KR 5.2.1

เส้นทางความสำเร็จด้วยการผ่าตัดคว้านต่อมลูกหมากเทคนิคใหม่ (RJ-TUAEP) จากจุดเริ่มต้นไปสู่รางวัลเลิศรัฐ 2567 (A to Z road to Public Sector Excellence Awards 2024 : RJ-TUAEP)

รางวัลชมเชย ปีการศึกษา 2567 ยุทธศาสตร์ที่ 5 : KR 5.2.1 เส้นทางความสำเร็จด้วยการผ่าตัดคว้านต่อมลูกหมากเทคนิคใหม่ (RJ-TUAEP) จากจุดเริ่มต้นไปสู่รางวัลเลิศรัฐ 2567 (A to Z road to Public Sector Excellence Awards 2024 : RJ-TUAEP) ผู้จัดทำโครงการ​ ผศ.(พิเศษ) นพ. ธเนศ ไทยดำรงค์ วิทยาลัยแพทยศาสตร์ หลักการและเหตุผล/ความสำคัญ/ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้​         ภาวะต่อมลูกหมากโตพบมากขึ้น ในปัจจุบันผู้ป่วยที่มีอาการปัสสาวะไม่ออก การรักษาหลักคือการผ่าตัดคว้านต่อมลูกหมาก แบบวิธีดั้งเดิม (Transurethral Resection of Prostate :TURP) ซึ่งมีภาวะเสียเลือดปริมาณมาก (500-1000 ml) ฟื้นตัวช้า นอนโรงพยาบาลนานกว่า 4-5วัน และในผู้สูงอายุอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง(TURP syndrome) ได้ถึงร้อยละ 8 ก่อให้เกิดกระสับกระส่ายไม่รู้สึกตัว จนถึงขั้นเสียชีวิตได้ร้อยละ 25 ปัญหาดังกล่าวมีผลกระทบในระดับประเทศ โดยมีผู้มารับบริการผ่าตัดTURP ประมาณ 1,500-2,000 รายต่อปี ถึงแม้จะมีการพัฒนาอุปกรณ์ใหม่ ๆ เช่น กลุ่มเลเซอร์ แต่ราคาอุปกรณ์ก็สูงกว่า 15,000,000 บาท ด้วยข้อจำกัดด้านงบประมาณของโรงพยาบาลในส่วนภูมิภาค ส่งผลต่อการเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพของประชาชน ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้         เป็นการพัฒนาการเทคนิคใหม่ RJ-TUAEP ที่ใช้อุปกรณ์เดิม ร่วมกับการเพิ่มทักษะของศัลยแพทย์ระบบปัสสาวะในภูมิภาค เพื่อให้ได้ผลเทียบเท่าอุปกรณ์ราคาแพง อีกทั้งเป็นการพัฒนาต้นทุนมนุษย์อย่างยั้งยืน ในการสอนทักษะการผ่าตัดศัลยแพทย์ระบบปัสสาวะในภูมิภาค เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงบริการของประชาชนในภูมิภาคนั้น ๆ ต่อไป ประเภทความรู้และที่มาความรู้ ความรู้แบบชัดแจ้ง (Explicit Knowledge)เจ้าของความรู้/สังกัดTransurethral Anatomical Enucleation of Prostate (TUAEP) in Benign Prostatic Hyperplasia with Bipolar System: First Study in Thailand, J Med Assoc Thai 2019;102(Suppl.4):20-5.  วิธีการดำเนินการ การพัฒนาเทคนิคการผ่าตัดภาวะต่อมลูกหมากโต RJ-TUAEP และได้เผยแพร่ในวารสารทางการแพทย์ นำเสนอในงานประชุมวิชาการเผยแพร่องค์ความรู้ในงานประชุมวิชาการสมาคมศัลยแพทย์ระบบปัสสาวะ จัดการฝึกอบรมและเผยแพร่ เทคนิค RJ-TUAEPกระจายสู่โรงพยาบาลระดับภูมิภาคอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะที่สามารถเป็นเครือข่ายการถ่ายทอดองค์ความรู้โมเดลการให้บริการแก่ โรงพยาบาลในเขตสุขภาพใกล้เคียงได้ และเพิ่มการเข้าถึงของประชาชน 2.Prototype testing in an operational environment – DO ผลการดำเนินการ การนำไปใช้ หรือการลงมือปฏิบัติจริง