนวทางการต่อต้านการทุจริต ความร่วมมือและเครือข่าย: การสร้างความร่วมมือและเครือข่ายระหว่างผู้เข้าร่วมประชุมจากหน่วยงานและองค์กรต่างๆ การเผยแพร่ความรู้: การเผยแพร่บทความวิจัย, รายงานการประชุม, และสื่ออื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประชุม 3. Proven through successful mission operation, Objectives and Key Results for Knowledge Management – CHECK การตรวจสอบผลการดำเนินการ การนำเสนอประสบการณ์การนำไปใช้ สรุปและอภิปรายผล บทสรุปความรู้หรือความรู้ที่ค้นพบใหม่         ด้วยกิจกรรมที่มหาวิทยาลัยรังสิต ร่วมกับ International Strategy Institute (ISI) หรือสถาบันกลยุทธ์ระหว่างประเทศ จัดงานเสวนาวิชาการต่อต้านคอร์รัปชันระดับโลก 2024  (World Anti-Corruption Conference 2024 : “Transforming Trust, Eradicate Corruption : A Global Unity for Integrity”) ภายในงาน ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีกิตติคุณผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยรังสิตและอดีตประธานรัฐสภา คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ศาสตราจารย์พิเศษวิชา มหาคุณ คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต Mr. CY. Cheah ประธานสถาบันกลยุทธ์ระหว่างประเทศ และ Datuk Seri Shamshun Baharin Mohd Jamil ผู้อำนวยการทั่วไปของศูนย์ต่อต้านอาชญากรรมทางการเงินแห่งชาติ ให้เกียรติร่วมงาน จัดขึ้น ณ ห้องประชุม 1-301 อาคารอาทิตย์ อุไรรัตน์ (อาคาร 1) มหาวิทยาลัยรังสิต                                                                   นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการเสวนาวิชาการในหัวข้อต่าง ๆ อาทิ “EMPOWERING SMES IN THE AGE OF GLOBALISATION: STRATEGIES TO COMBAT CORRUPTION” / “CROSS-BORDER ANTI-CORRUPTION EFFORTS IN ASIA PACIFIC: ENHANCING REGIONAL COOPERATION”/ “STRENGTHENING ANTI-CORRUPTION LEGISLATION AND JUDICIAL INDEPENDENCE: BUILDING ROBUST LEGAL FRAMEWORK” และ “LEVERAGING TECHNOLOGICAL SOLUTIONS TO DETECT AND PREVENT CORRUPTION” ข้อเสนอแนะในการดำเนินการในอนาคต หรือการดำเนินการเพื่อสามารถนำไปสู่การเป็น Good Practice            การพัฒนา World Anti-Corruption Conference ควรเน้นที่การสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาการทุจริต โดยสามารถใช้แพลตฟอร์มออนไลน์และการประชุมแบบมีส่วนร่วม รวมถึงการสนับสนุนจากองค์กรต่างๆ เช่น UN และธนาคารโลก เพื่อปรับปรุงโครงสร้างและกลยุทธ์ในการต่อต้านการทุจริต นอกจากนี้ควรมีการสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของความโปร่งใสและความรับผิดชอบในปฏิบัติการทั่วโลก

WORLD ANTI-CORRUPTION CONFERENCE Read More »

กิจกรรมเสริมสร้างและพัฒนาความเป็นสากลผ่านโครงการการทูตสู่ชุมชน