อุปสรรคหรือปัญหาในการทำงาน          ผลลัพธ์/ผลผลิตเชิงประจักษ์: ผู้ป่วยมีอาการปัสสาวะดีขึ้นหลังผ่าตัดทันที โดยการใช้ค่าตัวชี้วัดมาตรฐานต่าง ๆ เป็นตัวชี้วัดคุณภาพการรักษาพบว่าอาการดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ มีดังนี้มาตรฐานสากลในการวัดระดับความรุนแรงของอาการต่อมลูกหมากโต (international prostate symptom score : IPSS), ระดับคุณภาพชีวิต (Quality of life score : QOL), อัตราการไหลของน้ำปัสสาวะ (Qmax), ปริมาณปัสสาวะเหลือค้างในกระเพาะปัสสาวะ (Post Void Residual urine : PVR) อัตราการเสียเลือดเทคนิค RJ- TUAEP ตารางที่ 1 แสดงผลการรักษาก่อน และหลังผ่าตัดด้วยวิธี RJ-TUAEP 3. Proven through successful mission operation, Objectives and Key Results for Knowledge Management – CHECK การตรวจสอบผลการดำเนินการ การนำเสนอประสบการณ์การนำไปใช้ สรุปและอภิปรายผล บทสรุปความรู้หรือความรู้ที่ค้นพบใหม่            ภายหลังเผยแพร่ผลงานในวารสาร การบรรยายในการประชุมวิชาการ การออกหน่วยลงพื้นที่สอนแสดงการผ่าตัด และการจัดอบรม RJ-TUAEP start up ทำให้ได้รับความสนใจในหลายโรงพยาบาล เกิดการริเริ่มให้บริการผ่าตัดแบบRJ- TUAEP เพิ่มมากขึ้น ทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการมากขึ้น เป็นการยกระดับมาตราฐานการรักษาสู่ประชาชนในส่วนภูมิภาค และเพิ่มโอกาสการเข้าถึงบริการอีกด้วย ประโยชน์ที่ประชาชน และผู้รับบริการได้รับจากโครงการผ่าตัดส่องกล้องต่อมลูกหมากเทคนิคใหม่ RJ-TUAEP มีดังนี้1. ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่มีมาตรฐานเทียบเท่าโรงพยาบาลในส่วนกลาง โดยไม่ต้องเดินทางเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการรักษาอย่างยั่งยืน2. ผู้ป่วยได้รับผลการรักษาที่ดี มีคุณภาพชีวิตที่ดี เห็นผลดีได้ชัดเจนหลังผ่าตัด3. ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดที่ปลอดภัย เสียเลือดน้อย ลดความเสี่ยงการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง (TURP-Syndrome)4. ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็ว นอนโรงพยาบาลสั้นลง ส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจ และสังคมในประเทศ5. โครงการก่อเกิดความเชื่อมโยงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน Sustainable Development Goals (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ ส่งผลดีกับประชาชนดังนี้           10.5.1. เป้าหมายที่ 3: สร้างหลักประกันการมีสุขภาวะที่ดี และส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีสำหรับทุกคนในทุกช่วงวัยโดยส่องกล้องต่อมลูกหมากเทคนิคใหม่ RJ-TUAEP ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นไม่ต้องทุกข์ทรมานกับภาวะปัสสาวะลำบาก          10.5.2. เป้าหมายที่ 10: ลดความไม่เสมอภาคภายในและระหว่างประเทศ จากโครงการมีการกระจายความรู้ และการถ่ายทอดเทคโนโลยีไปสู่ระดับภูมิภาค