รางวัลชมเชย ปีการศึกษา 2567 ยุทธศาสตร์ที่ 4 : KRไม่ระบุ (4.1.6/1) กิจกรรมเสริมสร้างและพัฒนาความเป็นสากลผ่านโครงการการทูตสู่ชุมชน ผู้จัดทำโครงการ​ ดร.จิระโรจน์ มะหมัดกุล สถาบันการทูตและการต่างประเทศ หลักการและเหตุผล/ความสำคัญ/ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้​            โครงการ “การทูตสู่ชุมชน” มีวัตถุประสงค์หลักในการเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับอาเซียน (ASEAN) และพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษให้กับนักเรียนโรงเรียนวัดนาวง รวมถึงให้นักศึกษาสถาบันการทูตและการต่างประเทศ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้มีโอกาสถ่ายทอดความรู้ผ่านกิจกรรมนอกห้องเรียน ผ่านการปฏิสัมพันธ์และการทำงานร่วมกันระหว่างนักศึกษาไทยและนักศึกษาต่างชาติ อย่างไรก็ตาม ประเด็นปัญหาที่พบ คือ นักเรียนระดับประถมศึกษามีทักษะภาษาอังกฤษที่จำกัด ทำให้ต้องออกแบบกิจกรรมที่เข้าถึงง่ายและสนุกสนาน ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้  ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับอาเซียนและประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทักษะภาษาอังกฤษทั้งด้านการฟัง พูด อ่าน และเขียน วิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงปฏิบัติการให้กับนักเรียนระดับประถมศึกษา ทักษะการทำงานเป็นทีมข้ามวัฒนธรรมระหว่างนักศึกษาไทยและนักศึกษาต่างชาติ ประเภทความรู้และที่มาความรู้ ความรู้แบบชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) อื่น ๆ (โปรดระบุ) ความรู้จากหลักสูตร IRD101 Southeast Asia’s Politics, Economy and Culture และความรู้จากรายวิชา IRD331 ASEAN Studies ความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวคน (Tacit Knowledge)  เจ้าของความรู้/สังกัด อาจารย์และนักศึกษาคณะการทูตและการต่างประเทศ อื่น ๆ (ระบุ) ประสบการณ์ของนักศึกษาและอาจารย์ที่ดำเนินโครงการ การถ่ายทอดความรู้จากนักศึกษาไปสู่นักเรียน การทำงานเป็นทีมระหว่างนักศึกษาไทยและนักศึกษาต่างชาติ วิธีการดำเนินการ นักศึกษาแบ่งออกเป็น 6 กลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มจะประกอบด้วยนักศึกษาไทยและนักศึกษาต่างชาติ วางแผนกิจกรรมล่วงหน้า โดยนักศึกษาไทยและต่างชาติร่วมกันกำหนดแนวทางการสอนและลำดับการดำเนินกิจกรรม จัดกิจกรรมที่โรงเรียนวัดนาวง โดยแบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มและเข้าร่วมกิจกรรมฐานความรู้ที่เกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษและอาเซียน ใช้กิจกรรมที่เน้นการมีส่วนร่วมของนักเรียน เช่น เกมการฟัง พูด อ่าน เขียน และเกมทายคำศัพท์ นักศึกษาทำงานร่วมกันในการดูแลฐานกิจกรรมและให้คำแนะนำนักเรียน หลังกิจกรรม นักศึกษาไทยและนักศึกษาต่างชาติร่วมกันประเมินผลและสะท้อนความคิดเห็นเกี่ยวกับการทำงานเป็นทีม จัดการประเมินผลความพึงพอใจและการเรียนรู้ของนักเรียนหลังจบกิจกรรม  2.Prototype testing in an operational environment – DO  ผลการดำเนินการ การนำไปใช้ หรือการลงมือปฏิบัติจริง อุปสรรคหรือปัญหาในการทำงาน นักเรียนโรงเรียนวัดนาวงได้เข้าร่วมกิจกรรมทั้งหมด 6 ฐาน ได้แก่ ฐานการฟัง (Listening), ฐานการพูด (Speaking), ฐานการอ่าน (Reading), ฐานการเขียน (Writing), ฐานคำศัพท์ (Vocabulary) และฐานความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ ASEAN นักศึกษาสถาบันการทูตฯ ได้ฝึกฝนการถ่ายทอดความรู้ และเสริมสร้างประสบการณ์การทำงานร่วมกันในบริบทระหว่างประเทศ นักศึกษาไทยและต่างชาติได้ทำงานเป็นทีมในการจัดกิจกรรมร่วมกัน ตั้งแต่การวางแผน การดำเนินงาน และการประเมินผล นักเรียนสามารถมีส่วนร่วมกับกิจกรรมได้เป็นอย่างดี และเกิดความสนใจต่อการเรียนรู้ภาษาอังกฤษมากขึ้น กิจกรรมบางอย่างซับซ้อนเกินไปสำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษา จำเป็นต้องปรับให้เหมาะสมมากขึ้น การสื่อสารระหว่างนักศึกษาไทยและนักศึกษาต่างชาติในบางกรณีต้องใช้เวลาปรับตัว   3. Proven through successful mission operation, Objectives and Key Results for Knowledge Management – CHECK ผลการประเมินโครงการจากนักเรียนมีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจ 65 จาก 5.00 แสดงให้เห็นว่ากิจกรรมได้รับการตอบรับที่ดี นักเรียนให้คะแนนความสำคัญของโครงการ 79 และเห็นว่าควรจัดโครงการนี้ในปีต่อๆ ไป (4.92) นักเรียนร.ร.วัดนาวงได้รับประโยชน์จากกิจกรรมรวมถึงการเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับอาเซียนและการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของนักเรียน นักศึกษาสามารถประยุกต์ใช้ความรู้ที่เรียนมาในวิชา IRD101 Southeast Asia’s Politics, Economy and Culture และ IRD331 ASEAN Studies กับสถานการณ์จริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทำงานเป็นทีมระหว่างนักศึกษาไทยและต่างชาติช่วยส่งเสริมทักษะการทำงานร่วมกันและการสื่อสารข้ามวัฒนธรรม  บทสรุปความรู้หรือความรู้ที่ค้นพบใหม่ การใช้กิจกรรมที่เน้นการเล่นและการแข่งขันช่วยเพิ่มความสนใจของนักเรียน นักเรียนระดับประถมศึกษายังมีทักษะภาษาอังกฤษที่จำกัด ทำให้ต้องปรับรูปแบบกิจกรรมให้เหมาะสมกับระดับของพวกเขา การทำงานเป็นทีมระหว่างนักศึกษาไทยและต่างชาติช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและเรียนรู้การทำงานแบบสากล ข้อเสนอแนะในการดำเนินการในอนาคต หรือการดำเนินการเพื่อสามารถนำไปสู่การเป็น Good Practice ควรจัดเตรียมงบประมาณสำหรับโครงการบริการวิชาการในปีต่อไป เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ปรับรูปแบบกิจกรรมให้เหมาะสมกับระดับภาษาอังกฤษของนักเรียน โดยใช้สื่อที่เข้าใจง่ายขึ้น เสริมกิจกรรมที่ช่วยให้นักเรียนสามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้น ส่งเสริมให้นักศึกษาใช้ทักษะด้านการทูตและการต่างประเทศในบริบทการสอนและการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรม เพิ่มกิจกรรมที่ช่วยให้นักศึกษาไทยและนักศึกษาต่างชาติเข้าใจการทำงานเป็นทีมข้ามวัฒนธรรมมากขึ้น เช่น เวิร์กช็อปก่อนเริ่มกิจกรรมและการสะท้อนผลหลังจบโครงการ

กิจกรรมเสริมสร้างและพัฒนาความเป็นสากลผ่านโครงการการทูตสู่ชุมชน Read More »

ICC x LSM Logistics Management

รางวัลชมเชย ปีการศึกษา 2567 ยุทธศาสตร์ที่ 4 : KR 1.2.1 และ KR 4.1.6/1 ICC x LSM Logistics Management ผู้จัดทำโครงการ​ Mr. Fudong Luo และ ดร.ชนะเกียรติ สมานบุตร วิทยาลัยนานาชาติจีน หลักการและเหตุผล/ความสำคัญ/ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้​           ในปัจจุบัน การบริหารโลจิสติกส์และการสื่อสารทางธุรกิจ โดยเฉพาะในภาษาจีน มีบทบาทสำคัญต่อการค้าระหว่างประเทศ การขาดความเข้าใจด้านโลจิสติกส์และความแตกต่างทางวัฒนธรรมอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน โครงการนี้จึงจัดขึ้นเพื่อให้นักศึกษาไทยและจีนได้เรียนรู้และฝึกทักษะร่วมกันผ่านรายวิชา Logistics Management ของทั้งสองคณะ โดยนักศึกษาบริหารธุรกิจได้พัฒนาทักษะภาษาจีนและความเข้าใจธุรกิจจีน ขณะที่นักศึกษาวิทยาลัยนานาชาติจีนได้เรียนรู้การบริหารโลจิสติกส์ไทย เสริมทักษะภาษาไทยและวัฒนธรรมไทย กิจกรรมนี้ช่วยให้นักศึกษาสามารถบูรณาการความรู้ เตรียมความพร้อมสำหรับการทำงานในสภาพแวดล้อมข้ามวัฒนธรรม และสร้างเครือข่ายที่เป็นประโยชน์ต่ออนาคตทางอาชีพ ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้  ข้อมูลคำศัพท์พื้นฐานในวิชาชีพโลจิสติกส์ การสื่อสารและการทำงานข้ามวัฒนธรรม การเรียนรู้โครงสร้างคลังสินค้าและกระบวนการปฏิบัติงาน การสร้างสรรค์และออกแบบคลังสินค้า ประเภทความรู้และที่มาความรู้ ความรู้แบบชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) อื่น ๆ (โปรดระบุ) คลังความรู้ที่ทำการศึกษาด้วยตนเอง วิธีการดำเนินการ ให้นักศึกษาจากทั้ง 2 วิชาจาก 2 คณะ (จีนและไทย) ได้ทำความรู้จักกันในครั้งแรกเพื่อสร้างความคุ้นเคย น.ศ.คณะบริหารธุรกิจ วิชา Lsm302 การจัดการคลังสินค้าและสินค้าคงคลัง จำนวน 52 คน น.ศ.ว.นานาชาติจีน วิชา ICM222 การจัดการโลจิสติกส์ จำนวน 90 คน นักศึกษาจำนวนทั้งสิ้น 142 คน ถูกจัดกลุ่มแบ่งออกเป็น 15 กลุ่ม แต่ละกลุ่มมีสมาชิกประมาณ 10 คน โดยคละกลุ่มนักศึกษาจีน กับ นักศึกษาไทย หลังจากแบ่งกลุ่มเรียบร้อยแล้ว ให้นักศึกษาทำกิจกรรม ( เกมส์เติมคำศัพท์โลจิสติกส์ ) เพื่อช่วยนักศึกษาได้รู้จักกันในบรรยากาศที่เป็นกันเองพร้อมกับเรียนรู้คำศัพท์พื้นฐานด้านโลจิสติกส์ นำนักศึกษาเยี่ยมชมคลังสินค้าจำลอง เพื่อให้นักศึกษาได้เรียนรู้เกี่ยวกับโครงสร้างคลังสินค้า อุปกรณ์ที่ใช้ และกระบวนการปฏิบัติงานของโลจิสติกส์ ให้นักศึกษาแต่ละกลุ่มจับฉลากเลือกประเภทของคลังสินค้าที่ต้องออกแบบ แต่ละกลุ่มทำงานร่วมกันเพื่ออกแบบคลังสินค้าตามโจทย์ที่ได้รับ นักศึกษาแต่ละกลุ่มนำเสนอแนวคิดและแผนการออกแบบคลังสินค้าของตน 2.Prototype testing in an operational environment – DO  ผลการดำเนินการ การนำไปใช้ หรือการลงมือปฏิบัติจริง อุปสรรคหรือปัญหาในการทำงาน           เดิมมีแผนพานักศึกษาไปศึกษาดูงานที่คลังสินค้าของ CP แต่ต้องยกเลิกเนื่องจากเหตุการณ์โศกนาฎกรรมไฟไหม้รถทัวร์ที่ผ่านมา จึงปรับเปลี่ยนเป็นการเยี่ยมชมคลังสินค้าจำลองที่มหาวิทยาลัยรังสิตแทน อย่างไรก็ตาม คลังสินค้าจำลองดังกล่าวมีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด ส่งผลให้การสาธิตและการฝึกปฏิบัติจริงไม่สามารถทำได้อย่างเต็มรูปแบบ และนักศึกษาอาจไม่ได้สัมผัสกับกระบวนการทำงานในสถานที่จริงอย่างครบถ้วน นักศึกษาชื่นชอบกิจกรรม และ สนใจเนื้อหามากยิ่งขึ้น กระบวนการเรียนรู้มีความแปลกใหม่ทำให้นักศึกษารู้สึกสนุก และ ได้รับเนื้อหาที่สอดคล้องในโลกการทำงานจริง นักศึกษาหลายคนมองว่ากิจกรรมนี้ช่วยเติมเต็มช่องว่างของการเรียนในห้องเรียนโดยเฉพาะของการฝึกปฏิบัติจริง 3. Proven through successful mission operation, Objectives and Key Results for Knowledge Management – CHECK การตรวจสอบผลการดำเนินการ การนำเสนอประสบการณ์การนำไปใช้ สรุปและอภิปรายผล บทสรุปความรู้หรือความรู้ที่ค้นพบใหม่ โครงการนี้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการดำเนินงานผ่านการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง โดยนักศึกษาได้รับโอกาสในการลงมือปฏิบัติและแลกเปลี่ยนความรู้กันระหว่างสาขาวิชาต่าง ๆ ผลลัพธ์ที่ได้สามารถแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่ การตรวจสอบผลการดำเนินการ นักศึกษามีความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับระบบโลจิสติกส์และซัพพลายเชน โดยเฉพาะด้านการจัดการคลังสินค้า สามารถวิเคราะห์และออกแบบพื้นที่จัดเก็บสินค้า วางแผนเส้นทางการเคลื่อนย้าย และเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับระบบคลังสินค้า การทำงานเป็นกลุ่มช่วยให้นักศึกษาได้ฝึกทักษะการทำงานร่วมกันในบริบทข้ามวัฒนธรรม การนำเสนอประสบการณ์การนำไปใช้ นักศึกษาได้ทดลองออกแบบคลังสินค้าโดยอิงจากแนวคิดที่เรียนมา และสามารถนำเสนอผลงานในลักษณะที่เป็นมืออาชีพ ความท้าทายในกิจกรรม เช่น พื้นที่จำกัดของคลังสินค้าจำลอง ทำให้นักศึกษาต้องคิดวิเคราะห์และปรับตัวเพื่อให้สามารถดำเนินการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การสื่อสารและการทำงานเป็นทีมระหว่างนักศึกษาไทยและจีนช่วยเสริมสร้างความเข้าใจและพัฒนาทักษะการทำงานในสภาพแวดล้อมสากล สรุปและอภิปรายผล รวมถึงบทสรุปความรู้ที่ค้นพบใหม่ นักศึกษาตระหนักถึงความสำคัญของการบูรณาการระหว่างองค์ความรู้ด้านโลจิสติกส์และทักษะด้านภาษาและวัฒนธรรม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการทำงานระหว่างประเทศ ความรู้ที่ค้นพบใหม่ ได้แก่ การนำเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารคลังสินค้า และแนวทางในการปรับตัวเมื่อเผชิญกับข้อจำกัดของสถานที่หรือทรัพยากร กระบวนการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมแบบนี้ช่วยให้นักศึกษาสามารถนำแนวคิดไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลลัพธ์ทั้งหมดนี้ยืนยันว่าโครงการสามารถบรรลุเป้าหมายของการจัดการความรู้ (Knowledge Management) และช่วยให้นักศึกษาได้รับทักษะที่สามารถนำไปใช้ในอนาคตได้อย่างแท้จริง   ข้อเสนอแนะในการดำเนินการในอนาคต หรือการดำเนินการเพื่อสามารถนำไปสู่การเป็น Good Practice จากผลลัพธ์ของโครงการ พบว่านักศึกษาได้รับความรู้และประสบการณ์ที่สามารถนำไปใช้ในสถานการณ์จริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การดำเนินโครงการในอนาคตประสบความสำเร็จและสอดคล้องกับ Key Result มากขึ้น ข้อเสนอแนะในการพัฒนาเพิ่มเติม ได้แก่ ขยายโอกาสในการฝึกปฏิบัติในสถานที่จริง ควรจัดกิจกรรมศึกษาดูงานในคลังสินค้าหรือสถานประกอบการโลจิสติกส์จริง เพื่อให้นักศึกษาได้เห็นกระบวนการทำงานที่สมบูรณ์และสอดคล้องกับโลกธุรกิจ เพิ่มการบูรณาการเทคโนโลยีและนวัตกรรม นำซอฟต์แวร์โลจิสติกส์ เช่น ระบบบริหารคลังสินค้า (WMS) หรือเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้ในการเรียนรู้ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มอุตสาหกรรม พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้เชิงโต้ตอบ ออกแบบกิจกรรมที่มีความท้าทายและต้องใช้การวิเคราะห์ข้อมูลมากขึ้น เช่น การวางแผนกลยุทธ์ด้านโลจิสติกส์ หรือการแก้ไขปัญหาภาวะฉุกเฉินในการบริหารคลังสินค้า เสริมสร้างความร่วมมือข้ามวัฒนธรรม สนับสนุนให้มีการทำงานเป็นทีมระหว่างนักศึกษาต่างชาติและนักศึกษาไทยมากขึ้น โดยอาจเพิ่มกิจกรรมที่ต้องใช้การเจรจาต่อรองหรือการสื่อสารทางธุรกิจที่เป็นภาษาจีนและภาษาไทย การประเมินผลและการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จัดให้มีแบบประเมินความพึงพอใจและข้อเสนอแนะจากนักศึกษาและอาจารย์ผู้สอน เพื่อนำมาปรับปรุงกิจกรรมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต ข้อเสนอแนะเหล่านี้จะช่วยให้โครงการสามารถพัฒนาต่อไปได้อย่างยั่งยืน และเสริมสร้างความพร้อมให้กับนักศึกษาในการก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อย่างมั่นใจ

ICC x LSM Logistics Management Read More »

ICC x YUFE x ORM การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศเชิงสร้างสรรค์

รางวัลชมเชย ปีการศึกษา 2567 ยุทธศาสตร์ที่ 4 : KR 1.2.1 และ KR 4.1.6/1 ICC x YUFE x ORM การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ เชิงสร้างสรรค์ ผู้จัดทำโครงการ​ ดร.กัญจน์นิตา สุเชาว์อินทร์ ดร.สมิตา กลิ่นพงศ์ พจ.พรพรรณ ทรัพย์เอี่ยม และพจ.ณัฏฐา มูลศาลา วิทยาลัยนานาชาติจีน หลักการและเหตุผล/ความสำคัญ/ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้​           การสื่อสารทางภาษามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในบริบทของมหาวิทยาลัยรังสิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่มีนักศึกษาต่างชาติศึกษาอยู่ร่วมกัน จำนวนมากจำเป็นต้องพัฒนาทักษะทางภาษาเพื่อให้สามารถสื่อสารและเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้และการใช้ชีวิตในสังคมที่มีความหลากหลายทางภาษาและวัฒนธรรม การพัฒนาทักษะการสื่อสารจึงเป็นสิ่งจำเป็น ไม่เพียงเพื่อการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยเท่านั้นแต่ยังเป็นการเตรียมความพร้อสำหรับโอกาสในอนาคตของนักศึกษา ไม่ว่าจะเป็นด้านวิชาการ การทำงาน หรือการใช้ชีวิตประจำวัน ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้  ความรู้ด้านการใช้ภาษาจีน และภาษาไทย การเรียนรู้ภาษาจากเจ้าของภาษาทำให้สามารถใช้ภาษาที่เรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เรียนรู้ในการสร้างความสัมพันธ์กับเจ้าของภาษาในบรรยากาศที่เป็นมิตร และไม่เป็นทางการจะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการสื่อสาร การเรียนรู้ภาษาที่ควบคู่ไปกับการเรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่างกันจะช่วยให้ทั้งนักศึกษาจีน