ลดความเหลื่อมล้ำระหว่างสังคมเมืองหลวงกับชนบท ในการมีโอกาสในการรับการรักษาที่มีมาตรฐานอย่างเสมอภาค และสมเหตุสมผล 6. ปัจจุบันมีผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดส่องกล้องต่อมลูกหมากเทคนิคใหม่ RJ-TUAEPในหน่วยบริการทั่วประเทศสะสมแล้วกว่า 2,000 ราย มีเครือข่ายกระจายให้บริการในเขตสุขภาพดังต่อไปนี้เขตสุขภาพที่ 1 : เชียงใหม่ เชียงราย และลำพูนเขตสุขภาพที่ 2 : เพชรบูรณ์ และพิษณุโลกเขตสุขภาพที่ 3 : พิจิตรเขตสุขภาพที่ 4 : สระบุรี ปทุมธานี สิงห์บุรี และลพบุรีเขตสุขภาพที่ 5 : กาญจนบุรี สุพรรณบุรี และสมุทรสงครามเขตสุขภาพที่ 6 : ระยอง และสระแก้วเขตสุขภาพที่ 7 : ร้อยเอ็ด และขอนแก่นเขตสุขภาพที่ 8 : อุดรธานีเขตสุขภาพที่ 9 : ชัยภูมิ และบุรีรัมย์เขตสุขภาพที่ 10 : อยู่ระหว่างการวางแผนงานเขตสุขภาพที่ 11: นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต และกระบี่เขตสุขภาพที่ 12: สงขลา ตรัง นราธิวาส และปัตตานี ข้อเสนอแนะในการดำเนินการในอนาคต หรือการดำเนินการเพื่อสามารถนำไปสู่การเป็น Good Practice การต่อยอดพัฒนาในอนาคต1. การเพิ่มปริมาณศัลยแพทย์ระบบปัสสาวะที่สนใจ เข้าร่วมการอบรมในโครงการ โดยคาดการที่จำนวน 70 ท่านภายใน 5 ปี2. สร้างเครือข่ายศูนย์ฝึกอบรมในส่วนภูมิภาค ต่อยอดเสริมศักยภาพผู้ที่ผ่านการอบรมในชุดแรก กว่า 35 ท่าน 3. มีการควบคุมคุณภาพการผ่าตัดโดยผ่านการส่งวีดีโอผ่าตัดมาประเมินทุก 6-12 เดือน4. การสร้างเครือข่ายการผ่าตัดระดับประเทศเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้5. การรวบรวมข้อมูลวิจัยร่วมกันเป็นฐานข้อมูลระดับประเทศต่อไป6. สร้างเครือข่ายเผยแพร่ความรู้ระดับอาเซียนและนานาชาติ

เส้นทางความสำเร็จด้วยการผ่าตัดคว้านต่อมลูกหมากเทคนิคใหม่ (RJ-TUAEP) จากจุดเริ่มต้นไปสู่รางวัลเลิศรัฐ 2567 (A to Z road to Public Sector Excellence Awards 2024 : RJ-TUAEP) Read More »

สิ่งแวดล้อมศึกษาเพื่อการพัฒนาชุมชน

รางวัลชมเชย ปีการศึกษา 2565 ยุทธศาสตร์ที่ 2 : KR 2.3.2, KR 5.2.1 สิ่งแวดล้อมศึกษาเพื่อการพัฒนาชุมชน ผู้จัดทำโครงการ​ ผศ.ดร.ลาวัณย์ วิจารณ์ ผู้ให้ความรู้ ผศ.ณิชกานต์ กลิ่นกุสุม คณะวิทยาศาสตร์ หลักการและเหตุผล/ความสำคัญ/ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้​           ปัญหาสิ่งแวดล้อมต่าง ๆที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทั้งปัญหาในระดับโลก ระดับประเทศ และในระดับชุมชน ล้วนเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของผู้คนในทุกระดับ การป้องกันแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เป็นอยู่ และรวมถึงการปกปักรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้มีคุณภาพ ที่เหมาะสมต่อการดำเนินชีวิตของผู้คน เป็นสิ่งที่มีความจำเป็น และมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในระดับชุมชน ซึ่งเป็นหน่วยย่อยของสังคม สมาชิกในชุมชนไม่เพียงแต่จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นภายในชุมชนของตนหรือชุมชนที่เกี่ยวเนื่อง การสร้างจิตสำนึกสาธารณะให้คนในชุมชนหันมาร่วมมือกัน ป้องกัน แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม และร่วมมือกันปกปักรักษาสิ่งแวดล้อมของชุมชนด้วยตนเองจึงเป็นวิถีทางหนึ่ง ที่จะส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมในชุมชนนั้น ๆ สอดคล้องกับแนวคิดของกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติที่ส่งเสริมสนับสนุนให้ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชน ใส่ใจกับการพัฒนาที่ควบคู่ไปกับการ ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมของชุมชน ดังจะเห็นได้จากหน่วยงานดังกล่าวมีการจัดหลักสูตรฝึกอบรมหลักสูตร“สิ่งแวดล้อมศึกษาสู่การพัฒนาชุมชน” ให้กับบุคลากรและผู้สนใจทั้งในหน่วยงานรัฐ องค์ปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และสถานศึกษา เพื่อให้นำความรู้จากหลักสูตรดังกล่าวถ่ายทอดสู่ชุมชน อันจะนำไปสู่การสร้างจิตสำนึกสาธารณะเพื่อการพัฒนาชุมชนนั้น ๆ ต่อไป จึงได้ริเริ่มโครงการ“สิ่งแวดล้อมศึกษาเพื่อการพัฒนาชุมชน”ขึ้นในมหาวิทยาลัย โดยเน้นการจัดประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ (Learning Experience) องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์พื้นฐาน วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมด้านต่าง ๆ ตามความต้องการของชุมชน เช่น ด้านการจัดการน้ำและน้ำเสีย มลพิษทางอากาศ การจัดการของเหลือทิ้ง(ขยะ) การสร้างคามตระหนักในการลดปัญหาสิ่งแวดล้อมภายในบ้านของตน และร่วมถึงการเฝ้าระวังสิ่งแวดล้อมชุมชน เป็นต้น ให้แก่ชุมชนในพื้นที่โดยรอบมหาวิทยาลัย ตามนโยบายของคณะกรรมการการอุดมศึกษาที่สนับสนุนให้มหาวิทยาลัยเป็นแหล่งถ่ายทอดความรู้แก่ชุมชนในพื้นที่โดยรอบ การจัดประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ สิ่งแวดล้อมดังกล่าว มุ่งหวังให้ประชาชนในชุมชนและเยาวชน เกิดการรับรู้(awareness) ถึงสถานการณ์ สาเหตุ และผลกระทบของปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในชุมชนของตน เพื่อนำไปสู่การสร้างจิตสำนึกสาธารณะในการป้องกัน แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม และปกปักรักษาสิ่งแวดล้อมของชุมชนให้มีคุณภาพเหมาะสมกับการดำเนินชีวิตด้วยตนเองให้ได้ และคาดหวังว่าชุมชนจะนำความรู้ดังกล่าวขยายผลต่อคนในชุมชนของตนและเครือข่ายต่อไปในอนาคต สำหรับการวางโครงการสิ่งแวดล้อมศึกษาเพื่อการพัฒนาชุมชน สำหรับปีการศึกษานี้ (2565) ทางคณะทำงานโครงการสิ่งแวดล้อมศึกษาเพื่อพัฒนาชุมชน ได้รับการติดต่อประสานงานจากโรงเรียนพิบูลประชาสรรค์ กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนในหลักสูตรการศึกษาพิเศษเพื่อเด็กพิเศษโดยเฉพาะ (ไม่น้อยกว่า 300 คน ) โดยโรงเรียนมีเป้าหมายหลัก คือ ต้องการให้นักเรียนทุกกลุ่มสามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างมีความสุข เต็มศักยภาพ โดยไม่มองว่าใครแตกต่าง มีการเสริมทักษะเฉพาะด้าน รวมถึงการส่งนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษไปฝึกงาน เพื่อให้สามารถปรับตัวเข้ากับสังคมอื่นและเพื่อนคนอื่นได้โดยง่าย ซึ่งผลจากการประชุมร่วมกับผู้อำนวยการโรงเรียนและคณะครู โรงเรียนพิบูลประชาสรรค์ เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2565 ได้ข้อสรุปว่า ทางโรงเรียนมีเป้าหมายที่จะพัฒนาครูให้มีเทคนิควิธีในการขยายพันธุ์พืชโดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ การเพิ่มมูลค่าผลผลิตโดยการปลูกพืชลดมลพิษสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการสรรค์สร้างไม้ประดับเพื่อเพิ่มมูลค่า สำหรับถ่ายทอดความรู้ให้แก่นักเรียน ทั้งด้านวิชาการและเพิ่มโอกาสในการสร้างงานและสร้างอาชีพให้กับนักเรียนบางส่วนที่ขาดโอกาสในการศึกษาต่อ โดยเริ่มจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อจำหน่ายเป็นสินค้าของนักเรียนผ่านร้านค้าของโรงเรียนในอนาคต ซึ่งทั้งหมดเป็นกิจกรรมหลักในกโครงการ อนุรักษ์พันธุ์กรรมพืช ซึ่งในปีการศึกษา 2565 ได้จัดกิจกรรมให้กับโรงเรียนพิบูลประชาสรรค์ ทั้งสิ้น 3 โครงการ คือ 1) จัดประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ เรื่อง การปลูกผักสลัดกินเอง สร้างภูมิคุ้มกัน ต้านโรค ลดมลพิษสิ่งแวดล้อม 2) จัดประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ เรื่อง Ornamental Gardening For Life และ 3) จัดประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ เรื่องการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช นอกจากนั้นยังมีหน่วยภายนอกที่สนใจ ขอเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ด้วย คือ และบุคลากรจากสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร(ลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา) และประชาชนในชุมชนวัดรังสิต ตำบลหลักหก อำเภอเมืองปทุม จังหวัดปทุมธานี ซึ่งในครั้งนี้ขอนำเสนอ การจัดการความรู้ เรื่อง จัดประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ เรื่อง การปลูกผักสลัดกินเอง สร้างภูมิคุ้มกัน ต้านโรค ลดมลพิษสิ่งแวดล้อม ประเภทความรู้และที่มาความรู้ ความรู้แบบชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) : 1) ความรู้จากคลังความรู้ของเว็บไซต์ระบบการจัดการความรู้ KM Rangsit University (https://hrd.rsu.ac.th/km/)2) องค์ความรู้ด้านการถ่ายทอดความรู้แบบผสมผสาน (onsite & online จากโครงการบริการปีการศึกษา 2565 รหัสโคงการ 640382 เรื่อง ลดมลพิษสิ่งแวดล้อมในบ้าน ชุมชนวัดรังสิต)ความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวคน (Tacit Knowledge) : เจ้าของความรู้, 1) ประสบการณ์ตรง ด้านการเพาะเมล็ดผักสลัด และการย้ายต้นกล้าผักสลัด (ผศ. ณิชกานต์ กลิ่นกุสุม) 2) ประสบการณ์ตรง ด้านการจัดประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ (Learning Experience: L.E. : ผศ.ดร.ลาวัณย์ วิจารณ์) วิธีการดำเนินการ 1. วิธีการดำเนินการ    1. คณะทำงานโครงการสิ่งแวดล้อมสึกษาฯ ม.รังสิต ประชุมร่วมกับผู้อำนวนการโรงเรียน เพื่อวางโครงการร่วมกัน (13 กค.2565)    2. ประชุม คณะทำงานคณะทำงานโครงการสิ่งแวดล้อมศึกษาฯ ม.รังสิต เพื่อกำหนดวันเวลาจัดกิจกรรมและเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ สื่อ จำเป็นในการจัดกิจกรรม    3. ติดต่อประสานงาน ดำเนินกิจกรรม ตามมาตรฐานสถานการณ์ โควิด ผ่าน line application    4. จัดกิจกรรมในวันที่ 23 กค.2565 เวลา 08.00 -12.00 ณ ห้องปฏิบัติการชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ ม.รังสิต วัตถุประสงค์ของโครงการ คือ ผู้เข้าร่วมกิจกรรม สามารถปฏิบิติได้ภายใต้คำแนะนำ 5. จัดให้มีการทดสอบก่อนและหลัง การดำเนินกิจกรรม 2. ผลการดำเนินการ การนำไปใช้ หรือการลงมือปฏิบัติจริง อุปสรรคหรือปัญหาในการทำงาน    ผลดำเนินการ พบว่า ผู้เข้าร่วมโครงการร้อยละ 100 สามารถปฏิบัติการเพาะเมล็ดผักสลัด ภายใต้คำแนะนำได้อย่างถูกต้องทุกขั้นตอน การนำไปใช้ประโยชน์ เนื่องจากวัตถุประสงค์หลักของโครงการเรื่อง การปลูกผักสลัดกินเอง สร้างภูมิคุ้มกัน ต้านโรค ลดมลพิษสิ่งแวดล้อม เพื่อให้คณะครูจากโรงเรียนพิบูลฯ ได้เรียนรู้ถึงเทคนิคในการเพาะเมล็ดผักสลัด และการย้ายต้นกล้าผักสลัด โดยนำความรู้เหล่านนี้ใช้เป็นกิจกรรม การเรียนการสอนและสนับสนุนโครงการ อพ.สธ.ของโรงเรียน รวมไปถึงต่อยอดเพื่อการค้า สร้างอาชีพให้กับนักเรียนที่ไม่พร้อมในการศึกษาต่อ อุปสรรคหรือปัญหาในการทำงานไม่มี 3. การตรวจสอบผลการดำเนินการ การนำเสนอประสบการณ์นำไปใช้ สรุปและอภิปรายผล บทสรุปความรู้หรือความรู้ที่ค้นพบใหม่    ผลจากการดำเนินโครงการข้างต้น จะเห็นได้ว่า ผู้เข้าร่วมโครงการ ร้อยละ 100 สามารถเพาะเมล็ดผักสลัดและย้ายต้นกล้าผักสลัดได้อย่างถูกต้อง ทุกขั้นตอน ภายใต้คำแนะนำของวิทยากร(ผศ.ณิชกานต์ กลิ่นกุสุม) ซึ่งผลสำเร็จที่เกิดขึ้นนี้ กล่าวได้ว่า เป็นเพราะ กิจกรรมดังกล่าว เป็นกิจกรรมที่เกิดจาก ความต้องการที่แท้จริง ของผู้เข้าร่วมโครงการ เนื่องจากกิจกรรมนี้ เป็นการวางโครงการร่วมกันระหว่างผู้เข้ารับการอบรมและทีมวิทยากร ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจึงเป็นนวัตกรรม หรือความรู้ใหม่เกี่ยวกับการวางโครงการบริการวิชาการแบบให้เปล่าที่จะนำไปสู่ความสำเร็จของโครงการนั้นๆ ข้อเสนอแนะในการดำเนินการในอนาคต หรือการดำเนินการเพื่อสามารถนำไปสู่การเป็น Good Practice          นำนวัตกรรม หรือความรู้ใหม่เกี่ยวกับการวางโครงการบริการวิชาการแบบให้เปล่า ที่นำไปสู่ความสำเร็จของโครงการ ไปทดลองใช้เพื่อพิสูจน์ซ้ำ ตามหลักการ Induction และ Deduction ในสถานการณ์ที่แตกต่างกันออกไป จะได้องค์ความรู้ใหม่ที่มีโอกาสที่เป็นไปได้ทั้ง Good practice หรือ Best practice หรือเกิดเป็นโจทย์วิจัยอีกมากมาย ดูรูปภาพ/กิจกรรมเพิ่มเติมที่นี่

สิ่งแวดล้อมศึกษาเพื่อการพัฒนาชุมชน Read More »

Scroll to Top