และไทยสามารถเข้าใจ และเคารพซึ่งกันและกันมากขึ้น ประเภทความรู้และที่มาความรู้ ความรู้แบบชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) คลังความรู้ที่ทำการศึกษาด้วยตนเอง วิธีการดำเนินการ ICC ประสานไปทางคณะบริหารเพื่อเชิญชวน นักศึกษาไทยในโครงการ YUFE (โครงการ 2 ปริญญา Yunnan University of Finance and Economics) และ ORM (แพทย์แผนจีน) มาทำกิจกรรมการเรียน ภาษาต่างประเทศเชิงสร้างสรรค์ จำนวน 4 ครั้ง ครั้งละ 2 ชั่วโมง รวม 8 ชั่วโมง ในคาบเรียนวิชา ICT104 จัดกิจกรรมเล่นเกมส์เพื่อละลายพฤติกรรม ให้นักศึกษาจับกลุ่มกันเพื่อเรียนรู้ภาษาของกันและกัน ให้นักศึกษาจีนสอนภาษาจีนให้แก่นักศึกษาไทย และนักศึกษาไทยสอนภาษาไทยให้นักศึกษาจีนภายใต้หัวข้อที่กำหนด และออกมานำเสนอร่วมกัน หลังจบคลาสเรียนให้นักศึกษาแลกเปลี่ยน CONTACT ซึ่งกันและกันตามความสมัครใจ เพื่อทำกิจกรรมที่สนใจร่วมกันต่อไป 2.Prototype testing in an operational environment – DO  ผลการดำเนินการ การนำไปใช้ หรือการลงมือปฏิบัติจริง อุปสรรคหรือปัญหาในการทำงาน           เดิมตั้งใจให้นักศึกษา YUFE และ ORM เข้ามาร่วมกิจกรรมในวิชา ICT104 ตลอดภาคการศึกษา แต่นักศึกษาไทยมีตารางกิจกรรมค่อนข้างแน่นจึงทำให้การจัดกิจกรรมได้เป็นครั้งคราวขาดความต่อเนื่อง นักศึกษาทั้งสองกลุ่มได้ร่วมทำกิจกรรมละลายพฤติกรรมในตอนเริ่มต้น ซึ่งช่วยให้ทุกคนรู้สึกผ่อนคลายและ  เปิดใจมากในการใช้ภาษาต่างประเทศร่วมกันมากขึ้น การจับกลุ่มเพื่อเรียนรู้ภาษาซึ่งกันและกันทำให้นักศึกษาจีน และไทยได้มีโอกาสสอนภาษาและอธิบายวิธีการใช้ภาษาที่เป็นกันเองซึ่งทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติ รวมถึงแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่แตกต่างกันได้ เกิดการแลกเปลี่ยน CONTACT นำมาซึ่งการกระตุ้นให้มีการติดต่อ และสร้างความสัมพันธ์ที่ยาวนานในอนาคต  3. Proven through successful mission operation, Objectives and Key Results for Knowledge Management – CHECK           กิจกรรมในครั้งนี้ช่วยให้นักศึกษาทั้ง 2 ประเทศเปิดใจ และทำความรู้จักกันได้ง่ายขึ้นในบรรยากาศที่สนุกสนานและเป็นกันเองรวมถึงช่วยเสริมสร้างทักษะภาษาต่างประเทศระหว่างนักศึกษาทั้งสองกลุ่ม เพิ่มความเข้าใจในการสื่อสารที่ดียิ่งขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ยังช่วยส่งเสริมในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้วัฒนธรรม และภาษาที่แตกต่างกัน ทำให้เหล่านักศึกษาเข้าใจซึ่งกันและกันจนนำไปสู่การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในการทำงานร่วมกันในอนาคต ข้อเสนอแนะในการดำเนินการในอนาคต หรือการดำเนินการเพื่อสามารถนำไปสู่การเป็น Good Practice อาจารย์ผู้ประสานงานโครงการ YUFE และ ORM ต้องมีความเข้าใจและเห็นพ้องที่จะส่งเสริมให้นักศึกษาเข้าร่วมกิจกรรม ผู้สอนต้องมีความเข้าใจในภาษา และวัฒนธรรมที่หลากหลาย และยินดีสร้างสรรค์ นักศึกษาทั้ง2ฝ่ายต้องเห็นประโยชน์การดำเนินกิจกรรมร่วมกัน

ICC x YUFE x ORM การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศเชิงสร้างสรรค์ Read More »

Scroll to Top